ตอนที่ 187.2 เห็นเขาแล้วหงุดหงิด (2)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ซือเหยาอันเกลี้ยกล่อม “องค์ชายสามลุกขึ้นเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

ด้านในประตูตำหนักมีเสียงฝีเท้าเดินมาอยู่แว่วๆ ซย่าโหวซื่อถิงก็ทราบอยู่ในใจแล้ว ถลกอาภรณ์ลุกขึ้นไม่พิรี้พิไรต่อ ยืนส่งฮองเฮาจากไป

เห็นด้านนอกไม่มีใครแล้ว ซือเหยาอันก็อดจะพูดไม่ได้ “ไม่ทราบว่าพระชายามาที่ตำหนักเฟิงจ๋าเพื่อการใด”

ไม่ว่าจะเป็นการใดล้วนไม่ใช่เรื่องดีทั้งนั้น

องครักษ์ของตำหนักบูรพาที่เฝ้าตามนางมาโดยตลอด เห็นว่าฮองเฮาจะเสด็จเข้ามาสีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นตระหนก ต้องเป็นไท่จื่อที่ทรงกำชับให้เขาช่วยดูแลนางเป็นแน่

ซย่าโหวซื่อถิงสีหน้าดูไม่ค่อยได้นัก

เจี่ยงฮองเฮาเข้าตำหนักไปแล้ว เห็นคนของตำหนักบูรพาเดินลงจากระเบียงมาหยุดยืนอยู่ตรงลานหน้าตำหนักค้อมกายถวายคำนับ “ฮองเฮา”

สตรีที่อยู่ริมสุดสวมอาภรณ์สีเขียวก็คืออวิ๋นหว่านชิ่น

เจี่ยงฮองเฮาวางมือไว้บนแขนไป๋ซิ่วฮุ่ย เดินมาอย่างเชื่องช้า กวาดสายพระเนตรมองพวกเขารอบหนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ไท่จื่อช่างใส่ใจนัก”

หัวหน้าขันทีตำหนักบูรพาเห็นพระชายาฉินอ๋องอยู่ในห้องบรรทมเป็นเวลานานสองนานไม่ออกมาเสียที ซ้ำยังเห็นว่าฮองเฮาลงจากรถพระที่นั่งมาแล้ว ในใจก็พลันตระหนกยิ่ง แม้จะไม่ทราบว่านางกำลังทำอันใด แต่ก็รู้ว่าหากถูกฮองเฮามาเห็นเข้าต้องเป็นเรื่องแน่ เหงื่อจึงแตกพลั่ก โชคดีที่ฮองเฮาเข้าตำหนักมาช้า พระชายาจึงออกมาได้ทันเวลา

ขันทีถอนหายใจแล้วยิ้มพลางกล่าว “ไท่จื่อทรงกตัญญูรู้คุณ เหนียงเหนียงทรงสูงส่งสง่างามเหนือผู้ใด ไม่กี่วันก่อนจึงเชิญว่านเหล่าชีให้ช่วยแกะสลักกระถางเป็นภาพทิวทัศน์ ขอร้องจนในที่สุดก็แกะสลักกระถางสามใบนี้มาได้ ยามนี้ได้นำไปวางตกแต่งไว้ให้เหนียงเหนียงแล้ว รอเพียงเหนียงเหนียงกลับตำหนักมาเห็นจะได้เบิกบานพระทัย”

“อืม” เจี่ยงฮองเฮาดวงเนตรตกอยู่ที่อวิ๋นหว่านชิ่น กวาดมองนางรอบหนึ่งแล้วจึงดึงสายตากลับมา เดินเข้าไปด้านในโดยไม่กล่าวคำใด

อวิ๋นหว่านชิ่นถอนหายใจอย่างโล่งอก เดินตามขันทีออกจากตำหนักเฟิงจ๋าไป

พอม่านไข่มุกตรงกรอบประตูด้านหลังปิดบรรจบกัน อวิ๋นหว่านชิ่นก็รู้สึกว่าเหงื่อเย็นที่ไหลซึมได้มลายไปสิ้น ยามนี้ปลอดโปร่งยิ่งนัก ยังไม่ทันจะหลุดจากภวังค์ดี กำลังคิดถึงกล่องเครื่องประดับที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งในห้องบรรทม พลางเดินตามหลังขันทีไป คิดไปพลาง เดินไปพลาง

เพิ่งจะเลี้ยวไปยังระเบียงทางเดิน กำลังจะถึงที่ที่เงียบไร้ผู้คน เหล่าขันทีข้างหน้าพลันหยุดชะงักฝีเท้าลง

นางกลับมิได้หยุดฝีเท้าตาม เกือบจะชนเข้ากับขันทีข้างหน้า พลันได้ยินเสียงขันทีดังขึ้น “ฉินอ๋อง”

อีกฝ่ายเพิ่งจะเดินออกจากประตูวงพระจันทร์ที่แยกออกจากระเบียงไปครึ่งทาง ยามนี้ทรงยืนอยู่ตรงหน้าของระเบียงยาว สองมือไพล่อยู่บนเข็มขัดมังกรสีทองด้านหลัง ห่างจากกลุ่มขันทีไปห้าหกก้าว ส่งเสียง ‘อืม’ คำหนึ่ง

เหล่าขันทีมิได้โง่ รู้อย่างแจ่มแจ้งว่าฉินอ๋องมาหาผู้ใด จึงพากันหลบถอยไปด้านข้างเป็นทางเล็กๆ ให้ทั้งคู่ได้พูดคุยกันโดยไม่ต้องนัดกล่าว

วินาทีที่ได้พบหน้าเขา ความตระหนกเมื่อครู่พลันมลายหายไป ใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดีปรีดาดั่งน้ำผึ้งรสหวาน

หากเวลาและสถานที่เหมาะสมกว่านี้ นางคงจะหยอกล้อกับเขาว่าเมื่อครู่นางอกสั่นขวัญหายเพียงใด อยู่ในตำหนักเฟิงจ๋าไม่ถึงครึ่งก้านธูปนั้นช่างไม่ผ่อนคลายเท่าเวลาที่เยี่ยนหยางสักนิด เกือบจะถูกฮองเฮาจับได้ และอยากจะบอกเขาว่านางหาเบาะแสและร่องรอยที่ตำหนักเฟิงจ๋าพบแล้ว

สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่านางใช้แรงไปมากเพียงใดจึงจะกดความตื่นเต้นยินดีนี้ให้สงบได้ ในตำหนักคนปากเปราะมากมาย ที่นี่จึงไม่เหมาะจะพูดคุยนัก

แต่เห็นสีหน้าท่าทางของเขาแล้ว นางก็ชะงักไป

สีหน้าของเขาดูไม่แยแส เทียบกับยามปกติแล้วกลับเรียบนิ่งนัก ไม่ยินดี ไม่โกรธ แต่นางกลับสัมผัสได้ว่าไม่ปกติเช่นเคย

หัวหน้าขันทีแม้จะรู้ว่าไม่เหมาะไม่ควร แต่ก็เปิดทางให้แล้ว ยิ่งได้เห็นท่าทางเช่นนี้ของฉินอ๋องอีก ยิ่งไม่ควรล่วงเกินพระองค์ รู้ว่าต้องทำอย่างไร จึงหันหน้าไปกล่าวเบาๆ ว่า “พวกบ่าวขอตัวกลับไปก่อน พระชายาก็โปรดรีบสักหน่อย เดี๋ยวไท่จื่อจะไม่พอพระทัย หากใครมาเห็นเข้าตำหนักบูรพาคงต้องได้รับผิดชอบ” กล่าวจบก็เดินนำคนอื่นๆ ลงจากระเบียงไป

แม้เสียงจะไม่ดังนักแต่ทุกถ้อยทุกคำกลับลอยมาเข้าหูซย่าโหวซื่อถิงอย่างชัดเจน

ไท่จื่อไม่พอพระทัย? หมายความเยี่ยงไร ชายาของเขา มาพบหน้าเขา ไปเกี่ยวอันใดกับไท่จื่อไม่พอพระทัย

ต่อให้ยามนี้นางมีความผิดอยู่ ซ้ำยังเป็นลูกมือช่วยงานอยู่ที่ตำหนักบูรพา แต่ก็ไม่ใช่คนของไท่จื่อ!

อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นสีหน้าเขาแย่ลง ซ้ำคิ้วก็ขมวดมุ่นกว่าเดิม แต่สีหน้าอึมครึมนี้กลับไม่เหมือนที่นางเคยเห็นมาก่อน

ยามเขาเดินมาหาช้าๆ นั้น นางสัมผัสได้ถึงบรรยากาศโดยรอบที่กดดันขึ้น เดิมก็เป็นระเบียงที่ไร้ผู้คนอยู่แล้ว ยามนี้ยิ่งเงียบสงัดขึ้นนัก

“หน้าที่หลักของเจ้าคือสำนึกตนอยู่ที่สำนักฉางชิง มิใช่มาเป็นคนใช้อยู่ตำหนักบูรพานั่น” เขาพูดเข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมาไม่มีอ้อมค้อมแม้แต่น้อย

หากนางฟังไม่ผิดล่ะก็ น้ำเสียงเช่นนี้แฝงไว้ซึ่งการตำหนิ

นางตรองอยู่ครู่หนึ่งจึงรู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร เขากำลังสงสัยนาง ความยินดีปรีดาเมื่อครู่พลันมลายลง

ตึงเครียดเสียจนเหงื่อซึมไปทั่วร่าง เพิ่งออกมาจากที่ที่อันตรายได้แท้ๆ จะไม่ปลอบนางไม่ว่า แต่ก็มิใช่จะมาว่ากล่าวตำหนินางเช่นนี้

“ไท่จื่อให้เจ้าไปทำอันใดที่ตำหนักเฟิงจ๋า ทีข้าให้เจ้าทำ เจ้านั้นพิรี้พิไร แต่พอเขาสั่ง เจ้ากลับรีบไปไวกว่ากระต่ายเสียอีก” เขามองดูรอบๆ เกรงว่าใครจะมาเห็นเข้า โน้มตัวลงมองจ้องนาง ทำได้เพียงตรัสรวบรัดให้เป็นคำพูดสั้นๆ ทว่าแต่ละคำกลับทิ่มแทงได้ลึกนัก ตรงไปตรงมาไม่มีอ้อมค้อมสักนิด ราวกับคำดุด่ารุนแรงที่บิดาใช้ว่ากล่าวบุตรสาว

นางกัดฟันกรอด พลันคันไม้คันมือ วันนี้เดิมเพราะเรื่องของหานเซียงเซียงนางก็หงุดหงิดเขาอยู่แล้ว หากใบหน้านี้ที่ทำคนเป็นไข้ใจจนล้มป่วย โวยวายจะแต่งให้เขาให้ได้ของคนตรงหน้านี้เข้ามาใกล้นางอีกเพียงนิ้วเดียว นางจะข่วนเข้าให้

ซย่าโหวซื่อถิงเห็นดวงหน้างามของนางเย็นชา เงยมองจ้องเขาอยู่ ก่อนจะหันหนีไปทางอื่น ก็กังวลขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทั้งรอยยิ้มทั้งเสียงหัวเราะเมื่อครู่ที่อยู่กับไท่จื่อล้วนใช้ไปหมดแล้วหรืออย่างไร ยามนี้จึงได้หน้าบูดบึ้งกับเขานัก!

เกรงว่าคนที่ผ่านไปมาจะมาเห็นเข้า เขาจึงจูงมือนางเดินไปหลังกำแพงทางระเบียง

ด้านหลังระเบียงนี้มีแต่ป่าที่รายล้อมกำแพงวังสูงใหญ่นี้ไว้ เป็นจุดบอดที่คับแคบซ้ำยังไร้ผู้คน เงียบสงัดเสียจนได้ยินเสียงสัตว์เสียงแมลง

และเสียงสูดหายใจลึกของเขา

ไม่รอให้นางได้ทันตอบโต้อันใด แขนเรียงทั้งสองข้างของนางก็ถูกเขาดันไว้กับกำแพงด้านหลังระเบียงนั้น เงาของเขาทอดตัวลงมา เขาโน้มกายไปแนบชิดนางกักตัวนางไว้กับกำแพง แล้วกล่าวเสียงทุ้ม “วันนี้ไปยกเลิกหน้าที่ของเจ้ากับไท่จื่อ แล้วกลับไปสำนักฉางชิงอย่างสบายใจเสีย”

ยังเหลือเวลาอีกเดือนกว่า ห้ามไม่ได้ซ้ำยังมาสร้างเรื่องเพิ่มอีก

เนื่องจากการฉุดกระชากลากถูกันรวมถึงอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เมื่อครู่นี้ ทั้งคู่จึงหอบเล็กน้อย แลกเปลี่ยนลมหายใจอุ่นร้อนซึ่งกันและกัน

ดมกลิ่นหอมหวานอันคุ้นเคยจากกายนาง ความโกรธของเขาก็แทบจะดับลง ดึงนางเข้ามากอดไว้ในอ้อมอก หลังจากคืนที่หิมะตกคืนนั้นก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย

อาศัยความคิดถึงคะนึงหาจากคืนนั้นมาปลอบใจตนไปหลายวัน

ถึงยามจะคลายอ้อมกอดออก ใบหน้าเขายิ่งเข้มขรึม มิอาจทำใจปล่อยนางไปได้

“ไม่ได้เจ้าค่ะ” แก้มนางโดนลมผสมความหวั่นไหวจึงแดงระเรื่อ แต่กลับกล่าวอย่างหนักแน่น เงยหน้ามองเขา “ท่านก็เดาออกว่าข้าไปทำอันใดที่ตำหนักเฟิงจ๋า หากอยู่ที่สำนักฉางชิงจะมีโอกาสเดินไปเดินมาได้ทั่วเช่นนี้อีกหรือ อย่ามาหึงหวงไม่เข้าเรื่อง”

เขาปฏิเสธอย่างหนักแน่น “ตาข้างใดของเจ้าเห็นข้าหึงหวงกัน!” กล่าวเสริมว่า “ไม่ว่าเจ้าจะทำอันใด ก็ห้ามไปยุ่งวุ่นวายกับไท่จื่อ ไม่ว่าอย่างไรก็กลับไปดีๆ ตั้งแต่วันนี้เสีย”