ตอนที่ 1792 ตระกูลฉีที่หน้าไม่อาย (1) / ตอนที่ 1793 ตระกูลฉีที่หน้าไม่อาย (2)

ยอดชายาจักรพรรดิปีศาจ

ตอนที่ 1792 ตระกูลฉีที่หน้าไม่อาย (1)

อวิ่นลั่วเฟิงยิ้มบางและลุกขึ้นจากเตียงช้าๆ

“ข้าไม่ได้แค่หาสมุนไพรพลังฌานให้เจ้าได้ ข้ายังใช้สมุนไพรพลังฌานพวกนั้นทำน้ำยาสมุนไพรพลังฌานได้ด้วย”

สมุนไพรพลังฌานบางชนิดต้องใช้วิธีกินเลยโดยตรง แต่ก็ยังมีบางชนิดที่ถ้ากินโดยตรงแล้วจะทำให้ร่างกายระเบิดจนตายเพราะไม่สามารถทนรับพลังจากสมุนไพรพลังฌานได้ สำหรับสมุนไพรพลังฌานเหล่านั้น พวกเราต้องนำมาสกัดให้เจือจางเป็นน้ำยาสมุนไพร ตัวอย่างเช่นน้ำยาสมุนไพรพลังฌานที่อวิ๋นลั่วเฟิงกินตอนที่นางผ่านด่าน…

ร่างกายของฉีซูสั่นและมองอวิ๋นลั่วเฟิงอย่างประหลาดใจ “เจ้า…เจ้าพูดจริงหรือ”

“แน่นอน” อวิ๋นลั่วเฟิงหรี่ตา “ข้าต้องการให้เจ้ารับข้อตกลงสามข้อของข้า”

“เจ้าต้องการจะขออะไร” หัวใจของฉีซูบีบรัดขณะที่เขาถามอย่างรวดเร็ว

“ข้อแรก ข้ากำลังตามหาคนสองคน คนแรกชื่อจักรพรรดิปีศาจ อีกคนชื่อจีจิ่วเทียน”

ฉีซูขมวดคิ้ว เป็นเรื่องค่อนข้างยากที่จะใครสักใครแต่ถ้าเขาได้กลับไปที่ตระกูลฉี การตามหาใครสักคนโดยใช้อิทธิพลของตระกูลของเขาก็ไม่ใช่เรื่องยาก

“ข้าสัญญา แล้วข้อสองล่ะ”

อวิ๋นลั่วเฟิงมองฉีซูแล้วพูดอย่างเฉยชา “ข้อที่สองก็คือข้าจะนำของมาให้เจ้า แต่เจ้าห้ามเปิดเผยตัวตนของข้าเด็ดขาด ข้างนอกนั่นให้เจ้าบอกไปว่าของพวกนี้เจ้าบังเอิญได้มา”

“ข้อนี้ข้าก็ตกลง”

“ข้อสาม…” อวิ๋นลั่วเฟิงหยุด “ข้าต้องการให้เจ้าสาบานว่าเจ้าจะไม่ทรยศข้าไปตลอดชีวิต ไม่อย่างนั้นวิญญาณของเจ้าจะถูกทำลายและไม่สามารถกลับมาเกิดใหม่ได้อีก!”

แม้แต่ที่แคว้นเจ็ดเมืองในอดีตก็มีคนจำนวนมากเชื่อในสวรรค์

แต่ว่าผู้ฝึกฌานระดับนั้นไม่ได้มีการติดต่อกับสวรรค์มากนักและมีแค่หลังจากที่ผ่านด่านเป็นขั้นเทพเซียนแล้วเท่านั้นพวกเขาถึงจะรู้ถึงการมีตัวตนของสวรรค์ ตั้งแต่นั้นมาพวกเขาก็จะไม่ผิดคำสาบานไม่อย่างนั้นวิญญาณของพวกเขาก็จะแตกสลายจริงๆ โดยไม่สามารถกลับมาเกิดใหม่ได้!

ฉีซูดึงฉีหลิงให้คุกเข่าโดยไม่ลังเลและกล่าวคำสาบานภายใต้สวรรค์ แน่นอนว่าเงื่อนไขก็คืออวิ๋นลั่วเฟิงต้องสามารถช่วยพวกเขาได้จริงได้เสียก่อน

“หลังจากนี้ไม่นาน ข้าจะส่งเทียบยาให้เจ้าและต้องการให้เจ้าไปหาสมุนไพรเหล่านี้มาภายในสามวัน”

“เข้าใจแล้ว” ฉีซูไม่เสียเวลาถามเพิ่มเติมแล้วรับเทียบยามา “แม่นางอวิ๋น ร้านยาของพวกเราจะสามารถขายน้ำยาสมุนไพรพลังฌานได้เมื่อไหร่”

“อีกประมาณหนึ่งเดือน” อวิ๋นลั่วเฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ

นางต้องใช้เวลาอย่างน้อยยี่สิบวันในการแปรรูปสมุนไพรให้เป็นสมุนไพรพลังฌานภายในโลกคัมภีร์เซียนโอสถ อีกอย่างนางต้องสกัดสมุนไพรและต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยสองถึงสามวัน

“แต่ว่า ข้อตกลงที่พวกเราทำกับตระกูลฉี อนุญาตให้พวกเราทำได้ถึงแค่สิ้นเดือน…” นับตั้งแต่วันนี้ถึงสิ้นเดือนก็บังเอิญเป็นเวลาหนึ่งเดือนพอดี

“เจ้ามีข้อตกลงอะไรกับตระกูลฉี”

ฉีซูมองอวิ๋นลั่วเฟิงแล้วพูดว่า “ทำให้ร้านยาของตระกูลฉีมีชื่อเสียงภายในหนึ่งปี”

“ถ้าอย่างนั้น พวกเราใช้เวลาเพียงวันเดียวก็พอ อีกอย่างข้ามีบางอย่างให้เจ้าไปทำนอกเหนือจากการหาสมุนไพรพวกนั้น…” อวิ๋นลั่วเฟิงหรี่ตาแล้วประกายบางอย่างก็พาดผ่านดวงตา

หลังจากที่ได้ยินคำพูดที่ตามมาของนาง ดวงตาของเขาก็เป็นประกายปิติยินดีและประสานมือคำนับอวิ๋นลั่วเฟิงแล้วเดินออกไป

เพื่อป้องกันไม่ให้ฉีหลิงรบกวนอวิ่นลั่วเฟิง เขายังลากนางมาด้วยตอนเขาออกมา

ต้องพูดเลยว่าความสามารถของฉีซูยอดเยี่ยมมาก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถซื้อสมุนไพรพลังฌานได้เพราะการกดขี่จากตระกูลฉี แต่สมุนไพรธรรมดาเขามีมากมายนับไม่ถ้วน เพราะฉะนั้นไม่ต้องรอถึงสามวัน เขาก็นำสมุนไพรที่อวิ๋นลั่วเฟิงต้องการมาให้นางแล้ว

ภายในโลกคัมภีร์เซียนโอสถ อวิ๋นลั่วเฟิงมอบสมุนไพรเหล่านั้นให้สัตว์วิญญาณอสูรแล้วสั่งให้พวกเขาปลูกสมุนไพรพวกนี้ในสวนสมุนไพร

…………………………

ตอนที่ 1793 ตระกูลฉีที่หน้าไม่อาย (2)

นางหันไปมองเมล็ดต้นเขฬะมังกรและจากนั้นก็เม้มปาก “ต้นไม้ต้นนี้ต้องใช้ปัสสาวะมังกรในการเติบโตและโชคดีที่อวิ๋นเซียวทิ้งเสี่ยวฉงไว้กับข้า ไม่อย่างนั้นข้าเกรงว่าต้องรออีกนานกว่าต้นไม้ต้นนี้จะโตเต็มที่…” อวิ๋นลั่วเฟิงหันไปหาเสี่ยวฉงที่กำลังเล่นอยู่กับไหน่ฉา

“ถ่ายปัสสาวะ”

“อะไรนะ” เสี่ยวฉงเบิกตากว้างและมองอวิ๋นลั่วเฟิงอย่างสับสน

“นี่คือต้นเขฬะมังกรซึ่งต้องใช้ปัสสาวะมังกรในการงอก เจ้าควรจะถ่ายปัสสาวะตอนนี้เลย”

“แต่…” เสี่ยวฉงตัวสั่น “ถ้าข้าปัสสาวะไม่ออกล่ะ”

อวิ๋นลั่วเฟิงยิ้ม เมื่อเสี่ยวฉงเห็นรอยยิ้มของนางก็ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้

“ข้าปัสสาวะเดี๋ยวนี้แหละ อย่าพึ่งรีบร้อน” เสี่ยวฉงหวาดกลัวมาก เขายังไม่ลืมว่าสตรีผู้นี้ตั้งใจจะย่างเขา! ความกลัวที่เขามีต่ออวิ๋นลั่วเฟิงทำให้เขาเลิกสนใจทุกอย่างและกระโดดลงจากมือนาง เขายืนอยู่ข้างเมล็ดพืชแล้วสูดหายใจก่อนจะพยายามปัสสาวะออกมาได้สองสามหยด…

ใช่แล้ว แค่สองสามหยด ถึงแม้ว่าปัสสาวะมังกรจะเป็นของสกปรกแต่ก็มีค่ามากสำหรับมนุษย์

ให้อธิบายด้วยประโยคเดียวก็คือ ร่างกายของมังกรคือสมบัติล้ำค่า แม้แต่เกล็ดของพวกเขาก็สามารถขับไล่สัตว์วิญญาณอสูรออกไปได้ เพราะฉะนั้นก็บอกได้เลยว่าปัสสาวะของมังกรมีค่าขนาดไหน…

“เสร็จแล้ว” หลังจากที่ทำภารกิจสำเร็จ เสี่ยวฉงก็ปีนมาอยู่ข้างๆ อวิ๋นลั่วเฟิงแล้วทำสีหน้าเศร้าสร้อย

“แค่นี้?” อวิ๋นลั่วเฟิงเลิกคิ้วแล้วถาม

เสี่ยวฉงรู้สึกโศกเศร้า “ท่านคิดว่าพวกเราเป็นเหมือนมนุษย์หรือ ปัสสาวะของพวกเราก็มีเท่านี้และสองสามหยดนี้ก็เป็นข้าที่ฝืนตัวเอง!”

ทันใดนั้นอวิ๋นลั่วเฟิงที่ต้องการจะพูดอะไรสักอย่างก็สังเกตเห็นต้นเขฬะมังกรที่ปลูกอยู่ที่ทุ่งเริ่มงอกขึ้นมา ถึงแม้ว่าต้นอ่อนจะมีขนาดเท่าเมล็ดถั่วแต่ก็เพียงพอจะทำให้ตื่นเต้นได้แล้ว

“นายหญิง พวกเราทำสำเร็จแล้ว! ในที่สุดต้นเขฬะมังกรก็งอก!” สีหน้าตื่นเต้นของเสี่ยวโม่แดงก่ำและเขาก็เกือบจะกระโดดด้วยความดีใจ “กว่าหนึ่งหมื่นปีที่ไม่มีใครสามารถปลูกต้นเขฬะมังกรได้ เมล็ดก็มางอกด้วยมือของพวกเราแล้ว! น่าเสียดายที่ปริมาณปัสสาวะของเสี่ยวฉงน้อยเกินไป ไม่อย่างนั้นต้นอ่อนก็คงไม่เล็กแบบนี้”

อวิ๋นลั่วเฟิงลูบคาง “เสี่ยวฉง ต่อไปนี้เจ้ามีหน้าที่มารดน้ำต้นเขฬะมังกรทุกวัน อย่าลืมมารดน้ำทุกวัน”

ถ้าเสี่ยวฉงเป็นมนุษย์ ตอนนี้ใบหน้าเขาก็คงกลายเป็นสีดำเหมือนก้นหม้อไปแล้ว ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็สัมผัสได้ถึงความไม่พอใจที่เขาแผ่ออกมา

“นายหญิง ท่านโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!” ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเสียใจที่เขาสัญญาจะติดตามอวิ๋นเซียวไปชั่วชีวิตเพื่อที่จะออกมาจากภูผาสุสานเทพ อย่างน้อยถ้าเขาติดอยู่ที่หุบเขา เขาก็ไม่ต้องมาใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมานเหมือนวันนี้… …

เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว และพริบตาเดียวเวลาสิ้นสุดข้อตกลงระหว่างฉีซูและตระกูลฉีก็มาถึง

ตั้งแต่ที่ฉีมั่วมาที่นครเฟิงหลินเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว เขาก็ไม่เคยมาที่นี่อีกเลยตลอดหนึ่งเดือน ดูเหมือนว่าเขาจะสรุปแล้วว่าอีกหนึ่งเดือนฉีซูจะต้องแพ้แน่นอน! แต่ว่าถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้มาที่นครเฟิงหลินแต่เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ก็ยังแพร่ไปถึงตระกูลฉี…

ณ เมืองจักรพรรดิ

เทียบกับนครเฟิงหลินแล้ว เมืองจักรพรรดิดูหรูหรามาก ถึงอย่างไรเมืองนี้ก็เป็นที่อยู่ราชวงศ์! ภายในตระกูลฉี ชายวัยกลางคนคนหนึ่งทำสีหน้าเย็นชาขณะที่กำหมัดแน่น สีหน้าเคร่งเครียดของเขามีร่องรอยความโกรธเคือง

“เจ้าบอกว่า ฉีซูกำลังจะขายน้ำยาสมุนไพรพลังฌานในอีกสองวันข้างหน้างั้นหรือ”