บทที่ 172 ใจสงบดุจน้ำนิ่ง

บุหลันเคียงรัก

แสงอาทิตย์อันแสนสดใสทะลุผ่านรูที่สูงที่สุดเข้ามาภายในห้องขัง จุดแสงเจิดจ้าตกกระทบที่ข้างรองเท้า

 

 

ภาพอย่างเดิมนี้ จื่อซีมองมันมาสองพันปีแล้ว

 

 

สองพันปีนี้ นางเคยเสียใจ ถึงขั้นคิดอยากจะทิ้งคำสัญญาของตนไป คิดอยากจะลอบออกไปจากคุกสวรรค์ แต่ว่านางก็ยังยืนกรานต่อไป บางทีสำหรับนางแล้ว อยู่ในคุกสวรรค์ไม่ใช่เพียงความรู้สึกผิดต่อเสวียนอี่เท่านั้น แต่เพื่อการกู้คืนและยกระดับตัวนางเองอย่างหนึ่ง

 

 

ห้องขังที่คับแคบตอนนี้เต็มไปด้วยเอกสารทางการมากมาย ผู้คุมฝ่ายอาญามักส่งเอกสารมาให้นางจัดการอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่านางจะปฏิเสธอย่างไรก็ไร้ประโยชน์

 

 

วันนี้นางก็มีเรื่องที่ต้องจัดการอีกมากมาย จื่อซีถอนหายใจแล้วพลิกหน้าเอกสาร พลันได้ยินประตูระเบียงคดห้องขังถูกเปิดออก เสียงฝีเท้าดังแว่วมาเป็นระยะๆ ไม่นาน เสียงฝีเท้าเหล่านั้นก็ดังชัดเจนที่หน้าประตูตน เสียงนุ่มที่ห่างหายไปนานดังขึ้น “ศิษย์พี่หญิง”

 

 

เอกสารในมือของจื่อซีพลันร่วงลงไปที่พื้น เหลือบตาขึ้นมองผ่านแสงของคาถาพันธนาการ เงาร่างเพรียวบางของเสวียนอี่แลดูไม่ชัดเจนนัก

 

 

ทอดถอนใจหรือ? รู้สึกผิดหรือ? ยินดีหรือ? ไม่มีหน้าจะมองหรือ?

 

 

อารมณ์ความรู้สึกมากมายนับหมื่นนับพันทำให้จื่อซีนิ่งชะงักอยู่กับที่

 

 

เสวียนอี่มองเงาร่างในห้องขังที่มืดสลัวอยู่เงียบๆ ในใจตนชอบนาง จึงเรียกนางว่าศิษย์พี่หญิง ส่วนนางทั้งๆ ที่ในใจไม่ชอบตน แต่กลับยังยึดถือกฎระเบียบเอาไว้เพื่อรักษาความเป็นศิษย์พี่หญิงเอาไว้

 

 

เสวียนอี่กล่าวเสียงเบาว่า “ตอนนั้น ที่ได้เจอกับศิษย์พี่หญิงเป็นคนแรก ข้าสบายใจมาก”

 

 

แต่ว่านางกลับทำผิดต่อความสบายใจนี้ ดวงตาที่แห้งขอดมาตลอดสองพันปีของจื่อซีพลันมีหยาดน้ำตาใสเอ่อคลอขึ้นมาอีกครั้ง นางเบือนหน้าไป แล้วใช้แขนเสื้อกดดวงตาเอาไว้

 

 

เสียงของเสวียนอี่นุ่มนวล “จริงๆ แล้วตอนนั้นข้าตั้งใจจะฆ่าศิษย์พี่หญิง”

 

 

…หา จื่อซีมองไปที่นางอย่างตกตะลึง

 

 

“ข้าดีใจมากที่สุดท้ายก็ไม่ได้ลงมือไป” ดวงตาหลังผ้าสีดำของเสวียนอี่หรี่ลง “ศิษย์พี่หญิงเองก็ควรจะทำเหมือนอย่างข้า ใจกว้างกับตัวเองบ้าง”

 

 

จื่อซีพลันไม่รู้จะกล่าวอะไรขึ้นมา น้ำตาก็เหมือนจะไหลไม่ออกเสียแล้ว

 

 

กลับได้ยินองค์หญิงน้อยนิสัยประหลาดคนนี้พลันถอนหายใจ น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นจนใจ “ศิษย์พี่หญิงช่างเป็นคนที่มีตาหามีแววไม่แม้แต่น้อยจริงๆ ”

 

 

คนอื่นอย่างเหยียนสยาภายหลังไปเลือกกู่ถิง จื่อซีกลับไปชนเข้ากับหลุมอย่างเซ่าอี๋จนแทบตาย

 

 

ก่อนหน้านี้จื่อซีถูกนางพูดจนทั้งรู้สึกผิดระคนโมโห แต่ไม่นาน สีหน้าของนางก็กลายเป็นสงบราบเรียบและใสบริสุทธิ์ อารมณ์ที่เคยทำให้นางคลั่งจนแทบล้ม ทำให้นางคลั่งไคล้และเกิดภาพมายาประหลาดมากมายนับไม่ถ้วนเหล่านั้น หายไปหมดสิ้นแล้วในเวลาสองพันปีมานี้ ความรู้สึกที่นางเคยซ่อนไว้ในใจ ทะเลหลีเฮิ่นที่วิชาใดๆ ไร้ผลที่ลึกล้ำดำมืดนั้นเองก็หายไปหมดแล้วเช่นกัน

 

 

แท้จริงแล้วเซ่าอี๋ไม่ได้พูดผิดสักครั้ง ความหลงใหลของนางสุดท้ายก็เป็นแค่ภาพมายา เหมือนกับตอนที่นางหลงใหลฝูชาง นางมองเขาและมีชีวิตอยู่ในภาพมายาที่ตนสร้างขึ้น ไม่ยอมก้มลงมามองความจริง

 

 

ดังนั้นนางจึงก้มหน้าลงแล้วเผยรอยยิ้มออกมา “…ไม่ผิด มีตาหามีแววไม่จริงๆ ”

 

 

เสียงหัวเราะเบาของเสวียนอี่ดังไปไกล “รีบออกมาเถอะศิษย์พี่หญิง อีกไม่กี่เดือนก็จะเป็นพิธีแต่งงานของศิษย์พี่กู่ถิงกับศิษย์พี่เหยียนสยาแล้ว พวกเราไปร่วมงานฉลองด้วยกัน”

 

 

ไปอย่างนี้หรือ จื่อซีรีบร้อนไปหน้าคาถาพันธนาการ แต่กลับเห็นม่านพลังที่แข็งแกร่งทรงพลังนั่นไม่รู้ถูกเสวียนอี่ดึงจนพังตั้งแต่เมื่อไหร่ นางไล่ตามออกไปนอกห้องขัง แล้วกล่าวเสียงสูงว่า “เสวียนอี่ ขอโทษด้วย”

 

 

ขอโทษอะไร หากว่าพวกนางทั้งสองสลับตัวกัน นางคงไม่มีทางที่จะมีอารมณ์ความคิดที่สูงส่งเช่นนี้ได้ ศิษย์พี่หญิงช่างชอบทรมานตนเองเสียจริง

 

 

เสวียนอี่โบกมือ ชายชุดคลุมยาวสีม่วงอ่อนหายลับไปท่ามกลางระเบียงคดอันมืดมิด

 

 

 

 

ผ้าม่านที่ปิดไว้พลันถูกแหวกออก แสงส่องลอดจากหน้าต่างวงเดือนเข้าไปภายในเรือนที่ไม่นับว่าสว่างอะไร พาให้ห้องนอนสว่างขึ้นมา

 

 

ฤดูใบไม้ผลิฝนตกบ่อย วังมหาเทพบูรพายามนี้ จุดที่ฝนตกบ่อยที่สุดแทบจะมีฝนโปรยปรายลงมาทุกวัน ภายในเรือนที่มืดมิดและสงบเงียบเต็มไปด้วยไอน้ำหนาแน่น หมอกปกคลุมหนา หยดน้ำโปร่งใสหยดลงมาจากยอดระเบียงคดหนานมู่หยดแล้วหยดเล่าราวกับม่านผลึกแก้ว

 

 

ฝูชางหันกลับไปมองม่านสีเขียว ร่างภายในนั้นยังคงหลับลึก

 

 

นับตั้งแต่ตื่นขึ้นมาแล้ว นางก็เหมือนกับเทพมังกรจู๋อินที่เพิ่งถือกำเนิด ไม่ทันไรก็ง่วงนอน นอนครั้งหนึ่งยังหลับไปถึงสามวันห้าวัน คราวนี้นางนอนไปสี่วันแล้ว นับจากเมื่อวานนางเริ่มพลิกตัวมากขึ้น คิดว่าคงใกล้ตื่นแล้ว

 

 

ลมฤดูใบไม้ผลิที่เย็นสบายพัดมา ฝูชางคลุมเสื้อคลุมไว้ คิดแล้วก็ไม่ได้ปิดม่านหน้าต่าง เขาเปิดประตูแล้วออกไปจากเขตแดนเมฆา เหล่าเทพขุนนางที่เดินผ่านต่างยิ้มแล้วคารวะ พลางกล่าวว่า “ท่านเทพขอรับ ดอกซิ่งเซียนหวาในสวนดอกไม้บานแล้วเมื่อวันก่อนขอรับ”

 

 

บังเอิญจริง นางเห็นแล้วจะต้องชอบแน่นอน

 

 

เมื่อฝึกซ้อมกระบี่ที่ริมทะเลสาบเฉินเจียงเสร็จแล้วกลับมาในห้องนั้น ก็พบว่าองค์หญิงมังกรตื่นแล้ว นางนั่งอยู่ริมเตียงพลางใช้แขนเสื้อปิดตาเอาไว้ มองแล้วน่าสงสารอย่างน่าประหลาด

 

 

ฝูชางดีดปลายนิ้ว ทำให้ม่านปิดลง ภายในห้องพลันตกสู่ความมืดที่ทำให้นางสบายใจทันที

 

 

“ท่านจงใจ” เสวียนอี่เม้มปาก ราวกับกลัวว่านางจะแอบหนีไปอย่างนั้น เขาไม่อยู่กลับทำห้องสว่างขนาดนั้น นางตื่นขึ้นมาเกือบจะตาบอดแล้ว เจ้านี่ไฉนถึงได้โหดเหี้ยมขนาดนี้

 

 

ฝูชางแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ย่อตัวลงข้างเตียงแล้วปัดผมยาวของนางออก พลางพิจารณาสีหน้านางอย่างละเอียด แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ดอกซิ่งเซียนหวาบานแล้ว อยากไปดูไหม”

 

 

นางรีบโอบรอบคอเขาไว้อย่างดีใจทันที “อยาก”

 

 

ใบหน้าของนางยังคงแดงก่ำอย่างคนเพิ่งตื่นนอน กระทั่งริมฝีปากยังแดงสดกว่าปกติมากนัก ฝูชางพลันรู้สึกไม่อยากไปดูดอกซิ่งตอนนี้ขึ้นมาเสียแล้ว ปลายนิ้วไล้ไปบนริมฝีปากของนางครู่หนึ่ง สุดท้ายก็อดไม่ไหวเงยหน้าจูบนาง

 

 

แยกจากกันสองพันปี เขานุ่มนวลไม่ไหว ในความมืดมิดขนาดยื่นนิ้วทั้งห้าออกไปยังมองไม่เห็นเขาปลดปล่อยออกมาสุดกำลัง ทั้งกัดทั้งเลียทั้งดูด เขาแทบอยากจะฉีกนางเป็นชิ้นๆ แล้วกลืนลงท้อง เขาโจมตีไปยังป้อมปราการล้อมเมืองตามแนวฟันของนางหลายต่อหลายครั้ง เพื่อให้นางตอบกลับ จนกระทั่งนางโน้มกายลงแนบแอบอิงมาอย่างโอนอ่อน ผิวกายร้อนจัด

 

 

ระหว่างพัวพันเกี่ยวกระหวัด เสวียนอี่รู้สึกเพียงฝ่ามือของเขาลอดผ่านเสื้อผ้าเข้ามาแล้วมากุมไหล่เปลือยเปล่าของนางไว้ อาจเพราะไม่มีเกล็ดมังกรแล้ว แรงมือนี้จึงทำให้นางรู้สึกเจ็บน้อยๆ นางเริ่มบิดไปมาราวกับปลาที่เพิ่งจะติดเบ็ด กล่าวเสียงสั่นว่า “เจ็บมาก”

 

 

แต่เสียงของนางไม่เหมือนกับกำลังเจ็บเลย

 

 

ไม่อย่างนั้นก็เจ็บสักหน่อยเถอะ เวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกันน้อยเกินไป มีเพียงแต่ความเจ็บปวดถึงจะหวนนึกถึงมัน

 

 

ฝูชางค้อมตัวลงไปแล้วกัดที่บ่าของนาง หมุนวนไปมา บนผิวที่ราวกับเครื่องหยกเคลือบนั่นพลันเกิดรอบแดงเขียวช้ำขึ้นมา เขาใช้ปลายนิ้วลูบไล้อยู่ครู่หนึ่ง เพียงรู้สึกสุขสมอย่างน่าประหลาด จึงอดที่จะไล่ลงไปตามแนวโค้งของบ่าแล้วดูดจูบหนักๆ ไปตลอดทางไม่ได้

 

 

เสวียนอี่ที่ไม่มีเกล็ดผู้น่าสงสารราวกับกลายเป็นมดบนกระทะร้อน[1] คราวนี้ร่างของนางกลายเป็นเต้าหู้อยู่ในมือเขาไปแล้วจริงๆ บิดครั้งหนึ่งกัดคำหนึ่งจนทิ้งรอยจ้ำเอาไว้ มันเจ็บอยู่บ้าง แต่กลับไม่ได้เจ็บขนาดนั้น เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

 

 

ฟ้าดินพลิกกลับ ทำให้ความมืดมิดที่ทำให้นางสบายใจกลายเป็นร้อนรุ่มขึ้นมาทันที ร่างถูกจับพลิกไป ริมฝีปากของเขากัดลงที่แผ่นหลังของนางเบาๆ คำหนึ่ง มืออีกข้างก็อ้อมมาด้านหน้าแล้วกอบกุมลงไปบนเนินอกที่นูนขึ้นมาของนาง

 

 

นางกลายเป็นนกที่ถูกตัดปีกตัวหนึ่งอยู่ในอ้อมอกเขา เอวถูกเกี่ยวไว้ บ่าเองก็ถูกกดเอาไว้ รู้สึกราวกับหายใจไม่ออกอย่างไรอย่างนั้น บนล่างหน้าหลังไร้ทางหนี ทะเลสุราพิษที่งดงามผืนนั้นแช่กระดูกนางลงไปจนมิดแล้ว คิดว่าภายภาคหน้ากระทั่งวิญญาณก็คงต้องจมอยู่ในนั้นเช่นกัน

 

 

ฝูชางจับคางแล้วหันหน้านางกลับมาครึ่งหนึ่ง ในความมืดมิด โครงหน้าครึ่งซีกของนางมีแสงสว่างเรืองรองอ่อนจาง เขาเข้าไปจุมพิตที่ริมฝีปากนาง หลายต่อหลายครั้ง พร้อมกันนั้นฝ่ามือเองก็ขยับหยอกเย้าไปพลาง ขาทั้งสองขององค์หญิงมังกรดิ้นพล่านไปมาในผ้าห่ม ทำไมถึงได้ชอบหลบนัก มือของเขาไล้ลงไปตามสัดส่วนโค้งเว้าอันงดงามลงไป ก่อนจะหยุดอยู่ตรงจุดที่นางหลบอย่างรุนแรงที่สุด

 

 

หลบไปเถอะ เสื่อมเทพกลายเป็นมาร รนหาทางตายเอง บัญชีเหล่านี้ผ่านมาสองพันปีแล้ว อย่างไรก็ต้องคิดให้ชัดเจน เขากัดลงไปที่มุมปากนางหนึ่งครั้งราวกับกำลังแก้แค้นมิปาน

 

 

 

 

[1]มดบนกระทะร้อน : เป็นสำนวนที่เปรียบเปรยอาการหงุดหงิด ฉุนเฉียว หรือร้อนใจ กระวนกระวาย ราวกับมดที่อยู่ในกระทะที่เผาไฟจนร้อน