พันชางเซียนที่ควบคุมทรัพยากรของทั้งค่ายซางจิงปาดเหงื่อบนหน้าผากออก ทั้งหน้าเขากลายเป็นขาวซีด ตามมาด้วยความเงียบ ชูฮันทำให้เขาหมดความมั่นใจที่จะพูดต่อ
พันชางเซียนถูกชูฮันจัดการภายในนัดเดียว ชายหนุ่มอีกคนผุดลุกขึ้น เขาเป็นชายหนุ่มดูดีชื่อว่า ช่าวหลี่ เขาคือหนึ่งในวิวัฒนาการระยะ 4 ไม่กี่คนในค่ายซางจิง
เมื่อเห็นว่าช่าวหลี่ยืนขึ้น หลายคนก็เริ่มสงบอารมณ์และรอคอยดูสถานการณ์ วิวัฒนาการระยะ 4…นี่มันไม่ดีแล้ว ช่าวหลี่ไม่เหมือนกับพันชางเซียน ช่าวหลี่ไม่มีทางยอมให้ชูฮันมาเล่นแงแถวนี้อย่างแน่นอน
ช่าวหลี่มองไปที่ชูฮันพร้อมกับสีหน้าที่ค่อนข้างเย็นชา “ชื่อ ชูฮัน อายุ 20 ปี ได้รับคะแนนการประเมิณ S+ สามครั้งติดต่อกัน และทุกครั้งที่ชื่อเขาปรากฏเขาจะอยู่ที่อันดับหนึ่งเสมอ และไม่มีใครสามารถก้าวผ่านอันดับของชูฮันไปได้ สำหรับวิวัฒนาการระยะ 3—–“
“ขอบคุณ แต่ฉันเป็นวิวัฒนาการระยะ 4” ชูฮันพูดแทรกช่าวหลี่ขึ้นมาพร้อมกับลอบยิ้มที่มุมปาก
ทันทีที่เห็นท่ายืนของช่าวหลี่ ชูฮันก็รู้ได้เลยว่าช่าวหลี่เป็นคนมีความสามารถและไม่ใช่จะต่อกรด้วยได้ง่ายๆ คำพูดของอีกฝ่ายอาจดูเหมือนยกยอ แต่ความจริงอีกฝ่ายกำลังหาโอกาสจะคัดค้านเขาต่างหาก
แน่นอนว่าไม่เพียงแต่ช่าวหลี่ แต่ลมหายใจของหลายคนก็สะดุดกันหมด กลายเป็นว่าชูฮันคือวิวัฒนาการระยะ 4 ทุกคนรวมถึงช่าวหลี่ต่างตกใจค้างกันหมด
“อะแฮ่ม!”
ช่าวหลี่กระแอมเล็กน้อย มันมีความอับอายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของช่าวหลี่ เขาพยายามพูดจากดชูฮันให้ดูแย่ “เป็นวิวัฒนาการระยะ 4 แต่เป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่ต้องการช่วยเหลือผู้คนแก้ไขปัญหาซอมบี้และลูกผสม แถมยังสนใจแต่เรื่องผลประโยชน์ที่จะได้รับ คุณไม่รู้สึกละอายใจบ้างเหรอไง?”
หลายคนพยักหน้ารับกับคำพูดของช่าวหลี่อย่างเห็นด้วย พวกเขารู้สึกว่าช่าวหลี่พูดถูกแล้วเนื่องจากวิวัฒนาการคือคนที่แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป ทำไมชูฮันถึงเอาแต่คิดถึงตัวเอง? ในตอนนี้จีนกำลังจะล่มสลาย มนุษยชาติแขวนอยู่บนเส้นด้าย ชูฮันที่เป็นคนทรงพลังแต่กลับเห็นแก่ตัวแบบนี้เขาไม่รู้สึกละอายใจบ้างเหรอ?”
ชูฮันบิดปาก “ละอายใจ งั้นฉันก็คงไม่ควรจะเป็นพลเอกนั้นแหละ”
พัฟ!
ช่าวหลี่แทบสำลักใส่หน้าชูฮัน มันอัดแน่นอยู่ในอก เขาจุกกับคำพูดที่ไร้ยางอายของชูฮัน
ทันใดนั้นทุกคนในห้องประชุมก็พูดอะไรไม่ออก
ชูฮันเป็นคนที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม ถ้าพวกเขาไม่หาเงื่อนไขที่ดีมาให้ชูฮัน ชูฮันก็จะไม่ยอมรับตำแหน่งพลเอกนี้แน่ๆ
และในขณะที่ไม่มีใครกล้าปริปากพูดอะไรออกมา ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบสงบกันหมด และทันใดนั้นเองผู้บัญชาการมู๋ก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาและวางลงบนโต๊ะ “นี่เป็นข้อเสนอพิเศษสำหรับอภิสิทธิของตำแหน่งพลเอก นายลองดูก่อนถ้ายังไม่พอใจเราสามารถตกลงกันใหม่ได้”
หลังจากชูฮันรับกระดาษไปดูพร้อมอ่านรายละเอียดอย่างจริงจังพร้อมกับขมวดคิ้วไปด้วย
บางคนรีบถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันทีและพยายามจะผ่อนคลายบรรยากาศในห้องลง “ใช่ ตำแหน่งพลเอกมีสิทธิพิเศษมากมาย โดยเฉพาะ—–“
“ไม่อยากจะเชื่อ? ผมจะได้ค่าตอบแทนแค่นี้เนี่ยนะ?” ชูฮันอึ้งกับข้อเสนอ จากนั้นเขาก็พูดขัดผู้ชายที่พูดอยู่ขึ้นมาทันที ชูฮันแทบอยากจะคว้าปากกามาเขียนลงบนกระดาษเองเดี๋ยวนี้ “ไม่! ผมต้องการมากกว่านี้สี่เท่า!!”
“เดี๋ยว!—-” ทุกคนผุดลุกขึ้นยืน
“จะพึ่งพาผม? ผมไม่สามารถสร้างค่ายขึ้นมาได้ด้วยของจำนวนแค่นี้ ไม่! ผมต้องการมากกว่านี้ 6 เท่า” อีกครั้งที่ชูฮันไม่เปิดโอกาสให้ใครพูด จากนั้นชูฮันก็พูดต่อรูปแบบเดิม “จะพึ่งพาผม? แต่ผมมีหน่วยทหารในมือแค่นี้? ไม่! ผมต้องการมากกว่านี้ 8 เท่า! จะพึ่งพาผมเหรอ?”
ภายในระยะเวลาสั้นๆ สิทธิพิเศษขั้นพื้นฐานของตำแหน่งพลเอกก็ถูกชูฮันเปลี่ยนขึ้นไปเหนือกว่าที่เคยมีมา จนไม่เหลือเค้าโครงเดิม
“เท่านี้ใช่มั้ย?” พันชางเซียนแทบจะขูดเลือดขูดเนื้อตัวเอง หน้าเขาขาวซีดสลับฟ้า ข้อเสนอบนกระดาษถูกชูฮันเปลี่ยนแปลงความต้องการจนทรัพยากรของค่ายแทบจะเกลี้ยง
ชูฮันถึงกับตัดภาษีของค่ายออกไปด้วย!
พระเจ้า!
“ไม่! นี้มันไม่ได้!”
“มันเกินไป!”
“นี่ไม่ใช่สิทธิพิเศษ แต่มันคือสำหรับจักรพรรดิแล้ว!”
มีประโยคคัดค้านมากมายดังขึ้นมา
ผู้บัญชาการมู๋ยืนขึ้นเพื่อยุติสถานการณ์ในตอนนี้ เลาหมิงเองก็คอยดูสถานการณ์ เขาเองก็ไม่คิดว่าชูฮันจะเปลี่ยนเงื่อนไขขนาดนี้
“ชูฮัน!” ผู้บัญชาการมู๋ถอนหายใจอย่างแรงขณะมีท่าทางลำบากใจ “คุณเรียกร้องมากเกินไป ค่ายซางจิงเป็นค่ายที่ใหญ่ที่สุดจีนก็จริงและถึงเราจะมั่งมีในทรัพยากร แต่มันก็มีเพื่อประชากรหลายแสนคน ถ้าเราตอบรับข้อเรียกร้องทั้งหมดที่คุณเรียกมา ค่ายก็คงปฏิบัติการต่อไปไม่ได้ และอาจจะล่มสลายได้วันพรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำ”
“เพราะฉะนั้น ผู้บัญชาการมู๋!” เลาหมิงที่ยังไม่เคยปริปากพูดเลยตั้งแต่ชูฮันเข้ามา จู่ๆก็ส่งเสียงขึ้น “ก่อนหน้านี้คุณบอกว่าเราสามารถตกลงกันได้ ในเมื่อข้อเรียกร้องของชูฮันมากเกินไปถ้างั้นแต่ละฝ่ายลองถอยกันคนละก้าว ชูฮันต้องการทรัพยากรเพื่อสร้างค่ายของเขาขึ้นมา มันเป็นเรื่องดีที่จะสร้างค่ายผู้รอดชีวิต แต่ยังไงเรื่องการจ่ายภาษีก็ยังคงต้องมีอยู่ เห็นแก่ความสำเร็จของชูฮันและความจริงที่ค่ายยังไม่ได้ก่อตั้งขึ้นมา งั้นเราตกลงกันที่ครึ่งหนึ่ง”
“และ—–” เลาหมิงกล่าวเสริมต่ออีกประโยค “ชูฮันจะเป็นที่รู้จักในนามพลเอก”
เพียงประโยคเดียวของเลาหมิงก็ทำให้คนที่ต้องการจะคัดค้านเงียบเสียงทันที หลังจากพูดคุยกันแล้ว ทุกคนถูกชูฮันย่างจนไหม้และไม่มีแรงจะโต้เถียงต่อ และลืมแม้กระทั่งว่าต้องถามว่าชูฮันได้คะแนน S+ มายังไง
แต่เพียงแค่เลาหมิงพูดไม่กี่ประโยค ชูฮันก็เลิกคัดค้านทันที
ผู้บัญชาการมู๋…
เพราะฉะนั้น เรื่องข้อเรียกร้องมากมายที่ชูฮันเรียดร้องไปก่อนหน้านี้แม้เขาจะตั้งใจทำแบบนั้น แต่มันจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือจากผู้บัญชาการมู๋และเฒ่าแก่เลาหมิง