ตอนที่ 255 จบกันสักที

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

“พวกเจ้าไปรับมือกับกองทัพอสูร ที่นี่ปล่อยให้ข้าจัดการเอง”

จูอวิ๋นชางสั่งการให้ลั่วเยาเซียน จูฉี และคนอื่น ๆ ที่เหลือไปช่วยกันรับมือกับฝูงอสูรมายา

ลั่วเยาเซียนและจูฉีไม่กล้าชักช้า ทั้งคู่พยักหน้ารับก่อนจะรีบพาคนออกไปนอกหุบเขาเพื่อรับมือกับกองทัพอสูรที่กำลังจะมาถึง

ในตอนนี้ฉินอวี้โม่และลั่วเสวี่ยเหินมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความระแวดระวัง

แม้ว่าศัตรูจะเหลือจูอวิ๋นชางเพียงคนเดียว แต่แรงกดดันที่พวกเขาได้รับก็ไม่ลดน้อยลงไปเลย

ความแข็งแกร่งของขอบเขตจ้าวสุริยะช่างแตกต่างจากขอบเขตจ้าวพิภพมากนัก แม้ว่าจะหลงเหลือพลังอยู่เพียงครึ่งเดียวจากผลของลูกปัดวิญญาณสุริยะก็ตาม

“จอมยุทธ์จ้าวพิภพตัวน้อย ๆ อย่างพวกเจ้าน่ะรึคิดจะเป็นคู่ต่อสู้ของข้า!”

จูอวิ๋นชางกล่าววาจาเย็นชา ทันใดนั้นเองร่างของเขาก็หายตัวไปอย่างน่าประหลาด

ปัง!

แม้จะสัมผัมได้ถึงอันตรายและยกฝ่ามือขึ้นมาตั้งรับทันที ทว่าฉินอวี้โม่ก็ยังถูกฝ่ามือของจูอวิ๋นชางซัดจนกระเด็นออกไป นางกระอักเลือดออกมาขณะลอยอยู่ในอากาศพร้อมกับใบหน้าซีดลงไปถนัดตา

“นภายุทธ์ —— หอกวายุคลั่ง!”

ลั่วเสวี่ยเหินรีบใช้นภายุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองเข้าโจมตีจูอวิ๋นชางโดยไม่ลังเล

“ผนึกมนตรา!”

จูอวิ๋นชางหันกลับมามองด้วยแววตาที่ไม่จริงจังราวกับไม่เห็นการโจมตีนั้นอยู่ในสายตา ในพริบตาม่านพลังที่เต็มไปด้วยอักขระมากมายก็ปรากฏที่มือของเขา ก่อนจะใช้มันรับการโจมตีจากหอกวายุคลั่งได้อย่างไม่ยากเย็น

“นั่นคือผนึกมนตราของจอมยุทธ์จ้าวสุริยะ ต่อหน้าม่านพลังนั้น นภายุทธ์ของพวกเราถือว่าไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง”

สีหน้าของลั่วเสวี่ยเหินเปลี่ยนไป เขารีบรั้งการโจมตีกลับมาโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด หอกคู่ใจปรากฏในมือของเขาอีกครั้ง

“วิชามนตรา —— กระบี่ฉีกวิญญาณ! ”

จูอวิ๋นชางเปล่งเสียงเย็นชา กระบี่ที่โปร่งใส่เล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในอากาศ ต่อหน้ากระบี่เล่มนี้ ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของกระแสพลังประหลาดที่ไม่คุ้นเคย มันให้ความรู้สึกที่ว่านางไม่มีสิทธิ์จะต้านทานมันได้เลย

วิชามนตราเป็นสิ่งที่คล้ายคลึงกับนภายุทธ์ เพียงแต่มันจะทรงพลังกว่ามาก มีเพียงจอมยุทธ์ระดับจ้าวสุริยะเท่านั้นจึงจะเข้าใจหลักการแห่งมนตราและสามารถใช้มันออกมาได้

การจะเข้าใจในหลักการแห่งมนตราไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยเหตุนี้ทำให้แม้ในดินแดนอ้างว้างแห่งนี้จะมีจอมยุทธ์ระดับจ้าวพิภพอยู่นับไม่ถ้วน แต่ผู้ที่เข้าใจหลักการแล้วก้าวเข้าสู่ขอบเขตจ้าวสุริยะได้นั้นมีไม่ถึงร้อยคน

ศาสตร์แห่งมนตราเป็นสิ่งที่ยากต่อการทำความเข้าใจ นอกจากต้องมีพรสวรรค์แล้ว โชควาสนาเองก็สำคัญเช่นเดียวกัน

สีหน้าของลั่วเสวี่ยเหินเปลี่ยนไปอีกครั้ง เขาไม่กล้าประมาทแม้แต่ก้าวเดียว พลันรวบรวมพลังจากทั่วทั้งร่างเพื่อมาป้องกัน

“นภายุทธ์ —— โล่ทองคำ!”

โล่สีทองอร่ามขนาดใหญ่ปรากฏตรงหน้าลั่วเสวี่ยเหินเพื่อปกป้องเขาจากอันตรายที่กำลังเข้ามาใกล้

ตูม!

กระบี่ฉีกวิญญาณของจูอวิ๋นชางแทงเข้าใส่โล่ทองคำที่อยู่ตรงหน้าลั่วเสวี่ยเหินทำให้เกิดเสียงดังสนั่น

อย่างไรก็ตาม ภายในชั่วพริบตา กระบี่ฉีกวิญญาณก็ทะลวงผ่านการป้องกันของโล่ทองคำไปได้และพุ่งเข้าหาลั่วเสวี่ยเหินที่อยู่ด้านหลัง

แม้ว่าลั่วเสวี่ยเหินจะพยายามหลบหลีกอย่างเต็มกำลังแล้ว แต่ก็ยังถูกกระบี่เล่มนั้นแทงทะลุไหล่ไปในพริบตา โลหิตจำนวนมากสาดกระจายออกมา

ปัง!

ยังไม่ทันที่เขาจะได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง ฝ่ามือของจูอวิ๋นชางก็ตรงเข้ามาจากอีกทิศทางหนึ่ง

มันสายเกินไปแล้วสำหรับลั่วเสวี่ยเหินที่จะป้องกัน ครั้งนี้เป็นอสูรมายาของเขาที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วช่วยป้องกันเอาไว้ได้

จากนั้น ทั้งลั่วเสวี่ยเหินและอสูรคู่ใจต่างก็กระเด็นออกไปด้วยพลังของฝ่ามือนั้น จอมยุทธ์ลั่วกระอักเลือดออกมาจากปาก เขารู้สึกเหมือนกับว่าอวัยวะภายในของเขาได้รับความเสียหายอย่างหนัก

หลิวหยารีบพุ่งเข้าไปพัวพันกับจูอวิ๋นชางเอาไว้เพื่อยื้อเวลาให้ทุกคน  แต่มังกรอัสนีก็ทำอะไรได้ไม่มากนัก ไม่นานมันก็ถูกฝ่ามือของจูอวิ๋นชางเล่นงาน แม้แต่มังกรระดับสูงก็ยังถูกฝ่ามือนั้นส่งให้กระเด็นออกไป

แม้ว่าหลิวหยาจะไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก แต่เจ้ามังกรก็ต้องประหลาดใจกับพลังที่เหนือชั้นของศัตรูผู้นี้

“จอมยุทธ์ลั่ว ท่านไม่เป็นอะไรนะ ?”

ฉินอวี้โม่มาปรากฏตัวข้างลั่วเสวี่ยเหินพลันกล่าวถามด้วยความเป็นห่วง

แม้จะถูกฝ่ามือของจูอวิ๋นชางเล่นงาน แต่นางก็ได้รับบาดเจ็บไม่มากนัก หลังจากกินโอสถฟื้นพลังเข้าไป ผ่านไปไม่กี่อึดใจก็พร้อมสู้อีกครั้ง

ทว่าลั่วเสวี่ยเหินถูกฝ่ามือของผู้นำขุมกำลังพญายมซัดจนกระเด็น อีกทั้งยังถูกกระบี่ฉีกวิญญาณเล่นงานจนเกิดบาดแผลฉกรรจ์ ดูแล้วอาการบาดเจ็บของเขาคงไม่ใช่น้อย ๆ แน่

“ข้าไม่เป็นอะไร”

ใบหน้าของลั่วเสวี่ยเหินซีดลงอย่างเห็นได้ชัด เขาตอบด้วยรอยยิ้มอ่อน ๆ ก่อนจะยืนขึ้นอย่างช้า ๆ

“ฉินอวี้โม่ เจ้าหนีไปก่อนเถอะ ข้าจะอยู่ที่นี่เพื่อสกัดเขาไว้ให้เอง”

ลั่วเสวี่ยเหินมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาที่แน่วแน่

ความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์จ้าวสุริยะเกินกว่าจินตนาการของพวกเขา ต่อหน้าคนผู้นี้พวกเขาไม่มีพลังพอจะต่อต้านได้เลย

ถ้าจะต้องมาตายอยู่ที่นี่กันทั้งคู่ สู้หนีเอาตัวรอดไปให้ได้สักคนยังจะดีเสียกว่า

“ขอบคุณจอมยุทธ์ลั่ว แต่ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”

ฉินอวี้โม่ส่ายหน้าปฏิเสธ  แม้ว่านางจะเพิ่งเคยพบลั่วเสวี่ยเหินเป็นครั้งแรกแต่นางก็ประทับใจในตัวเขามาก คนผู้นี้ยอมเอาตัวเข้าแลกเพื่อปกป้องนาง เรื่องนี้ทำให้นางซาบซึ้งอย่างยิ่ง

น่าเสียดายที่ฉินอวี้โม่ไม่ใช่คนที่จะทิ้งสหายไว้ข้างหลังและหนีเอาตัวรอดคนเดียวได้ แม้ว่าจูอวิ๋นชางผู้นี้จะแข็งแกร่งมากก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่ว่าพวกนางจะหมดโอกาสชนะเสียทีเดียว

ถ้ามีซิวและหานอวี้อยู่ช่วยนาง ฉินอวี้โม่เชื่อว่าการจะรับมือกับจูอวิ๋นชางที่มีพลังเพียงครึ่งเดียวนั้นมิใช่ปัญหาเลย

ทว่าแม้ซิวและหานอวี้จะออกมาช่วยนางไม่ได้ แต่นางก็ยังมีวิธีการของนางอยู่ ฉินอวี้โม่ไม่อยากให้ตัวเองต้องพึ่งพาพลังของซิวและหานอวี้จนเคยตัว การทำเช่นนั้นบ่อย ๆ จะทำให้นางสูญเสียจิตวิญญาณในการต่อสู้ไป

การที่ฉินอวี้โม่ปฏิเสธก็เป็นไปตามที่ลั่วเสวี่ยเหินคาดการเอาไว้

ถ้าหากว่าฉินอวี้โม่เลือกที่จะหนีเอาตัวรอดไปก่อน ลั่วเสวี่ยเหินคงจะประหลาดใจมากกว่า

จอมยุทธ์แห่งหุบเขาหงส์ร่วงยิ้ม “หึ ๆ ๆ ถ้าเป็นเช่นนั้นพวกเราก็จะทุ่มพลังทั้งหมด ข้าไม่เชื่อว่าเราจะหมดสิ้นหนทางชนะ”

ฉินอวี้โม่ได้ยินคำพูดของลั่วเสวี่ยเหินก็เผยรอยยิ้มออกมา

‘จอมยุทธ์ลั่ว ไม่ใช่ว่าเราจะไม่มีโอกาสชนะ ตอนนี้มารยากำลังเตรียมเครื่องมือที่ทรงอานุภาพอยู่แต่ยังต้องการเวลาอีกเล็กน้อย ขอเพียงพวกเราถ่วงเวลาเอาไว้ได้ ทันทีที่เครื่องมือของนางสัมฤทธิ์ผลแล้ว โอกาสก็จะมาหาพวกเรา’

ฉินอวี้โม่สื่อสารกับลั่วเสวี่ยเหินทางจิตวิญญาณเพื่อไม่ให้ศัตรูได้ยิน

ในตอนนี้ที่นางจะพึ่งพาได้ก็มีเพียงมารยาเท่านั้น พลังข่ายอาคมของอสูรแห่งแดนเหมันต์ผู้นี้ทำให้นางประหลาดใจมาครั้งแล้วครั้งเล่า

ทันทีที่จูอวิ๋นชางปรากฏตัวขึ้นที่นี่ มารยาก็ใช้จังหวะนั้นแอบจัดเตรียมข่ายอาคมที่ทรงพลังมาก ขอเพียงข่ายอาคมนี้สัมฤทธิ์ผล แม้แต่จูอวิ๋นชางก็ยากจะรอดไปได้

เมื่อได้รับข้อความทางจิตจากฉินอวี้โม่ ลั่วเสวี่ยเหินก็อึ้งงันไป แต่ในชั่วอึดใจเขาก็ตั้งสติได้และรีบพยักหน้า  เขาเป็นคนฉลาดจึงเข้าใจดีว่าตอนนี้ควรทำอย่างไร

แม้ว่าเขากับฉินอวี้โม่จะไม่สามารถเอาชนะจูอวิ๋นชางได้ แต่เพียงแค่ถ่วงเวลาย่อมไม่ใช่ปัญหา

ในเมื่อฉินอวี้โม่บอกมาแบบนั้น เขาก็จะเชื่อนางสักครั้ง เขาอยากรู้เหลือเกินว่าอสูรของฉินอวี้โม่กำลังเตรียมเครื่องมือแบบไหนไว้กันแน่

“หึ ๆ ๆ ทีนี้พวกเจ้าคงรู้แล้วสินะว่าพลังของพวกเราห่างชั้นกันเพียงใด!”

หลังจากเล่นงานจนมังกรอัสนีหมดพลังในการต่อสู้ไปแล้ว จูอวิ๋นชางก็หันมามองฉินอวี้โม่กับลั่วเสวี่ยเหินด้วยสีหน้าที่ภาคภูมิ

“เหอะ ไว้ฆ่าพวกเราได้ก่อนค่อยคุยก็ยังไม่สาย”

ฉินอวี้โม่กล่าวโต้ตอบ พลังมายาก่อตัวขึ้นบนฝ่ามือของนางก่อนจะขยายตัวออกอย่างรวดเร็ว

ในตอนนั้งเองที่กระบี่ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในมือนาง

เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังและแรงกดดันจากกระบี่ยักษ์ในมือฉินอวี้โม่ สีหน้าของจูอวิ๋นชางก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย เพราะสำหรับเขาแล้วพลังเพียงเท่านี้ไม่ถือว่ามากมายอะไร

อย่างไรก็ตาม กระบี่ยักษ์เล่มนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ฉินอวี้โม่คิดจะใช้

ในระหว่างนี้ กระบี่ยักษ์เล่มนั้นก็ค่อย ๆ ลดขนาดของตัวเองลงมาอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักมันก็หดย่อลงมาจนมีขนาดไม่ต่างจากเข็มเล่มหนึ่ง

“เข็มทะลวงนภาลัย”

เพียงฉินอวี้โม่ขยับฝ่ามือ เข็มขนาดเล็กเล่มหนึ่งก็พุ่งเข้าหาจูอวิ๋นชางอย่างรวดเร็ว

“ผนึกมนตรา!”

สีหน้าของจูอวิ๋นชางเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามจากเข็มเล่มนั้นอย่างชัดเจน

ฟุ่บ!

ทว่าในครั้งนี้ม่านพลังมนตราของจูอวิ๋นชางไม่อาจจะป้องกันกระบวนท่าของฉินอวี้โม่ได้่ เข็มเล่มนั้นทะลวงผ่านม่านพลังไปได้

“วิชามนตรา—— โล่แห่งราชัน!”

จูอวิ๋นชางขมวดคิ้วและรีบใช้วิมนตราเรียกโล่ขนาดใหญ่ออกมาตรงหน้าเพื่อป้องกันการโจมตี

เคร๊ง!

เข็มที่อัดแน่นไปด้วยพลังมายาของฉินอวี้โม่ปะทะเข้ากับโล่แห่งราชันของจูอวิ๋นชางจนเกิดเสียงดัง อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้การจะทะลวงผ่านโล่ของเขาไปไม่ใช่เรื่องง่าย โล่แห่งราชันยังคงตั้งอยู่อย่างมั่นคง

แกร๊ก!

เกิดเสียงเหมือนกับอะไรบางอย่างปริแตก ไม่นานนักโล่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าของจูอวิ๋นชางก็พังทลายลงไปในพริบตาขณะที่เข็มพลังมายาของฉินอวี้โม่เองก็หายไปในอากาศ

การโจมตีนี้ไม่ส่งผลใด ๆ กับจู่อวิ๋นชางเลยแม้แต่น้อย

“ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ !”

เป็นครั้งแรกที่จูอวิ๋นชางรู้สึกทึ่งในพลังของคู่ต่อสู้ ครั้งนี้เขารู้สึกถึงอันตรายอย่างแท้จริง ใบหน้าของเขาดูจริงจังขึ้นมาแล้ว

แม้ว่ากระบวนท่าเมื่อครู่ของฉินอวี้โม่จะไม่สามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้ แต่ถ้าหากเขาตัดสินใจช้าไปกว่านี้อีกชั่วอึดใจ ร่างของเขาก็อาจจะถูกทะลวงจนเป็นรูได้เลย

ด้วยพลังที่เพิ่งจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตจ้าวพิภพกลับสามารถทำลายการป้องกันเขาได้ถึงเพียงนี้ สตรีผู้นี้น่ากลัวอย่างแท้จริง การปล่อยให้คนที่น่ากลัวเช่นนี้อยู่ต่อไปจะเป็นผลร้ายต่อเขาในอนาคต

ลั่วเสวี่ยเหินเองก็อึ้งไปเช่นกัน กระบวนท่าเมื่อครู่ของฉินอวี้โม่ทำให้เขารู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก

ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาที่ต้องรับกระบวนท่าเมื่อครู่ของฉินอวี้โม่ เขาคิดว่าโอกาสที่เขาจะต้านทานมันได้มีอยู่น้อยมากจริง ๆ

ฟุ่บ!

ฉินอวี้โม่ไม่หยุดเพียงเท่านั้น ร่างของนางหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ในตอนนี้สิ่งที่นางควรทำคือถ่วงเวลาให้มารยาเพื่อไม่ให้จูอวิ๋นชางมีเวลาสังเกตถึงความผิดปกติ นางต้องเข้าไปปะทะกับเขาตรง ๆ  ด้วยควาามเร็วที่เหนือชั้นของนาง การจะปะทะเพื่อยื้อเวลาไม่ใช่ปัญหา อย่างน้อย ๆ ก็น่าจะต้านทานได้หลายช่วงลมหายใจ

ทันทีทีข่ายอาคมของมารยาพร้อมทำงาน โอกาสของนางก็จะมาถึง

“หืม ?”

เมื่อเห็นร่างของฉินอวี้โม่หายไปอย่างน่าประหลาด จูอวิ๋นชางก็ชะงักไป

ในชั่วอึดใจต่อมาเขาก็สัมผัสได้ถึงกระแสลมที่พัดเข้ามา จึงรีบใช้อาวุธในมือป้องกันการโจมตีที่รุกเข้ามาจากทางขวา

เคร๊ง!

เสียงกระบี่สองเล่มปะทะกันดังขึ้นพร้อม ๆ กับที่ร่างของฉินอวี้โม่ปรากฏออกมาให้เห็น

“แข็งแกร่งจริง ๆ ข้าไม่สงสัยเลยว่าเหตุใดเจ้าถึงไม่เห็นลูกชายของข้าอยู่ในสายตา”

จูอวิ๋นชางพบว่าความเร็วของฉินอวี้โม่ไม่ด้อยไปกว่าเขาเลย ถ้าไม่พึ่งพลังมายาแล้วปะทะกันด้วยกระบวนท่าและความเร็วอย่างเดียว เขาคิดว่าตัวเขาคงเอาชนะฉินอวี้โม่ไม่ได้แน่

“เจ้าเองก็ไม่อยู่ในสายตาข้าเช่นกัน”

ฉินอวี้โม่จงใจกล่าววาจายั่วโมโหฝ่ายตรงข้าม ร่างของนางหายไปอีกครั้งก่อนจะปรากฏตัวขึ้นอีกด้านแล้วพุ่งเข้าโจมตีอีกครา

จูอวิ๋นชางไม่ยอมเสียสมาธิไปกับการยั่วยุง่าย ๆ เขาใช้กระบี่ในมือตั้งรับการโจมตีได้อย่างสบาย ๆ

ลั่วเสวี่ยเหินเพิ่งจะทำแผลของตัวเองเสร็จ หลังจากที่ได้รับโอสถฟื้นพลังแล้ว พลังของเขาก็ค่อย ๆ กลับคืนมา จอมยุทธ์แห่งหุบเขาหงส์ร่วงรีบพุ่งเข้าไปโจมตีจูอวิ๋นชางโดยหวังว่าจะช่วยฉินอวี้โม่ได้บ้าง

อย่างไรก็ตาม จอมยุทธ์ที่เด่นด้านพละกำลังอย่างเขามีความเร็วที่ช้ากว่าฉินอวี้โม่มาก เมื่อปะทะกันได้ไม่ถึงสามกระบวนท่าก็ถูกฝ่ามือของจูอวิ๋นชางซัดจนกระเด็นไป

แต่ด้วยประสบการณ์ที่โชกโชนของจอมยุทธ์ผู้นี้ ในพริบตาที่เขาถูกฝามือของอีกฝ่ายซัด เขาก็ใช้ฝ่ามือของตัวเองกระแทกเข้าไปที่ชายโครงของอีกฝ่ายเช่นกัน ร่างของจอมยุทธ์ระดับจ้าวสุริยะถึงกับสั่นสะเทือนไปกับการโจมตีนี้

“จบกันสักที!”

จูอวิ๋นชางเดือดถึงขีดสุด ทันทีที่รับกระบี่ต่อไปของฉินอวี้โม่ได้ เขาก็ระเบิดพลังออกมาเพื่อจะเผด็จศึก

“ใช่ จบกันเสียที!”

ในตอนนั้นเองฉินอวี้โม่ก็กล่าวประโยคที่คล้าย ๆ กันออกมา ก่อนที่จูอวิ๋นชางจะเห็นรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสตรีหน้าตายผู้นี้

.