บทที่ 69 มางานเลี้ยงศิษย์เก่าเถอะ

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

นั่งลง เขากินซุปปลาที่จืดชืดสักสามสี่คำ ขมวดคิ้วแน่น เมื่อเทียบกับซุปก๋วยเตี๋ยวที่สดใหม่ รสชาติของซุปปลาเห็นได้ชัดว่าเข้มข้นกว่าเยอะ

ทันใดนั้น ไม่มีความอยากอาหารแล้วออกัสวางถ้วยในมือไว้บนโต๊ะ แล้วลุกขึ้นยืน เดินขึ้นไปชั้นบน

มองไปที่แผ่นหลังของเขา สุนันท์เอ่ยพูดอย่างประหลาดใจ : “คุณชายออกัส คุณไม่กินอาหารค่ำแล้วเหรอ?”

“อืม บริษัทยังมีเอกสารบางอย่างที่ต้องจัดการ……” ไม่ได้หยุดก้าวเท้า และยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่ได้หันหน้ามา รูปร่างที่สูงตระหง่านของเขาค่อยๆหายไปในบันได

หยาดฝนตระหนักถึง สายตาของเขาไม่ได้มองมาที่ตัวเธอเลยตั้งแต่แรกจนจบ แม้ว่าเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ กลับว่าไม่เคยเลย

ยากที่จะบรรยายความหดหู่และความขมขื่นที่รวมอยู่ในใจได้ เธอก็ไม่มีความอยากอาหารด้วยเช่นกัน กินโจ๊กไปครึ่งถ้วย หาข้ออ้าง ก็เดินขึ้นมาชั้นบน

มองอย่างเงียบๆ มุมปากของสุนันท์เหมือนว่าจะยิ้มไม่ยิ้ม ยังคงมีรอยยิ้มที่เห็นได้ชัดเจนบนใบหน้าที่งดงามและสง่าเลิศล้ำ

ในใจของเธอไม่ชอบเชอร์รีน ผู้หญิงที่คิดจะใช้ลูกในท้องมาจับผู้ชาย ไม่ใช่คนดีอะไรเลย

แต่เมื่อเปรียบเทียบกับหยาดฝน เธอยังคงค่อนข้างที่จะเอียงเอนไปทางเชอร์รีน

จากก้นลึกของหัวใจ เธอเกลียดหยาดฝนตั้งแต่หัวจรดเท้า สามารถใช้คำว่าเกลียดมากมาบรรยายได้เลย!

คิดเข้าข้างตัวเอง ตอบแทนพระคุณด้วยความแค้น ไม่รู้จักชั่วดี ไม่ยอมรับว่าตัวเองทำผิดไม่พอยังมาใส่ร้ายผู้อื่นอีก……

แม้ว่าสิงหาเป็นคนที่เก็บเธอมา แต่หลายปีมานี้ที่เธอเติบโตมา สุนันท์เธอก็ออกแรงไปไม่น้อยเลย!

แต่ว่า เธอแอบยั่วยวนคุณชายออกัสอยู่เบื้องหลัง ช่างหน้าไม่อายเสียจริง!

เธอและคุณชายออกัสเป็นคนที่เธอเลี้ยงให้เติบโตมา จะว่าไปน้องสาวสามีคนนี้ กลับว่ายิ่งจะเหมือนลูกสาวของตัวเอง มีผู้หญิงคนไหนที่ยอมทนให้ลูกสาวของตัวเองอยู่ร่วมกันกับลูกชาย?

หยาดฝนไม่ละอายใจต่อสุนันท์เหรอ?

เมื่อกี้ที่อยู่บนโต๊ะ คุณชายออกัสถามแค่ว่าเชอร์รีนอยู่ที่ไหน ไม่ได้มองเธอเลยสักนิด การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ดีมากเลย

นำกองเอกสารหนึ่งกองกลับมากจาบริษัท รูปร่างสูงเรียวเอนลงบนโซฟา ออกัสกำลังเซ็นเอกสาร

ในห้องใหญ่เช่นนี้ มีเพียงเสียงลมหายใจของเขาที่ดังขึ้นมาเป็นระลอกอยู่ภายในห้อง นอกจากนี้แล้ว ก็เป็นเสียงเซ็นลายเซ็นดังกรอบแกรบ

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง คิ้วที่เรียวงามของเขาขมวดเข้าหากันแล้ว ยกสายตาขึ้น กวาดมองไปในห้อง มักจะรู้สึกว่าขาดอะไรบางอย่างไป

ในอดีตที่ผ่านมา กลับว่าก็ไม่รู้สึกว่าห้องว่างเปล่าขนาดนี้

บางครั้ง เธอมักจะทำเสียงบางอย่างออกมา เสียงดื่มน้ำ เสียงพลิกหน้าหนังสือ หรือว่าเสียงฝีเท้า

เสียงที่โกลาหลเหล่านั้นเต็มสองข้างหูโดยทางอ้อม ทำให้เขารู้สึก……สะดวกสบายมาก……

นิ้วที่เรียวยาวถูๆอย่างหงุดหงิดพร้อมกับขมวดคิ้วเข้าหากัน เขานวดๆ แล้วเอามือปิดเอกสารดังปัง ผลักออก ไปที่ห้องน้ำแล้ว

ท่าทีของค่ำคืนนี้ผิดแปลกตลอด มักจะรู้สึกหงุดหงิดหน่อยๆ……

อีกทางฝั่งหนึ่ง

วันรุ่งขึ้น

เชอร์รีนตื่นเช้ามาก โดยปกติแล้วจะตื่นขึ้นมาตอนเจ็ดโมง แล้วก็จะไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะใกล้หมู่บ้าน

แต่ไม่ทันได้เดินออกไปจากห้อง ทับทิมก็ไล่ตามมาแล้ว : “ฉันก็จะไปด้วย”

“คุณรู้ไหมว่าฉันจะไปที่ไหน?” เชอร์รีนสวมหมวก มองไปที่เธอ

“รู้อยู่แล้ว ก็ไปที่สวนสาธารณะด้านล่างไง?ฉันก็ไป ตอนนี้ท้อง จะต้องให้ลูกน้อยได้สูดลมหายใจบริสุทธิ์หน่อย”

มองไปที่ท้องของตัวเองครู่หนึ่ง ทับทิมยิ้มแล้ว เอ่ยปากพูด

ได้ยินแล้ว เชอร์รีนรู้สึกว่าทับทิมเปลี่ยนไปแล้วเล็กน้อย สาเหตุคงเพราะว่าท้อง การโฟกัสของเธอจึงเริ่มเปลี่ยนจากการพนันเป็นการมุ่งเน้นไปที่ตัวลูกน้อยแล้ว นี่เป็นการเริ่มต้นที่ดีอย่างไม่มีข้อสงสัย การเปลี่ยนแปลงที่ดี

ทั้งสองคนเดินเคียงข้างกันไปสวนสาธารณะ พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น เห็นได้ชัดว่าอากาศชื้นอย่างมาก

บนต้นไม้ แล้วก็หมอกสีขาวที่ยังไม่จางลง อากาศที่สูดลมเข้าไปล้วนเป็นความสดชื่น เปียกชื้นขนาดนั้น แม้ง่าจะหนาว

แต่ระหว่างทาง ทับทิมเสียงร้องจ้อกแจ้กเหมือนกับนกกระจอกยังไงอย่างนั้น ไม่หยุดพูดเลยตั้งแต่ต้นจนจบ

“เชอร์รีน ไม่ใช่ว่าพี่สะใภ้จะว่านะ แม่ยายของคุณแค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีอะไร ” ทับทิมพูดด่าอย่างไม่สนใจใยดี

เชอร์รีนยิ้ม : “เพิ่งจะเจอแค่ครั้งเดียว คุณก็รู้ดีขนาดนั้นเลย?”

“อย่าอื่นไม่กล้ายืนยัน แต่เรื่องดูคนทางด้านนี้ฉันค่อนข้างมีสายตาที่เฉียบคมเลย แค่มองเธอก็รู้สึกเกลียดมากแล้ว หน้าแหลม คิ้วเรียว ริมฝีปากบาง แม้ว่ามองดูแล้วสวยงามมาก สุภาพและเป็นสง่าเลิศล้ำ แต่ชอบพูดจาทิ่มแทงจิตใจเลือดเย็นอำมหิต” คำพูดของทับทิมล้วนมีเหตุผลฟังดูดี

เมื่อได้ยิน มุมปากของเชอร์รีนก็กระตุกๆแล้ว กลับว่าปิดปากเงียบ เพียงแค่พูดว่า : “คุณป้าล่ะ?”

“คุณป้าเหรอ……” คำพูดของทับทิมหยุดลงเล็กน้อย: “ฉันคิดว่าคนเขาก็ดีนะ เมื่อเทียบกับแม่ยายของคุณ ดีกว่าเป็นหมื่นเท่า อ่อนโยน มีคุณธรรม เข้าใจหลักการ เข้าใจหลักทำนองคลองธรรม แถมยังมีหน้าตาสละสลวย เป็นคนที่มีความสามารถพิเศษ ทำให้ผู้หญิงอิจฉาริษยาเกลียดมาก !”

ไม่พูดจา เธอแค่ฟังอย่างเงียบๆ ยืดเส้นยืดสายเป็นบางครั้ง ออกกำลังกายเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ

และในเวลานี้ ก็มีเสียงประหลาดใจของผู้ชายแผ่ซ่านเข้ามา : “เชอร์รีน!”

ตกตะลึง เธอหันหลังกลับ เห็นผู้ชายรูปร่างสูงยืนอยู่ด้านหลังของเธอ ใบหน้าดีอกดีใจ เผยฟันขาว กำลังยิ้มมาให้กับเธอ

เขาสวมใส่ชุดออกกำลังกาย รูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง พอๆกับนักเพาะกายเลย ใบหน้าเหลี่ยม ดูแล้วบุคลิกลักษณะองอาจผึ่งผายมาก

มองแล้วก็คุ้นตาจริงๆ แต่ไม่ว่าจะคิดยังไงก็นึกไม่ออก ในสมองไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเขาสักนิดเลย

เปลืองแรงคิดอยู่นาน ยังคิดหาเหตุผลไม่ออกเลย สุดท้ายเชอร์รีนก็ยอมแพ้ เอ่ยปากพูด : “คุณคือ?”

“องค์ชาย เพื่อนสมัยมัธยมของคุณ คนที่ชอบนั่งโต๊ะหลังคุณไง นึกออกไหม?” เขามองไปที่เธอด้วยใบหน้าที่เร่งรีบ

องค์ชาย ชื่อนี้พิเศษอย่างมาก เมื่อเขาพูดแบบนี้ เชอร์รีนนึกขึ้นออกแล้ว เผยรอยยิ้มที่มุมปาก : “ที่แท้ก็เป็นคุณนี่เอง ฉันจำได้เมื่อก่อนคุณชอบหน้าแดง”

เมื่อได้ยินแล้ว องค์ชายยิ้ม ลูบๆผมอย่างเขินอายเล็กน้อย : “อาชีพในตอนนี้ของคุณคือ?”

“เป็นอาจารย์ คุณล่ะ?”

“ตำรวจ”

เชอร์รีนหัวเราะออกมาแล้ว : “คุณไม่ทำให้ชื่อของคุณผิดหวังจริงๆ องค์ชาย ปกป้องประเทศบ้านเกิดเมืองนอน พ่อแม่ของคุณช่างมองการณ์ไกลจริงๆ ”

องค์ชายยิ้ม ค่อนข้างเขินอายนิดหน่อย เหมือนว่าคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เอ่ยปากพูด : “จริงสิ เชอร์รีนมะรืนนี้ตอนกลางคืนมีเวลาว่างไหม?”

ทันใดนั้น เขาเรียกจากเชอร์รีนเป็นเชอร์รีนแล้ว เห็นได้ชัดว่าสนิทสนมขึ้นมาหน่อย ไม่ได้ห่างเหินขนาดนั้นอีกแล้ว

เธอก็ไม่ได้สนใจรายละเอียดอะไร พูดกล่าว : “มีธุระอะไรเหรอ?”

“มะรืนนี้เป็นงานเลี้ยงศิษย์เก่าเพื่อนมัธยม มีแค่ห้องของพวกเราเท่านั้น คุณก็มาด้วยกันเถอะ”

“ฉันไม่ไปดีกว่า ไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้ว เมื่อเป็นแบบนี้ถ้าไปแล้ว กลับว่าจะทำให้อึดอัด” เธอยิ้ม ปฏิเสธโดยสิ้นเชิง

ประเด็นคือไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนมัธยมมากว่าหลายปีแล้ว ความสัมพันธ์ก็ห่างเหินกันแล้ว ไป กลัวแค่ว่าจะเป็นฉากที่เงียบวังเวง

“นี่มีอะไรให้น่าอึดอัดล่ะ?ทุกปีในงานเลี้ยงฉัตรดาวก็จะมาหาคุณ แล้วก็แก้วรุ้ง อีกอย่างก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นกันทั้งนั้น เพื่อนเก่ากันไม่ได้เจอกันนานหลายปี คุณไม่คิดถึงสักนิดเลยเหรอ?”

ถึงอย่างไรวันนั้นก็ไม่มีธุระต้องทำ พูดมาถึงขั้นนี้แล้ว เชอร์รีนก็ยากที่จะปฏิเสธ : “งั้นก็ได้ ฉันไป”

องค์ชายใบหน้าดีอกดีใจ : “งั้นก็ดีเลย ผับโซ่สวาท ตอนสองทุ่ม ไม่งั้นผมมารับคุณ”