บทที่ 317 - พ่อเสือไม่มีลูกเป็นสุนัข (2)

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 317 – พ่อเสือไม่มีลูกเป็นสุนัข (2)

ความคิดแรกที่เข้ามาในหัวเขาตอนที่เห็นภาพวาดก็คือ ‘ฉันบอกไม่ได้เลยว่าเธอวาดอะไร’

และในเวลาเดียวกันความหวาดกลัวและไม่สบายใจที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ก็พวยพุ่งขึ้นมา มันเป็นความกลัวที่เกิดจากสัญชาตญาณของมนุษย์ที่จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อสมองได้ทำงานเกินขีดจำกัด

เพียงแค่ถือภาพวาดเอาไว้ในมือก็ทำให้ร่างกายของเขาส่งสัญญาณเตือนออกมาด้วยความอึดอัดใจแล้ว เขาอยากจะฉีกมันเป็นชิ้นๆ หรือไม่ก็เอามันไปเผาเป็นเถ้าถ่าน

เขาได้เผลอจับกระดาษแน่นโดยไม่รู้ตัว-

“หายใจลึกๆ”

เสียงแผ่วๆของฟิลิปส์ มูเลอร์ดังเข้าหูของเขา

“ในฐานะสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในมิดเดิลเวิลด์แล้ว คุณคงจะรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอยู่”

มิลเดิลเวิลด์ไม่ยอมให้เกิดปรากฏการณ์ช่องว่างทับซ้อนขึ้น หรือก็คือในตอนนี้อารมณ์ที่ซอลจีฮูรู้สึกอยู่ก็คือการที่มิลเดิลเวิลด์กำลังต่อต้านโลกมิติช่องว่าง (แก้จากโลกแห่งดวงดาวครับ)

“…”

ซอลจีฮูก็ยอมรับ เขาไม่อาจจะทำตัวอ่อนแอได้ในเมื่อเขาก็ไม่ได้เห็นของจริงแบบอาน่าเลย นอกไปจากนี้ที่นั่นคือสถานที่ที่เขาต้องเข้าไป

แต่ถึงแบบนั้นซอลจีฮูก็พยายามอย่างที่จะห้ามตัวเองไม่ให้หันหน้าออกไปจากกระดาษ เขาฝืนตัวเองไว้และค่อยๆมองสำรวจดู

‘ไม่มีทั้งป่าไผ่หรือมหาสมุทร…’

อย่างแรกเลยภาพวาดมันไม่ใช่พื้นที่ว่างเปล่า มันมีรายเส้นถูกวาดกระจายไปทั่วอย่างวุ่นวายเหมือนรอยแตกร้าว มันเหมือนกับกระดาษแผ่นนี้ถูกขย้ำและกางออกมาอีก นอกไปจากนี้ยังมีกระแสน้ำวนที่มีอยู่ทั่วทั้งกระดาษอีกด้วย

ไม่สิ ในตอนแรกเขาคิดว่ามันคือน้ำวน แต่พอมองให้ดีแล้ว มันเหมือนกับสิ่งของแปลกๆมารวมกันมากกว่า

“ดูเหมือนจะมีบางอย่างอยู่ที่นั่นจริงๆ ภายในป่าไผ่นั่น หรือก็คือใจกลางของมัน”

คาซุกิได้พูดออกมาด้วยคิ้วที่ขมวดแน่น เมื่อทุกๆคนมองมาที่เขา เขาก็ชี้ไปที่ตรงกลางของภาพวาด

“ตรงนั่นเป็นจุดเดียวที่โล่ง”

ตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว มีแค่ตรงกลางภาพวาดเท่านั้นที่โล่งปราศจากรอยแตกร้าวหรือน้ำวน มันค่อนข้างจะแปลกมากที่ภาพวาดที่ดูสับสนวุ่นวายนี้มีตรงกลางที่ขาวสะอาด

“มันเหมือนกับเรากำลังมองตาพายุนั่นแหละ บางทีพื้นที่ตรงกลางอาจจะนำไปสู่สาเหตุของปรากฏการณ์นี้ก็ได้นะ”

ซอลจีฮูได้หันกลับมาหาอาน่า เด็กสาวพยายามพยักหน้าเห็นด้วยกับคาซุกิ

เพราะแบบนี้ทำให้เป้าหมายถูกกำหนดแล้ว เพียงเท่านี้ซอลจีฮูก็วางกระดาษลง

“ดูเหมือนว่าเราจะเข้าไปในนั้นนะ…”

“ระ เรารอเดี๋ยวก่อนได้ไหม?”

อาน่าได้ขอร้องออกมาด้วยเสียงที่คลอไปด้วยน้ำตา

“ถ้าเราไปกันตอนนี้ ฉันไม่คิดว่าฉันจะรับมือไหว…”

“…รอก่อนก็ได้นะ แต่คุณจะไม่เป็นไรแน่นะ?”

“หนึ่งชั่วโมง ไม่สิ ครึ่งชั่วโมงก็พอแล้วค่ะ”

เมื่อซอลจีฮูถามด้วยความเป็นห่วง อาน่าก็กัดริมฝีปากออกมา

“ในตอนแรกที่ได้เนตรวิญญาณฉันก็เป็นแบบนี้ พอชินแล้วฉันก็น่าจะรับไหวค่ะ”

ซอลจีฮูพยักหน้าเงียบๆ เขาอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่มันอยู่คนละระดับกับการมองวิญญาณอย่างชิ้นเชิง แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ในจุดที่จะเลือกอะไรได้มากนัก เขาได้แต่หวังให้อาน่าอดทนไว้ได้จนกระทั่งพวกเขาไปถึงจุดหมาย

ตอนนี้ก็เป็นเวลาเหมาะที่จะพักอีกด้วยเนื่องจากว่าหลังจากลงรถม้ามาพวกเขาก็เดินเท้ากันไม่หยุด ซอลจีฮูได้สั่งให้หยุดพักหนึ่งชั่วโมง จากนั้นก็กลับมามองดูกระดาษที่เขาเพิ่งว่างลงไป

‘อาน่ากำลังพยายามอยู่ ฉันจะยอมแพ้ไม่ได้’

ในตอนนี้เขาไม่ได้รู้สึกแย่เท่าก่อนหน้านี้แล้ว แต่ว่าพอเข้าใกล้ขึ้นอีกมันน่าจะรุนแรงขึ้น ซอลจีฮูอยากจะคุ้นเคยกับความรู้สึกนี้ให้มากที่สุดก่อนจะเข้าไป แต่ว่าคงมีคนคิดเช่นเดียวกันกับเขาทำให้กระดาษหายไปแล้ว

“อ๊าา-”

ฝั่งตรงข้ามเขาฮิวโก้ที่กำลังมองดูภาพวาดได้ยกมือขึ้นกุมหัว

“มันเหมือนกับกำลังมองสัตว์ประหลาดอ้าปากอยู่เลย”

ฮิวโก้ที่ขมวดคิ้วได้พึมพำออกมาพร้อมหันกลับมามองซอลจีฮู

“เหมือนกับว่าราชินีปรสิตกำลังรอเราอยู่หากว่าเราเดินเข้าไปในปากของเธอ ถึงฉันจะไม่เคยเห็นเธอก็เถอะ”

ปากของสัตว์ประหลาด แต่ละคนต่างก็ตีความต่างกันออกไป

ซอลจีฮูได้พูดขึ้นเบาๆ

“ถึงแบบนั้น เราก็ยังจะต้องเข้าไปอยู่ดี อย่างที่บอกไว้ว่าไม่เข้าถ้ำเสื้อก็ไม่ได้เสือหรอกนะ”

“เชี้ย ก็ถูกของนาย… แล้วนายได้รับข้อความจากวัลฮาลาหรือวังไหม?”

“ไม่เลย”

“หืม ฉันหวังว่าจะไม่มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นนะ แค่เรื่องดีก็ทำให้ฉันรู้สึกไม่ดีแล้ว”

ฮิวโก้ได้ทิ้งตัวลงพื้น จากนั้นก็โยนภาพวาดออกไป ซอลจีฮูถอนหายใจก่อนจะวิ่งไปหยิบภาพวาดขึ้นมา จากนั้นหลังผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง อาน่าก็กลับมาดูปกติดีแล้ว

“ถ้างั้นไปกันเถอะ”

ซอลจีฮูได้นำทีมทำภารกิจเดินลงจากยอดเขาเข้าสู่พื้นที่ลึกลับที่เกิดปรากฏการณ์มิติช่องว่างขึ้นด้วยความมุ่งมั่น

***

[เขากำลังไปแล้ว]

ราชินีปรสิตได้เริ่มอยู่ไม่นิ่งจากความตื่นเต้นที่ก้นบึ้งจิตใจ

[เขากำลังไปแล้ว ใกล้แล้ว ใกล้จะไปแล้ว…!]

สายตาของราชินีที่กวาดมองทั้งจักรวาลกำลังมองไล่ตามดาวเพียงดวงเดียว เมื่อกลุ่มดาวเคลื่อนไหวรูม่านตาเธอก็เปล่งประกายราวกับจะระเบิด

และเมื่อถึงจุดหนึ่ง แสงของกลุ่มดาวก็จางลงไป และดวงตาของราชินีปรสิตก็ได้เบิกขึ้นพร้อมๆกัน

ตูม! ราชินีปรสิตลุกขึ้นยืนราวกับจะทำลายบัลลังก์

[เขาเข้าไปแล้ว!]

น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสุขและยินดีดังออกมา

ดวงดาวยังไม่ได้ออกไปจากมิลเดิลเวิลด์โดยสมบูรณ์ แต่เมื่อกี้นี้มันชัดเจนแล้วว่าเขาได้เข้าไปในทางออกแล้ว หรือก็คือก่อนที่มันจะหายไปก็เป็นแค่เรื่องของเวลาเท่านั้น เพียงแค่เลือกนี้มันก็มากพอให้เธอตัดสินใจแล้ว

[ฟังข้า-!]

เสียงร้องของราชินีได้ดังก้องไปทั้งท้องพระโรง

ยังไงก็ตามเธอคือเทพสูงสุดของโลกใบนี้ หากว่าเธอต้องการ เธอก็สามารถจะส่งเสียงไปจนสุดโลกได้เลย

ต่อให้เธอจะยังแยกตัวออกจากบัลลังก์เสื่อมสลายไม่ได้ แต่ทั่วทั้งอาณาเขตของอดีตจักรวรรดิคือพื้นที่ของเธอทั้งหมด

ขณะเดียวกันนี้ผู้บัญชาการกองทัพที่ยืนอยู่แนวหน้า และกองทัพปรสิตทั้งหมดได้เงยหน้าขึ้นฟ้า

บนท้องฟ้ามีภาพภายในท้องพระโรงและตัวราชินีปรสิตอยู่

[เคลื่อนทัพได้!]

ในที่สุดกองกำลังก็ได้รับคำสั่งให้บุกแล้ว

ผู้บัญชาการที่เฝ้าคอยมานานทั้งห้าคนได้เริ่มเคลื่อนไหวทันที

เริ่มต้นจากอัศวินแห่งความตายและกองทัพอันเดตที่นำโดยความถ่อมตนอันน่าขยะแขยง และอีกสี่กองทัพได้ขยับตามพร้อมๆกัน

ด้านหลังของพวกเขาเป็นกองทัพสายพันธุ์ต่างๆจำนวนนับไม่ถ้วนที่ตั้งแถวอย่างเป็นลำดับ

ในที่สุดแล้วการบุกเต็มกำลังของปรสิตก็ได้เริ่มต้นขึ้น

***

ทหารยามของสหพันธรัฐที่เฝ้าระวังตามเขตพรมแดนได้หมดคำพูดไป

กลุ่มเมฆหมอกสีดำสนิท มีเพียงคำเดียวที่จะอธิบายสิ่งที่เขาเห็นได้

ถึงแม้ว่าป้อมสังเกตการจะอยู่ในจุดที่สูงมาก แต่ทุกๆอย่างเบื้องหน้าเขาถูกปกคลุมไปด้วยสีดำสนิทในทันที กองทัพปรสิตที่ปรากฏตัวขึ้นได้อาบย้อมทั้งสวรรค์และผืนดินจนกลายเป็นสีดำสนิท

พวกมันได้เริ่มเคลื่อนไหวออกมาพร้อมทั้งกลืนกินเทือกเขาอันยิ่งใหญ่ไปแล้ว

“อ๊า!”

ทหารยามแทบจะกลั้นไม่ให้ตัวเองร้องไม่ไหว และรีบวิ่งลงไป เขาได้รีบวิ่งลงไปคลำหาคริสตัลสื่อสารขึ้นมาอย่างยากลำบาก

***

“พวกมันมาแล้ว”

เทเรซ่าที่มองดูคริสตัลสื่อสารส่องแสงได้พูดขึ้นอย่างสงบ

จากนั้นเธอก็ถอนหายใจยาวออกมา

มันเป็นไปอย่างที่พวกเขาคาดไว้จริงๆ ทันทีที่ซอลจีฮูไปอาณาจักรภูติ ราชินีปรสิตก็ได้เคลื่อนพลราวกับรอเวลานี้อยู่

ทีมทำภารกิจน่าจะใกล้ถึงที่หมายแล้ว หรือไม่ก็ถึงไปแล้วด้วย…’

มันแปลกเกินกว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ เธอสรุปได้แค่ว่าราชินีปรสิตกำลังเล็งจังหวะนี้อยู่เท่านั้น

“เราจะทำยังไงดีครับเจ้าหญิง?”

ผู้บัญชาการกองทัพฮารามาร์ค แจนแซงตัวที่ยืนข้างเธอเงียบๆได้ถามขึ้น

“ยังต้องถามอีกหรอ? ที่เราทำได้มีแค่อย่างเดียว”

นับจากนี้ต้องแข่งกับเวลาแล้ว พวกเขาไม่อาจจะปล่อยเวลาให้เสียเปล่าไปได้แม้แต่วินาทีเดียว

ซอลจีฮูอยากจะให้เทเรซ่าซื้อเวลาไว้ให้จนกว่าเขาจะกลับมา และเทเรซ่าก็ได้วางแผนอย่างเต็มที่เพื่อทำให้สำเร็จ

“รวบรวมกองกำลังที่ประจำการอยู่ที่ป้อมปราการหุบเขา เหลือไว้แค่จำนวนน้อยสุดไว้ป้องกันก็พอแล้ว”

“การเตรียมการเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ”

“เยี่ยม ถ้างั้น-”

เทเรซ่าสูดหายใจลึก จากนั้นก็พูดขึ้น

“ติดต่อซิซิเลีย”

สงครามได้เริ่มขึ้นแล้ว

***

ทันทีที่ถูกติดต่อมา ซอกกูนีร์ได้ทิ้งงานทุกอย่าง และเริ่มวิ่งอย่างรวดเร็ว

จากการวิ่งอย่างบ้าคลั่งนี้ทำให้ทหารและแม่บ้านที่รู้นิสัยของเขาดีต่างก็มองมาด้วยความกังวล แต่เขาไม่ได้สนใจเลยสักนิด

นั่นก็เพราะว่านี่คือเรื่องด่วน

เขารีบมากจนข้ามขั้นตอนการเข้าเฝ้าตามปกติ และวิ่งเข้าไปในห้องโถง

“องค์ราชินี!”

ทันทีที่เข้ามาข้างในเขาก็ตะโกนจนสุดเสียง

“ข่าวด่วนมาถึงแล้วครับ!”

เขาได้ทรุดตัวลงไปหอบอยู่กับพื้น

“ยืนยันการบุกรุกของปรสิตแล้ว! พวกมันกำลังเดินทางผ่านเทือกเขาไฮรัล และมุ่งตรงไปที่ป้อมปราการไทกอลด้วยความเร็วอันน่ากลัว!”

เสียงแหบแห้งดังก้องออกมา

“ยังยืนยันกองกำลังของศัตรูไม่ได้ครบถ้วน แต่ตัดสินจากการที่ห้าผู้บัญชาการกองทัพเป็นคนนำทัพ-”

ซอกกูนีร์ที่กำลังรีบรายงานออกมาอย่างรีบร้อนได้เงยหน้าขึ้น ทันทีที่เขาเห็นภาพตรงหน้าเขาก็ต้องผงะไป ชาล็อต อาเรียกำลังนั่งหลับตาสนิทอยู่บนบัลลังก์ มือที่จับพนักพิงของเธอกำลังสั่นไหว

“ปรสิตได้ยกกองกำลังมาเต็มอัตราศึก”

ซอกกูนีร์กลืนน้ำลายลงไป และรายงานต่อจนจบ

“…สหพันธรัฐขอความช่วยเหลือจากเรา”

เปลือกตาของเธอสั่นไหวเบาๆ และดวงตาที่อ่อนแอของเธอก็อยู่ไม่นิ่งราวกับกำลังจะร้องไห้ได้ตลอดเวลา มันชัดเจนมากว่าเธอกำลังถูกความกลัวเข้าปกคลุมจนตกใจ

“…กูนีร์”

เสียงสั่นเทาที่ผสานกับลมหายใจกระชั้นชิดดังออกมา

“ซอลจีฮู…”

ซอกกูนีร์ขมวดคิ้วขึ้นทันที ในตอนนี้ซอลจีฮูไม่ใช่เรื่องสำคัญ แน่นอนว่าหากเขาอยู่ในเมือง เขาก็จะสามารถนำอีวาแทนราชินีได้ แต่ยังไงก็ตามชายหนุ่มได้ออกไปเพื่อทำภารกิจแล้ว

ชาล็อต อาเรียก็รู้เรื่องนี้ดี เมื่อเห็นว่าราชินียังคงหาซอลจีฮูในเวลาแบบนี้อีก ซอกกูนีร์ก็อดไม่ได้ที่จะทำหน้าบึ้งอย่างไม่พอใจ

“ไม่ต้องห่วงครับ อย่างที่ผมพูด ข้ารับใช้คนนี้จะจัดการ-”

“แม้กระทั่งในตอนนี้…”

ยังไงก็ตามน้ำเสียงที่อัดอั้นไว้ก็พูดต่อในสิ่งที่เหลือกว่าที่ซอกกูนีร์คิดเอาไว้

“เขาต้องเสี่ยงชีวิต”

“…อะไรนะครับ?”

“บางทีกระทั่งในระหว่างที่เราคุยกันอยู่นี้ ซอลจีฮูอาจจะกำลังเผชิญกับอันตรายถึงชีวิตก็ได้”

ซอกกูนีร์ทำอะไรไม่ถูกแล้วกับคำถามที่กระทันหันนี้

“นั่นมัน…”

ชาล็อต อาเรียได้อ้าปากสูดหายใจอยู่นาน เธอดูเหมือนกับกำลังพยายามสงบใจที่เต้นแรง

หลังจากเงียบอยู่ไม่นานนัก

“ตัวแทนซอล”

ชาล็อต อาเรียพูดขึ้นเบาๆ

“…คือผู้มีพระคุณที่ช่วยอีวาที่กำลังตาย”

นี่คือเรื่องจริง

“เขายังเป็นชายที่ช่วยราชวงศ์ให้หลุดพ้นจากเงื้อมมือของปีศาจ”

และเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้เลย

“ท่านพ่อเคยพูดไว้ว่า ‘ตอบแทนความเมตตาด้วยความเมตตา'”

ชาล็อต อาเรียได้กัดฟันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าเล็กน้อย

ดวงตาเธอเปล่งประกายขึ้น

“ในตอนนี้เขาออกไปจากอีวาเพื่อช่วยทั้งพาราไดซ์ แล้วฉันจะปฏิเสธคำขอของผู้มีพระคุณได้ยังไงกัน?”

“อะ องค์ราชินี-”

“ในเมื่อตัวแทนซอลไม่อยู่ ราชวงศ์จะต้องเป็นคนนำทัพชาวโลกเอง”

ซอกกูนีร์ได้มองขึ้นไปด้วยความสับสน

ชาล็อต อาเรียลุกขึ้นยืนจากบัลลังก์ช้าๆ

“ตอนนี้มันถึงเวลาตอบแทนบุญคุณแล้ว”

สีหน้าซอกกูนีร์ได้ค่อยๆสดใสขึ้น เดิมทีเขามีหน้าที่ดูแลจัดการราชวงศ์แค่ในนามเท่านั้น ทุกๆคนต่างรู้ดีว่าเขาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนราชินี

ขณะที่ซอลจีฮูไม่อยู่ สิ่งที่เขากังวลที่สุดก็คือการเกณฑ์พล ยังไงก็ตามชาล็อต อาเรียได้เผยความตั้งใจที่จะก้าวไปในแนวหน้า

ถ้างั้นแล้วเขาก็มีวิธี เมื่อเทียบกับตำแหน่งผู้ดูแลจัดการราชวงศ์แล้ว ตำแหน่งราชินีมีน้ำหนักที่มากกว่าจนเทียบกันไม่ติด

“ฉันขอสั่งภายใต้นามอาเรีย”

แม้ว่าเสียงของเธอจะสั่นไหว

“ราชวงศ์อีวาจะตอบรับคำขอจากสหพันธรัฐ”

ราชินีอีวาได้เผยความมุ่งมั่นออกมาให้เห็น

“รวบพลกองทัพ และเรียกชาวโลกมาซะ!”

“ครับท่าน”

ซอกกูนีร์ได้ยิ้มอย่างสดใส และก้มหัวลงจนแทบจะติดพื้น

“ข้ารับใช้คนนี้จะทำตามคำสั่งท่าน!”