คนชุดดำที่สวมหมวกลี่เม่าก็คือจัวหรูซุ่ย
ตอนนี้ผู้แสวงมรรคาที่ออกไปจากดินแดนแห่งความฝันล้วนแต่ถูกเขาสังหาร
ถงเหยียนพลันถามว่า “เหตุใดเจ้าถึงต้องทำแบบนี้ด้วย?”
“เจ้าแห่งใต้หล้า กระถางสัมฤทธิ์จะตกเป็นของใคร ไฟแห่งสงครามลุกโชน ประชาชนตกทุกข์ได้ยาก แบบนั้นมันเหม็นคาวเลือดแล้วก็ช้าเกินไป ข้าก็เลยคิดถึงวิธีที่เรียบง่ายที่สุด”
จัวหรูซุ่ยกล่าวว่า “ขอเพียงข้าสังหารผู้แสวงมรรคาจนหมด เช่นนั้นข้าก็จะกลายเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย”
“ความคิดนี้ของเจ้ามีเหตุผล แต่เสียดายที่ไม่มีใครทำได้ ต่อให้พรสวรรค์ของเจ้าจะสูงส่งแค่ไหน ความสามารถในการต่อสู้จะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ตาม”
ถงเหยียนชี้ไปบนท้องฟ้าที่อึมครึม “ท้องฟ้าของที่นี่ถูกครอบเอาไว้อยู่”
คำพูดประโยคนี้เป็นการบอกใบ้
สภาวะที่สูงที่สุดในดินแดนแห่งความฝันก็คือจิตก่อรูประดับต้นหรือก็คือคเนจรระดับต้น นี่คือกฎที่กำหนดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่ออยู่ภายใต้ข้อจำกัด ความแตกต่างของพรสวรรค์ที่แตกต่างกันของเหล่าผู้แสวงมรรคาจะถูกลดลงไปอย่างมาก อีกทั้งต่อให้จัวหรูซุ่ยจะมีพรสวรรค์สูงส่ง บำเพ็ญเพียรจนถึงสภาวะขั้นคเนจรระดับต้นได้เร็วกว่าคนอื่นๆ แต่เขาก็ไม่สามารถเอาชนะแคว้นทั้งแคว้นด้วยกำลังตัวคนเดียวได้
จัวหรูซุ่ยกล่าวว่า “ดังนั้นข้าจึงต้องรีบหาตัวพวกปัญญาอ่อนเหล่านั้นให้เจอก่อนที่พวกนั้นจะไล่ตามข้าทัน จากนั้นสังหารให้หมด”
ถงเหยียนกล่าวว่า “หาตัวข้ากับจิ๋งจิ่วนั้นไม่ยาก แต่การจะหาตัวคนอื่นนั้นเป็นเรื่องยากอย่างมาก อย่างเช่นข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าหาตัวเซี่ยงหว่านซูเจอได้อย่างไร?”
จัวหรูซุ่ยกล่าวว่า “ข้าเจอตัวเชวี่ยเหนียงที่อวิ๋นโจว”
เมื่อได้ยินคำว่าอวิ๋นโจวและเชวี่ยเหนียง ถงเหยียนก็แอบถอนใจ พอจะคาดเดาได้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“โชคของนางไม่ดีเท่าไร ไปเกิดเป็นลูกชายของเจ้าของโรงหมากล้อม ถูกผู้มีอิทธิพลในพื้นที่รังแกจนใช้ชีวิตลำบาก ศิษย์สำนักจงโจวอย่างพวกเจ้านั้นชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านมากที่สุด เอาล่ะ ไม่ต้องถลึงตาใส่ข้า นั่นเรียกว่าเป็นห่วงประชาชน เอาเป็นว่าเซี่ยงหว่านซูช่วยเหลือเชวี่ยเหนียงไปหลายครั้ง ร่องรอยเลยเปิดเผย ก็เลยถูกข้าฆ่า เชวี่ยเหนียงก็ถูกข้าฆ่าเช่นกัน”
จัวหรูซุ่ยถามว่า “เออใช่ เจ้าเดาสิว่าข้าหาตัวเชวี่ยเหนียงเจอได้อย่างไร? นางกลายเป็นผู้ชาย ตามหลักแล้วน่าจะถูกหาตัวยากที่สุดถึงจะถูก”
ถงเหยียนนิ่งเงียบไปครู่ กล่าวว่า “อย่าได้พยายามยุแยงความสัมพันธ์ของพวกเราที่เป็นศิษย์สำนักเดียวกันเลย ข้าไม่ได้คาดหวังว่าเจ้าจะไปฆ่าจิ๋งจิ่ว เจ้าเองก็อย่าได้คาดหวังข้าเช่นกัน”
จัวหรูซุ่ยกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “สถานการณ์ของสำนักพวกเราไม่เหมือนกัน เขาเป็นอาจารย์อาของข้า ข้าย่อมไม่อาจสังหารได้ แต่ไป๋เชียนจวินเป็นเพียงศิษย์พี่ของเจ้า ทำไมถึงฆ่าไม่ได้?”
ถงเหยียนไม่ได้ตอบเขา หากแต่กล่าวว่า “ก่อนที่เจ้าเข้ามาก็รู้อยู่แล้วว่าตนเองไม่มีความหวังใดๆ ถึงได้ละทิ้งตัวเอง ฆ่าคนก่อความวุ่นวายที่นี่อย่างนั้นหรือ?”
จัวหรูซุ่ยกล่าวว่า “ข้าอยู่ในถ้ำบนยอดเขาเทียนกวงมานานเกินไป เรื่องอื่นยังดีหน่อย แต่ประสบการณ์ในการต่อสู้นั้นน้อยมาก เหมือนกับปรมาจารย์อาจิ่งหยางในอดีต การฆ่าคนที่นี่สามารถช่วยข้าพัฒนาความสามารถในการต่อสู้ได้อย่างรวดเร็ว เช่นนั้นข้าคิดว่านี่น่าจะเป็นการบำเพ็ญเพียรอย่างหนึ่ง”
พายุหิมะพลันหยุด เรือที่อยู่ในทะเลสาบเคลื่อนไหวขึ้นมาอีกครั้ง คล้ายกับใบไม้ที่หมุนวนอยู่ในน้ำ ไม่ได้ล่องไปไกล
ริมทะเลสาบเงียบสงัดไปครู่หนึ่ง
คำพูดแต่ละประโยคของจัวหรูซุ่ยเป็นเหมือนกระบี่อันแหลมคม แต่ถงเหยียนรับเอาไว้ได้ อีกทั้งยังโจมตีกลับมาได้อย่างแข็งกร้าว เพียงแต่ไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บได้เช่นกัน
ถงเหยียนถามว่า “เจ้าคิดจะฆ่าต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ?”
จัวหรูซุ่ยกล่าวว่า “แน่นอน ข้าก็รู้ว่าเรื่องนี้มันจะยากขึ้นเรื่อยๆ คนบางคนข้าไม่รู้เลยว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน”
ถงเหยียนกล่าวว่า “อย่างเช่นเหอจาน แล้วก็มีศิษย์น้องหญิงของข้า”
“เจ้าอย่าได้คิดที่จะหลอกให้ข้าไปวังแคว้นจ้าวเลย”
จัวหรูซุ่ยกล่าวด้วยสีหน้าแปลกๆ “ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเจ้านั่น พออยู่ในโลกนี้แล้วดูชั่วร้าย ตอนนี้ข้ายังไม่อยากไปปะทะกับเขา”
ถงเหยียนหัวเราะขึ้นมา ก่อนถามว่า “อย่างนั้นศิษย์น้องหญิงของข้าล่ะ?”
“ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่านางน่าจะเป็นองค์หญิงตกยากคนนั้น แต่ไป๋เชียนจวินไม่มีเหตุผลที่จะขังนางเอาไว้ในสวนดอกไม้ หากร่วมมือกันฟื้นฟูอาณาจักร นั่นจะไม่สะดวกกว่าหรือ?”
จัวหรูซุ่ยกล่าวว่า “ภายหลังข้าพบว่าเชวี่ยเหนียงมาเกิดเป็นผู้ชาย อย่างนั้นไป๋เจ่าก็ย่อมมาเกิดเป็นผู้ชายได้เช่นกัน ข้าจึงยิ่งไม่ค่อยมั่นใจ”
ถงเหยียนกล่าวว่า “ดังนั้นเจ้าจึงตัดสินใจฆ่าคนที่รู้ตัวตนแน่ชัดก่อน”
จัวหรูซุ่ยกล่าว “พวกเจ้าไม่กลัวคนอื่นรู้ตัวตน เป็นเพราะพวกเจ้าเกิดอยู่ในวัง หรือไม่ก็มีกองทัพคอยคุ้มครอง จึงฆ่าได้ลำบาก แต่เมื่อเทียบกับอาจารย์อาที่อยู่ในวังกับไป๋เชียนจวินแล้ว ยังคงเป็นเจ้าที่ฆ่าได้ง่ายมากกว่า”
ถงเหยียนกล่าวเตือน “เจ้าหลุดปากแล้ว”
จัวหรูซุ่ยนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะมองไปยังนกชิงเหนี่ยวที่อยู่บนกิ่งไม้ตัวนั้นพลางกล่าวว่า “อาจารย์ สังหารอาจารย์อานั้นเป็นเรื่องสุดท้ายที่ข้าจะทำ ท่านอย่าเข้าใจผิด”
ถงเหยียนกล่าว “ในเมื่อจะสังหารข้านั้นเป็นเรื่องง่าย เหตุใดจนถึงตอนนี้เจ้ายังไม่ลงมือ?”
ผู้แสวงมรรคาเป็นผู้ที่โดดเดี่ยวที่สุดบนโลกนี้ ในเมื่อได้พบกันแล้ว พูดคุยสักหลายประโยคย่อมเป็นเรื่องปกติ
แต่ในขณะเดียวกับที่ถงเหยียนและจัวหรูซุ่ยสนทนากัน พวกเขาก็คอยสังเกตกันและกัน
ด้วยการสังเกตเหล่านี้ จัวหรูซุ่ยมั่นใจว่าถงเหยียนนั้นพิการมาแต่กำเนิด สภาวะไม่อาจเทียบเท่าตน แต่ว่า….อีกฝ่ายเตรียมการเอาไว้ดีกว่าที่ตัวเองคิดเอาไว้
เรือที่ล่องไปมาบนทะเลสาบนั้นเป็นของจริง หญิงสาวที่อยู่บนเรือก็เป็นของจริง แต่นักท่องเที่ยวเหล่านั้นเป็นของปลอม ภายในเรือเองก็มีหน้าไม้อยู่เป็นจำนวนมาก
ที่ยุ่งยากมากที่สุดก็คือบนภูเขาเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกล มีนักกวีผู้หนึ่งยืนถือร่มยืนชมหิมะอยู่
บนขมับของนักกวีผู้นี้มีน้ำค้างแข็งเกาะ ดูจากอายุแล้วมิใช่ผู้แสวงมรรคา แต่พลังกลับแข็งแกร่ง
“มั่วกง ข้าเคยได้ยินชื่อท่าน”
จัวหรูซุ่ยมองดูนักกวีที่อยู่ไกลออกไปผู้นั้นพลางกล่าว “ได้ยินว่าท่านอาจจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลกนี้ หากมีโอกาสข้าต้องแวะไปขอคำชี้แนะจากท่านแน่นอน แต่วันนี้ไม่ได้”
บัณฑิตผู้นั้นหุบร่ม เดินลงมาจากเขา
หิมะตกลงมาอีกครั้ง
จัวหรูซุ่ยกล่าวกับถงเหยียน “ขอลา”
ถงเหยียนกล่าวว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าตัวเองจะออกไปได้?”
เมื่อรู้ว่าการซุ่มโจมตีถูกเปิดเผยแล้ว องครักษ์และทหารที่อยู่เรือต่างไม่ได้ปลอมตัวอีก หากแต่ยกหน้าไม้เล็งมายังฝั่งท่ามกลางเสียงตะโกนอย่างตกใจของเหล่าหญิงสาว
องครักษ์ที่อยู่ริมฝั่งเองก็ขยับเข้าไปใกล้
“ข้าย่อมออกไปได้แน่นอน เพราะไม่ใช่เจ้าเพียงคนเดียวที่เตรียมตัวมา”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ จัวหรูซุ่ยก็สวมหมวกลี่เม่ากลับไป หมุนตัวเดินเข้าไปในพายุหิมะ
หัวหน้าองครักษ์มองไปทางถงเหยียน รอเขาออกคำสั่ง
ถงเหยียนนิ่งเงียบไม่พูดอะไร หลังจากนั้นจึงยกมือขึ้นมา เพื่อบอกทุกคนว่าไม่ต้องลงมือ เหล่าองครักษ์ตกตะลึงเป็นอย่างมาก ในใจครุ่นคิดว่าวันนี้วางกำลังเอาไว้เพียบพร้อม อีกทั้งยังมียอดคนอย่างท่านมั่วอยู่อีก นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะสังหารคนชุดดำผู้นี้ เหตุใดรัฐทายาทถึงไม่ลงมือ?
มั่วกงมายังริมทะเลสาบ มองดูชายหนุ่มที่อยู่บนรถเข็น เขาเองก็รู้สึกไม่เข้าใจ
ในเวลานี้เอง หิมะที่อยู่บนกิ่งไม้ร่วงตกลงมา นกชิงเหนี่ยวบินขึ้นไปยังกิ่งไม้ที่อยู่สูงขึ้นไป
คนผู้หนึ่งเดินออกมาจากหลังต้นไม้ คนผู้นั้นรูปร่างผอมดำ สวมชุดขององครักษ์ในวังหลวง
เมื่อเห็นคนผู้นี้ ถงเหยียนถึงได้เข้าใจการเตรียมตัวของจัวหรูซุ่ยคืออะไร แล้วก็เข้าใจคำพูดประโยคนั้นที่เขาพูดกับนกชิงเหนี่ยวก่อนหน้านี้ ไม่ใช่แค่เพียงพูดกับเจ้าสำนักชิงซาน แต่ยังพูดกับคนที่อยู่ด้านหลังต้นไม้ผู้นี้ด้วย
เขามองคนผู้นั้นพลางกล่าวว่า “ได้ยินว่าเจ้าไม่เคยอยู่ห่างกายฝ่าบาทเลยแม้แต่ก้าวเดียว วันนี้มาชางโจว เห็นทีคงจะมีเรื่องที่สำคัญอย่างมาก”
องครักษ์ผู้นั้นกล่าว “ฝ่าบาทตรัสว่าหากสังหารเจ้าไม่ตาย ก็ให้ข้าพูดกับเจ้าประโยคหนึ่ง”
ถงเหยียนกล่าว “คำพูดอันล้ำค่าของฝ่าบาทสำคัญกว่าชีวิตนี้ของข้ามากนัก เชิญว่ามา”
องครักษ์ผู้นั้นกล่าวว่า “ฝ่าบาทตรัสว่าคนของเจ้ามักจะไปเที่ยวป่าวประกาศในเมืองหลวงว่ามหาบัณฑิตจะชิงราชบัลลังก์ น่ารำคาญ ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีก”
ถงเหยียนคิดในใจว่านี่เป็นสำเนียงการพูดของเจ้านั่นจริงๆ แต่ว่าการที่ทำให้เจ้านั่นพูดยืดยาวขนาดนี้ได้ เห็นทีคงจะค่อนข้างน่ารำคาญจริงๆ
เมื่อคิดได้ถึงจุดนี้ ไม่รู้เพราะเหตุใดอารมณ์เขาจึงดีขึ้นมาจากเดิม จากนั้นดีดนิ้วเบาๆ เพื่อบอกว่าเข้าใจแล้ว
องครักษ์ผู้นั้นมิได้กล่าวกระไรอีก หมุนตัวเดินจากไป
มองดูแผ่นหลังองครักษ์ผู้นั้น คิดถึงบทสนทนาในกระท่อมกับมหาบัณฑิตในปีนั้น มั่วกงคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไร
ถงเหยียนกล่าวกับเขาว่า “รบกวนท่านแล้ว”
มั่วกงกล่าวอย่างมีความหมายลึกซึ้งว่า “คำพูดของพวกท่านน่าสนใจทีเดียว ถึงแม้ข้าจะฟังไม่ค่อยเข้าใจ แต่บางทีเช่นนี้ต่างหากถึงจะเรียกว่าน่าสนใจจริงๆ”
ถงเหยียนคิดไม่ถึงว่าบทสนทนาของตนเองกับจัวหรูซุ่ยจะถูกเขาที่กำลังชมหิมะอยู่บนภูเขาได้ยินเขา จึงตกใจเล็กน้อย แต่สีหน้ากลับไม่เปลี่ยนแปลง
……………………………………………………………