บทที่ 459 แก่นในแห่งความมืด!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

บทที่ 459 แก่นในแห่งความมืด! โดย Ink Stone_Fantasy

นิมิตมืดนั้นมีพลังอำนาจที่ทั้งแสนพิเศษ แปลกประหลาด และเป็นเคล็ดเวทที่จะดึงเป้าหมายเข้าสู่ดินแดนแห่งความฝัน ดินแดนนี้ถือกำเนิดจากต้นกำเนิดแห่งเต๋า โดยใช้พลังชีวิตของผู้ใช้เคล็ดเวทนั้นเป็นเชื้อเพลิงในการสร้าง และวิชานี้มีแต่ผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์เท่านั้นที่ใช้ได้!

เคล็ดเวทนิมิตมืดนี้ใช้เพื่อทำลายศัตรูได้ แต่ส่วนใหญ่ผู้ฝึกตนชั้นสูงมักใช้ในการถ่ายทอดวิชาและเคล็ดเวทต่างๆ ให้ศิษย์หรือทายาทมากกว่า กระแสของเวลาในดินแดนแห่งความฝันเดินในอัตราที่แตกต่างจากโลกแห่งความเป็นจริง โดยปรับได้ตามใจปรารถนา ดินแดนแห่งความฝันสามารถถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับวิชาต่างๆ เข้าไปในวิญญาณของผู้เรียนได้โดยตรง โดยจะเข้าไปผสานรวมกับวิญญาณของศิษย์คนนั้นๆ ถือเป็นการร่นระยะเวลาและลดทอนอุปสรรคในการฝึกวิชาไปได้มากโข กระนั้นก็ยังต้องฝึกอยู่ดี เนื่องจากวิชานิมิตมืดนี้ไม่อนุญาตให้ผู้ถ่ายทอดส่งผ่านระดับปราณของตนไปยังผู้ถูกถ่ายทอด เพราะจะทำให้ฝ่ายหลังทรงพลังขึ้นมาในทันที ทว่าผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ที่พัฒนาขั้นปราณไปจนถึงระดับหนึ่งแล้ว มักต้องการตื่นรู้ในต้นกำเนิดแห่งเต๋าและกฎแห่งเต๋า มากกว่าการพัฒนาขั้นปราณ

และเคล็ดเวทนิมิตมืดก็เป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่จะถ่ายทอดความรู้นี้ได้!

นอกจากนี้มันยังมีประโยชน์อื่นอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น เมื่อบาดเจ็บสาหัส ผลกระทบของการบาดเจ็บนั้นจะลดน้อยลงในดินแดนแห่งความฝัน ทำให้มีเวลาพอที่จะฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาเป็นปกติได้เร็วขึ้น

ทว่า… เคล็ดเวทที่ทรงพลานุภาพเช่นนี้ต้องใช้พลังอย่างมากในการเสก จึงทำให้คนส่วนมากไม่ได้ใช้บ่อยนัก นอกเสียจากว่าจำเป็นจริงๆ เคล็ดเวทนิมิตมืดนี้ถือว่าเป็นวิชาต้องห้ามกลายๆ ในสำนักแห่งความมืด

หลังจากที่อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับเคล็ดเวทนิมิตมืดเสร็จเรียบร้อย ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็เต็มไปด้วยรอยครุ่นคิด เขาหลับตาลงหลังจากผ่านไปสักพัก ก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง แล้วมองไปรอบๆ อย่างเงียบเชียบ

สิบห้านาทีผ่านไป หวังเป่าเล่อที่นั่งอยู่ในตำหนักหมื่นศิลป์สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง ชายหนุ่มเริ่มฝึกวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณต่อ

แม้จะยังมีขั้นปราณไม่ถึงระดับกำเนิดแก่นใน จึงทำให้ยังเข้าใจวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณไม่ถ่องแท้ หวังเป่าเล่อก็ยังทำให้วิชานี้แข็งแกร่งขึ้นได้ด้วยการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ปราณมืดของเขายังทรงพลังขึ้นด้วย ด้วยเหตุนี้ เปลวไฟสีดำภายในกายของหวังเป่าเล่อจึงค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้น

เวลาเดินหน้าผ่านไปเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อยังคงมุ่งมั่นกับการฝึกวิชาต่อไป ไม่นานนักสามเดือนก็ผ่านไปภายในพริบตา

ในช่วงสามเดือนนี้ หวังเป่าเล่อเพ่งสมาธิทั้งหมดไปกับการเพิ่มจำนวนเปลวไฟสีดำในกาย จนกระทั่งมีถึงเจ็ดสิบแปดดวงด้วยกัน เขาใกล้จะทำลายสถิติเปลวไฟสีดำแปดสิบเอ็ดดวงได้แล้ว

โดยปกติแล้วยิ่งแข็งแกร่งขึ้นก็จะยิ่งพบอุปสรรคในการฝึกวิชา แต่หวังเป่าเล่อกลับเดินหน้าเพิ่มพูนพลังปราณให้ตนได้อย่างไร้ขีดจำกัด ราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นผู้ใช้วิชาแห่งศาสตร์มืดอย่างไรอย่างนั้น

นี่ทำให้หวังเป่าเล่อเริ่มฉุกคิด ชายหนุ่มเริ่มคลางแคลงใจว่าเพราะเหตุใดทุกสิ่งจึงง่ายดายถึงเพียงนี้ ทำอย่างไรก็สลัดความสงสัยนี้ออกไปไม่ได้เสียที หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจกดความรู้สึกนี้ลงไปเบื้องลึก เขากำลังจะเริ่มฝึกวิชาต่อ แต่แผ่นหยกในกำไลคลังเวทก็สั่นขึ้นเสียก่อน ชายหนุ่มหยิบแผ่นหยกตัวการออกมาดู ก่อนถอนใจยาว

เสียงถอนหายใจนั้นหนักอึ้งด้วยความรู้สึกซับซ้อน เสียดาย และสับสนที่ก่อตัวอยู่ในใจ

“ศิษย์น้องของข้า ข้าจะจากสำนักไปสักพักเพื่อฝึกตน ข้ามีบางเรื่องให้ต้องครุ่นคิดเล็กน้อย… รักษาตัวของเจ้าด้วย ข้าจะกลับมาเมื่อสะสางปัญหานั้นเรียบร้อยแล้ว!”

แผ่นหยกสื่อสารของหวังเป่าเล่อมีข้อความนี้เพียงข้อความเดียวเท่านั้น ผู้ที่ส่งสารนั้นมาให้คือศิษย์รุ่นพี่ เฉินชิง!

ตลอดสามเดือนที่ผ่านมา หวังเป่าเล่อใช้เวลาส่วนใหญ่ในการถือสันโดษฝึกวิชาทำสมาธิ แต่เขาก็ยังติดตามข่าวสารบ้านเมืองภายในสำนักอยู่เพื่อที่จะไม่ตกข่าว ยกตัวอย่างเช่น… สิ่งที่เกิดขึ้นกับศิษย์พี่เฉินชิงคนนี้!

ศิษย์พี่ผู้ที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมยากหาผู้ใดทัดเทียมผู้นี้ ได้บอกความลับกับเขาเมื่อวันก่อนด้วยความดีใจและคาดหวังเป็นอย่างยิ่ง… ว่าเนื้อคู่แห่งเต๋าที่กำลังจะเกิดใหม่ของศิษย์พี่เฉินชิง คือบุตรสาวของจักรพรรดิแห่งตระกูลไม่รู้สิ้น!

เฉินชิงไม่ทราบชื่อเสียงเรียงนามและภูมิหลังของวิญญาณที่เขาวาดขึ้นด้วยวิชาใบหน้าแห่งซากศพ จนกระทั่งจักรพรรดิแห่งตระกูลไม่รู้สิ้นมาเยือนสำนักแห่งความมืดเมื่อหลายเดือนก่อน เขารู้เพียงว่าวิญญาณดวงนี้จะกลายมาเป็นเนื้อคู่แห่งเต๋าของเขาเมื่อนางเกิดใหม่ นี่คือเจตจำนงแห่งเต๋าสวรรค์ เป็นชะตาชีวิตของเขาที่ถูกกำหนดมาเรียบร้อยแล้วโดยสวรรค์เบื้องบน

เฉินชิงดีใจเป็นอันมากเมื่อทราบดังนี้ เขาแต่งแต้มใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นให้สวยเป็นพิเศษตามรสนิยมของตน ชายหนุ่มเฝ้ารอวันที่จะได้เจอนางในอนาคต

ทว่า… ไม่นานหลังจากนั้นโลกแห่งความจริงกลับถล่มลงมาใส่ชายหนุ่ม เมื่อจักรพรรดิแห่งตระกูลไม่รู้สิ้นต่อสู้กับสำนักแห่งความมืดในศึกที่น่ากลัวจนเสียวกระดูกสันหลังวาบ ชายหนุ่มก็เห็นกับตาตนเองว่าวิญญาณของหญิงสาวซึ่งเป็นเนื้อคู่เขา ถูกดึงออกจากทะเลวิญญาณและสลายกลายเป็นเถ้าธุลีไป นับแต่นั้นมา หัวใจของชายหนุ่มก็ถูกเกาะกุมด้วยความเงียบงัน

แม้ดวงชะตาของเฉินชิงจะผูกติดอยู่กับวิญญาณดวงนี้ในชาติหน้า และแม้ว่าทั้งสองจะยังไม่ได้ทำความรู้จักจนเริ่มสร้างความสัมพันธ์กันในชีวิตจริง แต่ทุกสิ่งกลับพังทลายลงก่อนที่จะได้เกิดขึ้น ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนหลงทาง เฉินชิงไม่ได้เสียใจที่ดวงวิญญาณของหญิงสาวสลายไป แต่ศรัทธาในชะตาแห่งเต๋าของเขากลับสั่นคลอน

เฉินชิงไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายผิด จักรพรรดิแห่งตระกูลไม่รู้สิ้นหรือสำนักแห่งความมืด แต่สิ่งเดียวที่ชายหนุ่มมั่นใจคือ ดวงวิญญาณหญิงสาวผู้นั้นไม่ได้ทำสิ่งใดผิดเลย

หรือสำนักแห่งความมืดจะเป็นฝ่ายผิด แต่สำนักเพียงทำตามเจตจำนงของเต๋าสวรรค์เท่านั้น เต๋าสวรรค์คืออำนาจที่ถือเป็นเจตจำนงสูงสุดของกฎแห่งจักรวาล และเป็นต้นกำเนิดแห่งเต๋าภายในกายของผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดทุกคน

ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงตัดสินใจปลีกตัวไปใช้เวลาคิดเงียบๆ คนเดียวสักพัก เพื่อหาคำตอบให้กับคำถามที่มากล้นจิตใจ เขาอยากตรึกตรองให้ถี่ถ้วน และตั้งใจว่าจะต้องหาคำตอบให้จงได้ ด้วยเหตุนี้เฉินชิงที่กำลังตกอยู่ในสภาวะซึมเศร้า จึงตัดสินใจจากสำนักไปเป็นการชั่วคราวเพื่อจัดระเบียบความคิดตนเอง

หวังเป่าเล่อก็สองจิตสองใจในเรื่องนี้เช่นกัน แต่ตัวเขาเองไม่มีอำนาจอันใดจะแก้ปัญหานี้ได้ จึงทำได้เพียงลองสมมติดูว่าหากตนเองเป็นเฉินชิงจะทำอย่างไร

สุดท้ายเขาก็โยนคำถามทิ้งไป และเดินหน้าฝึกปราณต่อเงียบๆ อย่างไม่หยุดยั้ง เวลาเดินหน้าผ่านไปอีกหนึ่งเดือน เปลวไฟสีดำภายในกายหวังเป่าเล่อเพิ่มเป็นแปดสิบเอ็ดดวงเรียบร้อย!

ทันทีที่เปลวไฟครบแปดสิบเอ็ดดวง ร่างของชายหนุ่มก็สั่นเทา เขารู้สึกได้ถึงเปลวไฟทั้งแปดสิบเอ็ดดวงที่ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ และกำลังเผาไหม้อย่างเจิดจ้าอยู่ภายใน เปลวไฟที่สุมกันเป็นกองใหญ่นี้เริ่มหดตัวและควบแน่นจนมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ มันหดเล็กลงอย่างต่อเนื่องจนอัดแน่นกลายเป็นแก่นในภายในกายของเขา!

ตลอดกระบวนการนี้ คลื่นพลังปราณที่รุงแรงกว่าขั้นรากฐานตั้งมั่นแพร่กระจายออกจากแก่นในที่สร้างจากเปลวไฟสีดำเหล่านี้ หวังเป่าเล่อรู้สึกราวกับกระแสน้ำของสายธารนับล้านกำลังทะลุผ่านเส้นปราณของเขา และหลังไหลไปยังทั่วทุกส่วนของร่าง กระแสธารเหล่านั้นเอ่อท่วมเส้นปราณใหญ่น้อยทั่วร่างภายในพริบตา พลังที่มาพร้อมกระแสปราณแทรกซึมเข้าทั่วร่างกายของเขา ก่อนล้นออกมายังโลกภายนอก

ในตอนนั้นเองพายุกรรโชกก็อุบัติขึ้นรอบตัวหวังเป่าเล่อที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ พายุปราณนั้นส่งเสียงก้องและหมุนวนรอบตัวชายหนุ่ม แม้พลังนี้จะอ่อนแอสำหรับผู้ที่มีปราณขั้นสูง เพราะเป็นเพียงการบรรลุขั้นปราณจากขั้นรากฐานตั้งมั่นไปเป็นกำเนิดแก่นในเท่านั้น แต่นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของหวังเป่าเล่อ ร่างทั้งร่างของชายหนุ่มสั่นสะท้าน เขารู้สึกได้ถึงพลังปราณของตนที่ระเบิดออกจากกาย และเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด!

เสียงระเบิดเหมือนอสนีบาตปะทุขึ้นภายในกายของหวังเป่าเล่อ พายุรอบกายเขาเปลี่ยนสภาพเป็นทะเลไฟเยือกแข็ง เปลวไฟเย็นเหล่านั้นแพร่กระจายออกทุกทิศทาง และทวีความเย็นขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้พลังนั้นยิ่งแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เส้นปราณในกายหวังเป่าเล่อสะเทือน ทั้งเลือดเนื้อและโลหิตของเขาสั่นไหว พลังปราณในกายหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง เปลวไฟสีดำยังคงอัดตัวแน่นขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นทุกที เปลวไฟสีดำที่อัดแน่นเหล่านี้กำลังจะรวมร่างกลายเป็นของแข็ง!

ตอนนั้นเอง หมิงคุนจื่อก็ปรากฎกายขึ้นอย่างเงียบเชียบต่อหน้าหวังเป่าเล่อในตำหนักหมื่นศิลป์ ดวงตาของเขาอ่อนโยนขณะมองหวังเป่าเล่อด้วยความเมตตา ร่างของอาจารย์ค่อนข้างพร่าเลือนจนทำให้มองไม่ออกเล็กน้อย ดูคล้ายกับตอนที่หวังเป่าเล่อเห็นนิ้วและมือโปร่งแสงของอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ บัดนี้ไม่ใช่แค่มือเสียแล้วที่จางหากแต่เป็นร่างทั้งร่างของหมิงคุนจื่อ

กระนั้นเขาก็ยังยกมือขึ้นชี้ไปที่หน้าผากของหวังเป่าเล่อ!

ทันทีที่ปลายนิ้วของหมิงคุนจื่อสัมผัสหน้าผากของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าฟาดภายในกายตน แก่นในภายในกายเขาก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างเร็วขึ้นภายในพริบตา จนเกิดเป็น… แก่นในแห่งความมืด!

ทันทีที่แก่นในแห่งความมืดเป็นรูปเป็นร่างอย่างสมบูรณ์ พลังของปราณขั้นกำเนิดแก่นในก็ระเบิดออกจากกายของหวังเป่าเล่อ พลังนั้นกระจัดกระจายไปในอากาศทั่วทุกสารทิศ ชายหนุ่มค่อยๆ ลืมตาขึ้น

เขาหายใจแรง สายตาจับต้นชนปลายไม่ถูก ความทรงจำเกี่ยวกับสหพันธรัฐที่คิดว่าเป็นเพียงความฝันผุดขึ้นในจิตใจอีกครั้ง และเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เขาจำได้ว่าในฝันตนถูกผู้ฝึกตนจากนอกโลกสามคนไล่ล่า จนต้องหนีเข้าไปในวัตถุเวทแห่งความมืดและเข้าถ้ำใต้ดินมา และก่อนหน้านี้เขาก็นั่งอยู่บนเรือสีดำโดดเดี่ยวลำน้อย…

หวังเป่าเล่อจำได้ว่าก่อนที่ตนเองจะหลับไป เขาได้ยินเสียงชราที่แสนคุ้นเคยกระซิบอยู่ในหู เสียงนั้นเอ่ยคำสองคำออกมา…

“นิมิตมืด…”

ชายหนุ่มตกอยู่ในความเงียบงัน หลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนาน เขาก็เงยหน้าขึ้นมองเข้าไปในดวงตาของหมิงคุนจื่อผู้เป็นอาจารย์ ที่บัดนี้ยืนอยู่ตรงหน้า

“ท่านอาจารย์… ข้า…” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง แต่ก่อนที่จะพูดจบ ชายหนุ่มก็รู้สึกได้ว่าอาจารย์กำลังจะสลายหายไปเร็วขึ้นเรื่อยๆ ในทุกคำที่เขาเอ่ย

หวังเป่าเล่อตัวสั่น แม้สีหน้าจะยังดูงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่คำตอบก็เริ่มก่อตัวขึ้นชัดเจนในจิตใจ บางที… ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้าเขาในตอนนี้ อาจเป็นความฝันด้วยก็ได้

ช่างเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย เขารู้สึกเหมือนว่าตนเองกำลังอยู่ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น เหมือนรู้ว่าตนเองกำลังนอนหลับและฝันไป เคล็ดเวทนิมิตมืดผุดขึ้นในใจอีกครั้ง หลังจากที่ลองทบทวนดู ชายหนุ่มก็คิดหาคำตอบได้ในที่สุด

ในใจเขายังเต็มไปด้วยคำถามและข้อสงสัยมากมาย เขาเงียบไปอีกสักพัก ก่อนจะลุกขึ้นทำมือคารวะหมิงคุนจื่อและโค้งคำนับสุดตัว!

“ศิษย์พี่…” หวังเป่าเล่อตัวแข็งทันทีที่พูดคำนั้นออกไป เขาเงียบลงอีกครั้ง หลังจากที่หายใจเข้าลึกเพื่อเรียกสติ ชายหนุ่มก็เปิดปากเรียกชายตรงหน้า แต่ด้วยชื่อที่ต่างออกไป

“ท่านอาจารย์!”