ตอนที่ 300 ไม่ยอมให้ผู้หญิง / ตอนที่ 301 ชนะเรียบ

[นิยายวาย] เมื่อบุหรี่ตกหลุมรักไม้ขีดไฟ

ตอนที่ 300 ไม่ยอมให้ผู้หญิง

 

 

“นี่ไม่ใช่บุคคลอัจฉริยะแห่งคณะการขนส่งทางทะเลหรอ ได้ยินว่าเหมือนจะพักการเรียนแล้วใช่ไหม”

 

 

เสียงนี้ค่อนข้างไม่คาดคิดมากทีเดียว

 

 

ชุยหังเหลือบไปมองเห็นเป็นหัวหน้าฝ่ายผู้หญิงจากคณะโลจิสติกส์ที่เคยร่วมมือในงานวอลซ์แห่งหอคอยงาช้างด้วยกันกับพวกเขา

 

 

ตรงข้ามเธอก็คือดอกไม้คณะคนนั้น

 

 

โลกนี้มันกลม [1] จริงๆ เลย ขนาดที่นี่ยังเจอพวกเขาได้เลย

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาทั้งสองคนดูเหมือนจะไม่ใช่คนตงเป่ยหรอกใช่ไหม มาทำอวดดีอะไรที่นี่?

 

 

ชุยหังกลอกตาขาวใส่หล่อนไปที คนแบบนี้ทำไมโดนด่าแล้วถึงไปพอนะ หล่อนจะต้องดูเวยป๋อแล้วแน่นอน ไม่แน่ว่าบางทีอาจจะเปิดชื่อสำรองไปด่าเขามาแล้วด้วยซ้ำ

 

 

“สวัสดีครับครุ่นพี่ เกี๊ยวตงเป่ยเนี่ยดีที่สุดต้องจิ้มซอสกระเทียมสักหน่อยนะครับ แล้วก็ฆ่าเชื้อในปากด้วย” หลังจากชุยหังพูดจบก็นั่งลงตรงที่นั่งตรงประตูเลย

 

 

หัวหน้าฝ่ายคนนั้นตกตะลึงไปและตอบสนองกลับในทันทีว่าชุยหังกำลังถากถางตัวเองอยู่

 

 

แต่ว่าเธอมีคำพูดที่บ้าคลั่งยิ่งกว่าอยากจะพูด ในเมื่อชุยหังไม่ไปแถมยังกล้านั่งด้วย ก็อย่าโทษปากเป็นพิษนี้ของเธอเลยที่จะเปิดโปงเขาออกมา

 

 

“ปากนี้ของฉันควรได้รับการฆ่าเชื้อ แต่หัวใจของนายก็ต้องฆ่าเชื้อหน่อยเหมือนกันนะ ตอนนี้ฉันถึงได้เข้าใจว่าทำไมก่อนหน้านี้นายถึงไม่ยอมให้ผู้หญิง ที่แท้ทุกคนต่างก็เป็นพี่สาวน้องสาวกันนี่เอง” หัวหน้าฝ่ายหญิงพูดด้วยท่าทีแปลกๆ

 

 

จากนั้นเธอก็จงใจทำนิ้วกล้วยไม้ [2] ด้วย ซึ่งหมายความว่า ตุ๊ด [3] ชุยหัง

 

 

ชย่าอวี่ชิวมองไปทางชุยหังอย่างเป็นกังวลนิดหน่อยว่าเขาจะไม่สามารถทนได้

 

 

เขาบอกแล้วว่าอย่ามาที่นี่ แต่ชุยหังจะมาให้ได้

 

 

ตอนนี้เรียบร้อย ไม่เพียงแต่บังเอิญเจอคนรู้จัก แต่ไม่ใช่พวกคนดีอะไรเลยด้วย

 

 

“พี่สาวน้องสาว? คิดมากไปแล้ว ถ้าเธอคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงจริงๆ ต้องการเรียกฉันว่า ‘ป้า’ ฉันก็ไม่รังเกียจ” ชุยหังกล่าว

 

 

ด้านเจ้าของร้านคงจะพบเจอมีประสบการณ์รอบรู้มามากแล้วและอยู่ที่มหาวิทยาลัยนี้มานานแล้วก็ขี้เกียจที่จะเข้าไปยุ่งเรื่องระหว่างนักศึกษา ดังนั้นจึงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินแล้วก็ไม่ได้หัวเราะเยาะใคร

 

 

หัวหน้าฝ่ายหญิงพูดขึ้นว่า: “เหอะๆ รักษาหน้าเก่งจริงๆ เป็นผู้ชายดีๆ ก็ไม่เลวเล่นบ้าๆ อะไร”

 

 

“ทำไม ฉันไปแย่งพ่อเธอมาจากแม่เธอหรือไง” ชุยหังถามออกไปตรงๆ

 

 

ฝ่ายหญิงถึงกับผงะไปแล้วถามขึ้นมาว่า: “นายพูดได้ยังไงอ่ะ”

 

 

“ใช้ปากพูดสิ เธอไม่ใช่หรอ อย่าคิดว่าใครๆ ต่างก็ต้องยอมเธอตลอดไปนะ มีฟันอยู่เต็มปากก็พูดคำพูดอะไรที่มันควรจะออกจากปากด้วย อย่าทำให้เหมือนตดไร้กลิ่นเป็นมลพิษต่อสภาพอากาศ ฉันจะชอบผู้หญิงหรือผู้ชายแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอ? ฉันไปขัดเรื่องของเธอหรอ” ชุยหังดูเหมือนจะไม่ยอมให้หล่อนเลยแม้แต่นิด

 

 

ดอกไม้คณะคนนั้นดึงแขนเสื้อของหัวหน้าฝ่ายหญิงไว้แล้วพูดว่า: “หัวหน้า พอแล้ว ไปพูดกับคนแบบนี้ราคาจะตกแค่ไหน”

 

 

“ใช่สิ พวกเธอมีค่ามาก ถ้าพวกเธอเกิดในพาราเมาท์ [4] คงจะได้เป็นหน้าร้านเลย ส่วนคนพฤติกรรมไม่ดีอย่างฉันก็คงจะได้แค่ขายเมล็ดแตงโมอยู่หน้าประตู แล้วก็มองดูพวกเธอต้อนรับส่งแขก เกิดมาดูดีแล้วเก่งนักหรอ ฉันทำอะไรแล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเธอ ต้องให้พวกเธอมาเป็นกังวลด้วย?” พลังการต่อสู้ของชุยหังยิ่งแข่งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

 

 

โชคดีที่วันนี้ที่นี่คนไม่เยอะมากจริงๆ

 

 

นอกจากผู้หญิงสองคนนี้ ก็มีแค่คนที่ใส่แว่นตาอีกคนที่ไม่รู้ว่าเป็นใครอยู่ตรงนั้น

 

 

เมื่อเห็นท่าทีว่าจะทะเลาะกันก็รีบเช็คบิลแล้วเดินออกไปทันที

 

 

นอกจากเจ้าของร้านแล้วก็เหลือแค่พวกเขาสองโต๊ะนี้แล้ว

 

 

เจ้าของร้านเห็นว่าอารมณ์ของชุยหังดูเหมือนจะสูงมากเกินไปแล้วจึงรีบออกมาไกล่เกลี่ยให้ลงเอยกันด้วยดี

 

 

“ทุกคนต่างก็มากินข้าว แค่ทำเรื่องตลกอย่าโกรธเคืองกันเลยนะ”

 

 

ชุยหังไม่ได้พูดอะไร เจ้าของร้านไม่ได้ยั่วโมโหเขาสักหน่อย อีกอย่างเขาก็ทำธุรกิจตนก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปจงใจหาเรื่องเขา

 

 

ดังนั้นเขาจึงนั่งลงและไม่สนใจสองคนนั้นอีก

 

 

คิดไม่ถึงว่าหัวหน้าฝ่ายหญิงคนนั้นจะไม่ยอมแพ้ พลางใช้ตะเกียบเสียบลงบนเกี๊ยวในจานแรงๆ พลางพูดว่า: “วิปริตจริงๆ เลย วันนี้ทำไมถึงได้โชคร้ายขนาดนี้ ออกจากบ้านต้องมาเจอคนแบบนี้”

 

 

ชุยหังก็ตอบกลับทันทีด้วยการพูดขึ้นเสียงดังว่า: “วันนี้ฉันออกจากบ้านเหยียบขี้หมาด้วยหนึ่งกอง ฉันรู้อยู่แล้วว่าวันนี้ต้องโชคไม่ดี ที่แท้ก็ได้มาเจอกับคนแคระ พวกคนไม่มีคุณสมบัติมาแต่เดิมไม่ว่าจะแต่งตัวยังไงก็เป็นแค่หน้าเน่าๆ ไม่สวยเลยสักนิด”

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 301 ชนะเรียบ

 

 

ชย่าอวี่ชิวอยากจะหัวเราะแต่ก็รู้สึกไม่ค่อยดีนิดหน่อยก็ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นผู้หญิง

 

 

คำพูดของชุยหังทำให้พวกเขาไร้ยางอายมากพอแล้ว ถ้าตนยังหัวเราะเยาะพวกเขาไปด้วยมันจะยิ่งไม่ดีเข้าไปใหญ่

 

 

“นายเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงกันแน่? แถมยังชอบผู้ชายน่ารังเกียจจริงๆ พวกเกย์” ดอกไม้คณะก็พูดแล้วประโยคหนึ่ง

 

 

ชุยหังทุ่มสุดตัวแล้ว: “เธอไม่น่ารังเกียจ เธอจนจะขึ้นราอยู่แล้วแถมยังเป็นดอกไม้คณะด้วย ตรงไหนที่หลอก ฉันว่าคงจะเป็นจิตใจที่หลอกลวง ฉันเป็นเกย์หรือไม่เป็นมันเกี่ยวอะไรกับพวกเธอ ฉันไปกินข้าวบ้านพวกเธอ? หรือว่าไปทำร้ายผู้ชายของพวกเธอแล้ว? ว่าคนอื่นน่ารังเกียจไปตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูพฤติกรรมน่าระอานั่นของตัวเองก่อน นอกจากอ้อนแล้วยังทำอะไรเป็นอีกบ้าง”

 

 

“ฉันอ้อนเพราะฉันเต็มใจ ฉันมีคุณสมบัติที่จะทำมันได้ นายเป็นผู้ชายอกสามศอกไม่ไปสืบทอดเลือดเนื้อเชื้อไขบรรพบุรุษกลับมาทำเรื่องน่ารังเกียจประเภทนี้ ไร้ยางอายจริงๆ”

 

 

“ตอนนี้พวกเราสองคนก็ไร้ยางอายจริงนั่นแหละ นังชาเขียว [5] ที่เม้าท์กันก็ไม่ใช่คนประเภทแบบเธอหรอ ‘ทั้งเป็น (โสเภณี) ทั้งตั้ง (ซุ้มประตู) ’ [6] สำนวนนี้ที่พูดถึงก็คือเธอใช่ไหม ทำให้คนเบื่ออาหารขึ้นมาเลยจริงๆ ตอนนี้ฉันเห็นพวกเธอสองคนนั่งอยู่ตรงนี้ก็เหมือนกับนั่งกินข้าวในส้วมไม่มีผิดเลย”

 

 

“ก็แค่ฝีปากเก่งเองไม่ใช่หรอ เก่งนักก็คลอดลูกออกมาสักคนสิ” หัวหน้าฝ่ายหญิงพูดขึ้น

 

 

“คลอดไม่คลอดต้องให้เธอมายุ่ง?”

 

 

“ต่อให้นายอยากจะคลอด นายมีความสามารถนั้นไหม” หัวหน้าฝ่ายหญิงพูดออกมาตรงๆ “ถ้าพ่อแม่ของนายรู้เขาคงได้โมโหตาย”

 

 

“เธอดูแลตัวเองให้ดีก่อนเถอะ ถึงเธอจะมีโครงสร้างร่างกายแบบนั้นแต่ใครจะไปรู้ว่าเธอจะสามารถคลอดลูกได้หรือเปล่า ดูจากท่าทางของเธอก็รู้แล้วว่าเกินกำลัง ในอนาคตถึงจะแต่งงานไปแล้วก็คงจะคลอดลูกไม่ได้หรอก นี่ก็นับเป็นเรื่องดีเหมือนกันนะ คนอย่างเธอถ้ามีลูกขึ้นมาจริงๆ ก็คงจะเป็นเด็กเปรตเป็นหายนะ ไม่สู้เป็นแค่สิ่งของไว้จัดแสดงจะดีกว่า” ชุยหังตอกกลับอย่างไม่ใยดี

 

 

“เอาล่ะทุกคนพูดน้อยกว่านี้สักสองสามคำเถอะนะ ต่างก็อยู่มหา’ ลัยเดียวกัน พูดแบบนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยนะ” เจ้าของร้านยังคงพยายามไกล่เกลี่ย

 

 

ชุยหังมองเจ้าของร้านแล้วพูดว่า: “เถ้าแก่ เถ้าแก่ก็เห็นแล้วว่าวันนี้ผมมายังไม่ทันได้พูดอะไรก็มีคนเริ่มกัดก่อนอย่างกับหมาบ้า ประตูบ้านใครปิดไม่สนิทถึงปล่อยของสองตัวนี้หลุดออกมา”

 

 

เจ้าของร้านก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน การต่อสู้ในครั้งนี้ก็เป็นเพราะผู้หญิงสองคนนั้นเป็นคนก่อขึ้นมาก่อน เพียงแต่เขาคาดไม่ถึงว่าชุยหังไม่มีความคิดที่จะยอมให้พวกเขาเลยสักนิดจริงๆ

 

 

ปัญหาที่พวกเขาพึ่งพูดไปว่าอะไรชุยหังเป็นพวกเกย์มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตนเลย

 

 

เพียงแต่ว่าที่นี่เสียงดังขนาดนี้จนมีคนเริ่มมองมาทางนี้แล้ว ผลกระทบที่ตามมายังไงก็ไม่ดี

 

 

“พฤติกรรมน่าเอือมระอานี้ของเธอเป็นหัวหน้าฝ่ายหญิงได้ยังไง ฉันควรจะเปิดเผยให้เธอสักหน่อย หรือจะเพราะคณะโลจิสติกส์ของพวกเธอไม่มีคนแล้วจริงๆ เลยดึงคนตัวใหญ่อย่างเธอออกมาจากในกลุ่มคนเตี้ย? ยังไงซะตอนนี้ฉันเท้าเปล่าไม่กลัวเธอที่ใส่รองเท้า [7] ถ้าเธอถูกคนถอดออกแล้วจัดการลงโทษเธอคือการบันทึกในแฟ้มข้อมูลนะ เธอจัดการเองก็แล้วกัน แต่ว่าฉันเดาว่าเธอก็คงจะไม่กลัวหรอก ผู้หญิงบ้าอย่างเธอสามารถนั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ ถ้าบอกว่าเธอไม่ได้ใช้วิธีการอื่นใครเชื่อ?” ชุยหังพูดแทงจิตใจหัวหน้าฝ่ายหญิงคนนั้นทีละประโยคๆ

 

 

ในตอนนั้นหัวหน้าฝ่ายหญิงคนนั้นโกรธจนแทบคลั่งแต่กลับไม่พูดอะไรแล้ว

 

 

“ฮือ…” เสียงหัวหน้าฝ่ายหญิงคนนั้นปิดหน้าวิ่งร้องไห้ออกไป

 

 

เมื่อดอกไม้คณะคนนั้นเห็นก็จะวิ่งตามออกไปข้างนอก ชุยหังรีบเรียกให้หล่อนหยุดไว้ก่อน

 

 

“นายยังอยากทำอะไรอีก” ดอกไม้คณะถาม

 

 

ชุยหังชี้ไปที่จานบนโต๊ะแล้วถามขึ้นว่า: “ทำไมคิดจะชิ่งหรอ ตัวเองกินของไปตั้งเท่าไหร่ไม่รู้หรอ ไม่รู้จักจ่ายเงินหรอ หรือว่าพวกเธอลืมเอาเงินมาเลยจงใจหาข้ออ้างด้วยการทะเลาะกับฉัน จากนั้นก็จะแกล้งร้องไห้วิ่งหนีไป? พวกเธอต่างก็ยากจนจนมีพฤติกรรมน่าเอือมระอาแบบนี้แล้วยังมีกะจิตกะใจว่างมาสนใจว่าคนอื่นเป็นพวกเกย์หรือเปล่าอีก”

 

 

 

 

——

 

 

[1] โลกนี้มันกลม ‘冤家路窄’ หมายถึงบุคคลที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตไม่ปรารถนาที่จะพบกันแต่เวรกรรมก็บันดาลให้พบกันจนได้ ซึ่งไม่มีทางที่จะเลี่ยงได้

 

 

[2] นิ้วกล้วยไม้ ‘兰花指’ เป็นท่าทางการแสดงมือแบบหนึ่งของนักแสดงงิ้วหญิง ซึ่งมีลักษณะคล้ายดอกกล้วยไม้ที่อ่อนช้อยและงดงาม

 

 

[3] ตุ๊ด ‘娘娘腔’ เป็นคำใช้เรียกชายหนุ่มตุ้งติ้ง ผู้ชายบางคนพูดแล้วเสียงแหลมเล็กเหมือนผู้หญิง หรืออีกความหมายในเชิงไม่สุภาพคือ ตุ๊ด

 

 

[4] พาราเมาท์ คลับสุดหรูของเซี่ยงไฮ้ คลับพาราเมาท์ ฮอล์ (Paramount Hall) ภาษาจีนคือ ‘百乐门’ แปลว่าประตูแห่งความสุข

 

 

[5] นังชาเขียว 绿茶婊 (ลีว์ฉาเปี่ยว) Green Tea Bitch โดย绿茶 (ลีว์ฉา) คือชาเขียว 婊 (เปี่ยว) คือโสเภณี หมายถึงคนที่มีท่าทางหงิม ๆ แต่ความจริงเป็นคนฉลาด มากวิธีการหรือน้ำนิ่งไหลลึก เป็นคนเงียบขรึม แต่มีความคิดลึกซึ้ง

 

 

[6] ทั้งเป็น (โสเภณี) ทั้งตั้ง (ซุ้มประตู) เป็นสุภาษิตจากผู้หญิงที่เป็นโสเภณีหรืหัวขโมยแล้วยังแสร้งทำเป็นเด็กสาวบริสุทธิ์ตั้งซุ้มประตูเพื่อตัวเอง ต่อมาใช้กล่าวถึงคนที่แอบทำอะไรไม่ดีแล้วแสร้งทำเป็นซื่อสัตย์ใสสะอาด

 

 

[7] เท้าเปล่าไม่กลัวคนที่ใส่รองเท้า ‘光腳的不怕穿鞋的’ หมายถึงเมื่อคนที่ไม่มีอะไรเลยจะต่อสู้กับคนที่มีของมากมาย แน่นอนว่าต้องเป็นคนที่ไม่มีอะไรเลยชนะ เพราะเขาไม่มีอะไรที่ต้องสูญเสียอีกแล้ว