บทที่ 280 คำเชิญจากกองทัพ
คนเราก็มักจะเป็นเช่นนี้
คนเราเวลาชอบพอใครสักคน ก็จะมองเห็นแต่ข้อดี ไม่มีข้อเสีย
คนเราเวลาเกลียดชังใครสักคน ก็จะมองเห็นแต่ข้อเสีย ไม่มีข้อดี
หวังหรู่อี้ไม่ใช่คนหยาบคาย
นางไม่ใช่คนที่มีอคติกับใครไปทั่ว
เพียงแต่ว่านางเป็นคนที่มีมาตรฐานสูงเท่านั้นเอง
มิฉะนั้น หวังหรู่อี้คงไม่สนใจในตัวของฮันปู้ฟู่เพียงเพราะเห็นแววของเขาจากการประลอง ทั้งที่เด็กหนุ่มผู้นี้ไม่มีปูมหลังน่าสนใจ ไม่มีครอบครัวที่ใหญ่โต ไม่มีสิ่งใดสามารถเทียบเคียงได้กับผู้เข้าแข่งขันระดับอัจฉริยะคนอื่นๆ แต่นางก็มั่นใจว่าเขาจะต้องเป็นหยกล้ำค่าที่ตนเองตามหาอยู่แน่นอน
และถ้าจะพูดไปแล้ว ที่ทุกสถาบันให้ความสนใจในตัวฮันปู้ฟู่ ก็เป็นเพราะทุกคนเห็นว่านางให้ความสนใจในตัวเขานั่นเอง
แต่ตราบใดที่เป็นมนุษย์ ก็ยังคงหลบหนีความรู้สึกรัก โลภ โกรธ หลง ไม่พ้นอยู่ดี
หลินเป่ยเฉินที่ก่อนหน้านี้ประพฤติตัวเป็นคนดี ไม่เคยเอาเปรียบผู้เข้าแข่งขันคนไหน นอกจากฉวยโอกาสโฆษณาเป็นบางครั้งบางคราว แต่โดยเนื้อแท้แล้วนั้น สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าหลินเป่ยเฉินไม่เคยสนใจผู้ใด นอกจากผลประโยชน์ของตนเอง เช่นเดียวกับที่เขาไม่สนใจว่าสายตาของคนทั้งโลกจะมองเขาย่ำแย่อย่างไร…
เมื่อนำปัจจัยทั้งหมดนี้มารวมกัน หวังหรู่อี้จึงมีความรู้สึกดีต่อหลินเป่ยเฉินไม่ได้จริงๆ
ทว่า หลินเป่ยเฉินไม่ได้สนใจรองอาจารย์ใหญ่จากสถาบันกระบี่หลวงระดับสามัญเลยสักนิด
เขากำลังดีใจแทนฮันปู้ฟู่
ส่วนเหตุผลที่หลินเป่ยเฉินห้ามไม่ให้ฮันปู้ฟู่รีบตกปากรับคำ ก็เพราะเขาอยากจะให้ศิษย์พี่ของตนเอง ได้รับข้อเสนอที่ดีที่สุด
การจะศึกษาอะไรสักอย่าง ก็ต้องเลือกเรียนสิ่งที่เหมาะสมกับตนเองมากที่สุด
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าอยากให้ฮันปู้ฟู่ได้รับสิ่งที่ดีที่สุด หลินเป่ยเฉินก็คงไม่ห้ามเอาไว้หรอก
และเห็นได้ชัดกว่าฮันปู้ฟู่มีความเชื่อใจในตัวหลินเป่ยเฉินเป็นอย่างสูง
เขาพยักหน้าเห็นด้วย กล่าวว่า “ข้าจะใช้เวลาตลอดสามวันนี้ พิจารณาให้ละเอียดรอบคอบที่สุด เมื่อครบกำหนดระยะเวลาแล้ว ข้าจะมอบคำตอบให้แก่ท่านอย่างแน่นอน ไม่ว่าผลการตัดสินใจของข้าในครั้งนี้จะเป็นเช่นไร แต่การที่อาจารย์หวังให้ความสนใจในตัวข้านั้น ก็ถือเป็นเกียรติในชีวิตของข้าแล้ว”
บัดนี้ ฮันปู้ฟู่มีความเยือกเย็นมากขึ้นกว่าเดิม
เขาสามารถพูดออกมาได้อย่างคล่องแคล่วไม่ประหม่า
หวังหรู่อี้ได้แต่ยิ้มและพยักหน้า พูดว่า “ไม่มีปัญหา ข้าจะรอฟังคำตอบจากเจ้า…ส่วนคนอื่นๆ ถ้าสนใจเข้าร่วมสถาบันของเรา ก็ลองมาเข้าสอบได้นะ ปีนี้กฎระเบียบการรับศิษย์ใหม่เปลี่ยนแปลงไปมาก ตราบใดที่พวกเจ้ามีคุณสมบัติครบถ้วน ก็จะได้รับการพิจารณาให้เลื่อนลำดับชั้นได้เป็นกรณีพิเศษ”
มีการเลื่อนลำดับให้เป็นกรณีพิเศษด้วยหรือ?
เป็นไปได้อย่างไรกัน?
เป็นที่ทราบกันดีว่าจักรวรรดิเป่ยไห่ต่อต้านการแหกกฎระเบียบเช่นนี้มาตลอด เพื่อป้องกันไม่ให้ระบบการศึกษาถูกทำลายด้วยกลุ่มคนรวยและผู้มีอำนาจ ดังนั้น แม้แต่ยอดอัจฉริยะตัวจริง ก็ยังต้องร่ำเรียนวิชาตามลำดับชั้นเสมอ
แต่บัดนี้มีการเปลี่ยนกฎแล้วหรือ?
ระหว่างที่ทุกคนกำลังตกตะลึงอยู่นั้นเอง หวังหรู่อี้ก็กระโดดกลับลงไปที่เรือลำน้อยของนาง ก่อนจะใช้พลังลมปราณควบคุมเรือแล่นจากไป เพียงพริบตาเดียว เรือของนางก็หายลับไปในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่แล้ว
ทุกคนกลับมาได้สติกันอีกครั้ง
“ทำไมเจ้าต้องห้ามศิษย์พี่ฮันด้วย?” ไป๋ชินหยุนหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาประหลาดใจ
หลินเป่ยเฉินตอบไปตามความจริงว่า “อาจารย์หวังบอกทุกอย่างไว้ครบถ้วนแล้วนี่นา นางให้เวลาศิษย์พี่ฮันตัดสินใจสามวัน เราก็ควรให้เขาใช้ระยะเวลาระหว่างนี้ คัดเลือกข้อเสนอที่ดีที่สุด”
มี่หรู่หยานพยักหน้าเห็นด้วย “สถาบันกระบี่ระดับสามัญ ไม่เหมือนกับสถานศึกษากระบี่รุ่นเยาว์ พวกเขาจะมีระบบการฝึกสอนพิเศษและเริ่มสอนหลักสูตรแยกย่อย พวกเราจะไม่ได้เรียนแค่การโคจรพลังลมปราณ การปรุงยาสมุนไพร หรือวิชากระบี่เท่านั้น แต่เราจะได้ศึกษาวิชาระดับสูงที่ไม่เคยได้เรียนรู้มาก่อน”
นางกล่าวต่อว่า “ในสถานศึกษาของข้านั้น ศิษย์พี่หลายคนที่เข้าศึกษาต่อในสำนักกระบี่ระดับสามัญ ได้กลับมาเล่าให้ฟังว่า ที่นั่นมีอาจารย์พิเศษอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อได้รับคำแนะนำเป็นการส่วนตัวจากอาจารย์เหล่านั้น หนทางในอนาคตก็ราบรื่นแล้ว…เพราะฉะนั้น คุณชายหลินทำถูกต้องแล้วที่ไม่ให้คุณชายฮันด่วนตัดสินใจเสียตั้งแต่ตอนนี้”
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง” ไป๋ชินหยุนเข้าใจในที่สุด
“ข้าว่าอีกไม่นานเดี๋ยวสถาบันอื่นๆ ก็ต้องติดต่อศิษย์พี่ฮันมาอีกแน่ๆ”
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับตัวเองก่อนพูดต่อ “หลังจากนี้ ศิษย์พี่ก็ต้องคิดหาวิธีเจรจากับคนพวกนั้น เพื่อให้ได้ข้อเสนอที่ดีที่สุดแล้วนะ แน่แหละว่าสถาบันกระบี่หลวงยังเป็นตัวเลือกลำดับแรก แต่ถ้ามีสถาบันอื่นให้ข้อเสนอที่ดีกว่า ท่านก็ต้องเก็บมาคิดดูเช่นกัน”
เรื่องราวเหล่านี้ทำให้หลินเป่ยเฉินนึกถึงความวุ่นวายของชีวิตวัยรุ่นบนโลกมนุษย์
การสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ว่าสำคัญแล้ว
แต่การเลือกเรียนคณะที่เหมาะสมกับตัวเองมีความสำคัญมากกว่า
หากหลินเป่ยเฉินมีโอกาสได้กลับไปโลกมนุษย์อีกครั้ง เขาก็ตั้งใจว่าตนเองจะต้องเลือกเรียนสิ่งที่ชอบเท่านั้น
หลังจากฝึกซ้อมกันอีกหนึ่งรอบ คณะของหลินเป่ยเฉินก็แจ้งให้คนงานบนเรือเตรียมตัวเดินทางกลับเข้าฝั่งได้
เมื่อเสร็จสิ้นการฝึกซ้อม เด็กหนุ่มก็ตัดการเชื่อมต่อสัญญาณไวฟาย
บรรยากาศขากลับแตกต่างจากบรรยากาศขาไปอย่างสิ้นเชิง
ไป๋ชินหยุนยังคงกระโดดโลดเต้นไปทั่วดาดฟ้าเรือ บนไหล่ของนางมีนกสีขาวตัวหนึ่งเกาะอยู่ตลอดเวลา
เยว่หงเซียงนั่งมองท้องทะเลอันกว้างใหญ่ด้วยดวงตาเหม่อลอย ไม่ทราบเลยว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
เช่นเดียวกับมี่หรู่หยาน
ดูเหมือนว่าคำเชิญของหวังหรู่อี้ที่มีต่อฮันปู้ฟู่ จะทำให้จิตใจของเด็กสาวทั้งสองคนได้รับการกระทบกระเทือนโดยไม่รู้ตัว
พวกนางเพิ่งได้รู้เดี๋ยวนี้เองว่าประตูสู่ 5 สถาบันกระบี่ยักษ์ใหญ่ ไม่ได้อยู่ไกลเกินเอื้อมสำหรับคนธรรมดาอย่างพวกนางอีกแล้ว
ฮันปู้ฟู่สามารถทำได้
แล้วทำไมพวกนางจะทำไม่ได้?
เมื่อหัวใจลุกโชนด้วยความทะเยอทะยานและจิตวิญญาณแห่งนักสู้ เยว่หงเซียงกับมี่หรู่หยานก็สาบานกับตนเองแล้วว่าจะต้องตั้งใจฝึกฝนให้หนักมากกว่านี้
แล้วหลินเป่ยเฉินเล่า?
เขากำลังเฝ้ามองการปรากฏตัวออกมาของบรรดากะลาสีเรือด้วยความสนใจ
ชายฉกรรจ์เหล่านี้แตกต่างไปจากมนุษย์ปกติ
พวกเขาคือกะลาสีเรือชาวทะเล มีความสูงมากกว่าคนปกติสองเท่า ในขณะที่บางคนก็มีความเตี้ยกว่าคนทั่วไปสองเท่าเช่นกัน มือและเท้าใหญ่ราวกับใบพาย ลักษณะเหมือนสัตว์ทะเล แม้แต่เส้นผมและสีผิวก็แตกต่างจากผู้คนบนแผ่นดินใหญ่ เพราะว่าผิวกายของพวกเขามีความหลากสีสันมากกว่า มิหนำซ้ำ บางคนยังมีผิวเป็นลวดลายสวยงามอีกต่างหาก…
แต่ส่วนใหญ่ชาวทะเลสามารถพูดภาษามนุษย์ได้ไม่มีปัญหา
ดังนั้น การสื่อสารจึงดำเนินไปอย่างราบรื่น
แล้วชาวทะเลรู้สึกอย่างไรกับมนุษย์บ้าง?
ไม่เป็นมิตร แต่ก็ไม่เป็นศัตรู
ยิ่งไปกว่านั้น สงครามระหว่างชาวทะเลและมนุษย์บนแผ่นดินใหญ่ก็ผ่านไปเนิ่นนานแล้ว บัดนี้ จึงเปรียบเสมือนช่วงเวลาของการ ‘ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร’ ที่หาได้ยากยิ่งระหว่างสองเผ่าพันธุ์ สงครามจางหายไป บรรยากาศเปลี่ยนแปลง และการค้าขายก็เข้ามาแทนที่การสู้รบ
หลินเป่ยเฉินเฝ้ามองชาวทะเลทำงานด้วยความตื่นตาตื่นใจ
เขารู้สึกอย่างไรบ้างที่ไม่ได้รับคำเชิญจากหวังหรู่อี้?
หลินเป่ยเฉินไม่ได้รู้สึกอะไรเลย
เพราะเขาไม่ได้อยากไปจากเมืองหยุนเมิ่งอยู่แล้ว
ต่อให้เรียนจบจากสถานศึกษากระบี่ที่สาม หลินเป่ยเฉินก็ตั้งใจจะอยู่ที่เมืองชายทะเลแห่งนี้ต่อไป
แม้จะมีคนมอบบัลลังก์จักรพรรดิของดินแดนแห่งนี้ให้เขา หลินเป่ยเฉินก็ไม่สนใจ
เขาเพียงอยากอยู่ในเมืองหยุนเมิ่ง ทำงานหาเงินเพื่อจะมาชาร์จโทรศัพท์และอัปเกรดระบบต่อไป
และเมื่อโทรศัพท์มือถือของเขามีความสามารถมากขึ้น มันก็อาจค้นพบวิธีช่วยให้เขาได้กลับคืนสู่โลกมนุษย์ และหลินเป่ยเฉินก็จะเดินทางกลับโดยไม่ลังเลสักนิดเดียว
นี่คือภารกิจหลักในชีวิตของหลินเป่ยเฉิน
โลกจอมยุทธ์มันกว้างใหญ่มากเกินไป
เขาไม่อยากจะออกไปรู้เห็นอะไรอีกแล้ว
เพราะมันมีอันตรายอยู่มากมายเหลือเกิน
แล้วเขาก็คิดถึงบ้าน
ในไม่ช้า เรือบรรทุกสินค้าก็กลับมาถึงท่าเรือ
เมื่อกลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาวกระโดดลงมาจากเรือ พวกเขาก็พบว่ามีรถม้าจากสถานศึกษากระบี่ที่สามมาจอดรออยู่ก่อนแล้ว แต่ยังไม่ทันที่รถม้าจะได้เคลื่อนตัวออกจากที่จอด พลัน ปรากฏนายทหารจากหน่วยนักรบเมฆาจำนวนหนึ่งเดินเข้ามาขวางหน้ารถม้าของพวกเขาเอาไว้
หัวหน้านายทหารกลุ่มนั้นก็คือเฉินเจี้ยนหนาน แม่ทัพใหญ่ผู้มีเส้นสายอยู่มากมาย
“ขออภัยที่รบกวน ไม่ทราบว่าในที่นี้มีใครชื่อฮันปู้ฟู่บ้างหรือไม่?” เฉินเจี้ยนหนานพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
ทุกคนสะดุ้งโหยง
ฮันปู้ฟู่รีบกระโดดลงจากห้องโดยสารออกไปแสดงตัว “ฮันปู้ฟู่คือข้าน้อยเองขอรับ”
เฉินเจี้ยนหนานสำรวจมองเด็กหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยแววตาแห่งความประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนที่จะพูดยิ้มแย้มว่า “มีใครบางคนอยากพบเจ้า ได้โปรดติดตามข้าไปที่สำนักงานนักรบเมฆาด้วย”
มีเจ้าหน้าที่จากกองทัพมาเชิญตัวฮันปู้ฟู่อย่างนั้นหรือ?
เมื่อเห็นฮันปู้ฟู่เดินตามหลังเฉินเจี้ยนหนานหายลับไปจากสายตา หลินเป่ยเฉินก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“ศิษย์พี่ฮันจะเป็นอันตรายหรือเปล่า?” ไป๋ชินหยุนถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“คงไม่หรอก” เยว่หงเซียงตอบด้วยความมั่นใจ “แม่ทัพเฉินมาเชิญตัวผู้คนไปด้วยตัวเองอย่างนี้ เป็นสิ่งยืนยันว่าผู้ที่อยากพบเจอศิษย์พี่ฮันมีเจตนาดี มิเช่นนั้น เขาคงไม่มาเชิญตัว แต่คงมาจับกุมตัวไปแล้วมากกว่า”
มี่หรู่หยานเห็นด้วยกับคำตอบนั้น
“เดี๋ยวรอให้ศิษย์พี่ฮันกลับมาบอก เราก็รู้ทุกอย่างเองนั่นแหละ” หลินเป่ยเฉินเอนตัวนอนพักอยู่ในห้องโดยสารอย่างไม่ลังเล
สำนักงานใหญ่ของหน่วยนักรบเมฆาตั้งอยู่ไม่ห่างจากท่าเรือ
ผ่านไปช่วงเวลาเพียงก้านธูปเดียว ฮันปู้ฟู่ก็ถูกส่งตัวกลับมา
แล้วรถม้าของพวกเขาก็เริ่มเคลื่อนที่มุ่งหน้ากลับเข้าสู่ในตัวเมือง
“ศิษย์พี่ฮันพอจะบอกข้าได้หรือไม่ ว่าใครเป็นคนเชิญตัวท่านไป?” ไป๋ชินหยุนถามด้วยความสงสัยขณะประคองเจ้านกนางนวลตัวใหญ่ที่ได้มาจากเรือบรรทุกสินค้าอยู่ในอุ้งมือ
ฮันปู้ฟู่ส่ายหน้าปฏิเสธ “เขาไม่อนุญาตให้ข้าเปิดเผยตัวตน”
“แล้วเขาเรียกท่านไปทำไม?” ไป๋ชินหยุนถามต่อไม่หยุด
“เขาอยากจะให้ข้าเข้าร่วมกับกองทัพน่ะ” ฮันปู้ฟู่ตอบ