ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 260 ท่านเจ้าสำนักต้องเข้าฌานแล้ว

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ผู้อาวุโสหลิวมองดูท่าทีสบายๆ ของเยี่ยนจ้าวเกอ พลันรู้สึกว่าเพลิงโทสะสุมขึ้นในอก

เป็นเด็กหนุ่มตรงหน้าผู้นี้เอง ที่ทำให้เรื่องดีๆ ของเขากับภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตพังลง แล่ะก็ดับความหวังสุดท้ายของเขาเช่นกัน

คนหนุ่มผู้นี้เคยทำให้เขาชื่นชมว่า ‘บิดาพยัคฆ์ไม่มีบุตรสุนัข’ ประโยคหนึ่ง

ทว่าบัดนี้ คนหนุ่มผู้นี้กลับชี้ขาดชะตากรรมของเขา

เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยอย่างเงียบสงบ “ท่านจะเอาความเป็นความตายของสรรพชีวิตมาเป็นเดิมพัน แลกมาซึ่งความก้าวหน้าขึ้นขั้นหนึ่งของตัวท่าน ความถูกผิดของการกระทำนี้ ไม่ถูกประเมินค่าที่นี่ ถึงอย่างไรในสายตาท่าน ชีวิตคนเป็นพันเป็นหมื่นก็สู้ชีวิตท่านคนเดียวไม่ได้ ท่านพอใจที่จะคิดเช่นนี้ก็เป็นอิสระของท่าน”

“แต่กลับกัน แผนการของท่านล้มเหลว กระนั้นท่านก็ต้องรับผิดชอบราคาตอบแทนที่เหมาะสมเป็นธรรมดา จุดนี้ ผู้อาวุโสหลิวน่าจะเตรียมใจเอาไว้แล้วกระมัง?”

“ท่านจะตอกย้ำความเจ็บปวดทรมานและจำใจ ความไม่ยินยอมและดิ้นรนของตนอีกเช่นไร ล้วนเปลี่ยนแปลงจุดนี้ไม่ได้แล้ว”

เขายิ้มเย็นชา “ท่านน่าจะไม่คิดจะบอกกล่าวพวกเรา ท่านคิดว่าสิ่งของที่ท่านอยากได้หลังจากท่านประสบความสำเร็จแล้วนั้นสมเหตุสมผล แต่ท่านล้มเหลวแล้ว ไม่ว่าเรื่องใดกลับล้วนจะไม่มีกระมัง?”

ผู้อาวุโสหลิวหอบหายใจหนัก สายตาจดจ้องเยี่ยนจ้าวเกอไม่วางตา

เยี่ยนจ้าวเกอสบตาเขาอย่างเงียบสงบ สีหน้าท่าทางสุขุมมั่นคง เปี่ยมด้วยแววครุ่นคิด

หยวนเจิ้งเฟิงโบกมือเบาๆ “จ้าวเกอ”

ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ ผงกศีรษะให้หยวนเจิ้งเฟิง ถอยลงก้าวหนึ่ง ไม่ปริปากพูดจาใดๆ อีก

ผู้อาวุโสหลิวเพ่งมองเยี่ยนจ้าวเกอ เส้นสายตากวาดผ่านรอยประทับมารหลังมือซ้ายของชายหนุ่ม ฉับพลันนั้นเขาตกตะลึงเล็กน้อย หลังใคร่ครวญเล็กน้อยสักครู่ ก็เข้าใจสถานการณ์คร่าวๆ

อารมณ์เขาไม่พลุ่งพล่านต่อไปอีก หากแต่ประกายตาทวีความเย็นเยือก มองทางเยี่ยนจ้าวเกอ “ไอ้หัวขโมย เจ้าอย่าเพิ่งได้ใจเร็วไป”

เยี่ยนจ้าวเกอเลิกคิ้วเล็กน้อย เผยเห็นสีหน้าคล้ายจะยิ้มทว่าไม่ยิ้ม พลางเพ่งมองผู้อาวุโสหลิวไม่พูดจา

หยวนเจิ้งเฟิงถอนใจครั้งหนึ่ง มองผู้อาวุโสหลิวพลางกล่าว “ศิษย์น้องหลิว มาถึงขั้นนี้แล้ว พูดมากไปก็เปล่าประโยชน์ ดั่งเช่นศิษย์พี่หวัง เกี่ยวกับนพยมโลก เกี่ยวกับภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขต ล่วงรู้อะไรบ้างก็พูดมาเถิด หากสือเถี่ยลงมือแล้ว ใบหน้าทุกคนล้วนไม่น่ามองนัก”

ผู้อาวุโสหลิวเปล่งเสียงอัดอั้นครั้งหนึ่ง

สำหรับการไต่สวนของผู้อาวุโสหลิว ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างแน่นอน เรื่องเล่าลือเกี่ยวกับภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขต สำนักเขากว่างเฉิงมีความเข้าใจที่มากยิ่งขึ้น

กระนั้นคำถามที่ทำให้ทั่วทั้งเขากว่างเฉิงสนใจ ก็คือในบรรดายอดฝีมือระดับสูงสายกว่างเฉิงคนอื่นๆ ยังคงมีคนถูกภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตและนพยมโลกกัดกร่อนแทรกซึมเช่นกันหรือไม่

น่าเสียดายที่คำถามนี้ไม่ได้คำตาบจากผู้อาวุโสหลิวเช่นกัน

เหมือนเช่นผู้อาวุโสหวังในตอนนั้น ยอดฝีมือที่ถึงระดับขั้นพวกเขาระดับนี้แล้ว ถูกภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตกัดกร่อนดึงมาเป็นพวก ล้วนดำเนินการลำพังทั้งสิ้น

นอกเสียจากว่ามีเรื่องใหญ่เช่นเหตุที่ทะเลสาบปิดนภาเช่นนั้น ต้องการยอดฝีมือจำนวนมากร่วมมือปฏิบัติการ หาไม่แล้ว ระหว่างพวกเขาก็ยากจะยืนยันว่าใช่คนของภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตหรือไม่เช่นกัน

กลับเป็นเพราะการเปิดโปงของผู้อาวุโสหลิว ดึงหัวไชเท้าออกจากโคลน[1] ในเครือข่ายบรรดาเหล่าจอมยุทธ์ระดับกลางและล่างที่ถูกเขาขยับขยายกัดกร่อน ครั้งนี้ล้วนถูกเปิดโปงต่อเนื่องกันทั้งสิ้นเช่นกัน

ออกจากตำหนักอาญาแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอตามหลังกลุ่มหยวนเจิ้งเฟิง บรรยากาศล้วนหนักอึ้งอยู่บ้าง

ฟางจุ่นเอื้อนเอ่ยเสียงเบา “เป็นความผิดพลาดของข้า ช่วงนี้ผู้อาวุโสหลิวออกจากสำนักและเวียนใช้ทรัพยากรบางอย่างหลายครั้ง ล้วนอยู่ในหนังสือตอบรายงานข้านี้ หลังจากผ่านเหตุที่ทะเลสาบปิดนภา ใจระแวงระวังของข้ายังคงไม่เพียงพอ”

หยวนเจิ้งเฟิงโบกมือ “ไม่มีใครรู้ว่าตั้งมหาค่ายกลแดนมารท้ายที่สุดแล้วต้องการสิ่งใดกันแน่ เรื่องไม่อาจโทษเจ้าได้ ทรัพยากรที่เจ้าเขียนหนังสือตอบรายงานเวียนใช้ ล้วนเป็นของที่ศิษย์น้องหลิวมีอำนาจจัดสรรได้ปกติ”

เขาเดินหน้าไปอีกไม่กี่ก้าว ก็เหลียวกลับมองทางเยี่ยนจ้าวเกอและสือเถี่ย อมยิ้มกล่าว “ครานี้พวกเจ้าทำได้ดีเยี่ยม โชคดีที่มีพวกเจ้าอยู่ ไม่เช่นนั้นแล้วพื้นที่ใจกลางของเกาะนภาใต้เปิดประตูนพยมโลกออกโดยไม่ได้เตรียมป้องกันแม้แต่น้อย ผลลัพธ์ย่อมสุดจะจินตนาการได้”

สือเถี่ยเอ่ย “เป็นวิธีการที่เยี่ยนจ้าวเกอคิด”

หยวนเจิ้งเฟิงผงกศีรษะพลางยิ้มเอ่ย “ใช่ จ้าวเกอสร้างความชอบใหญ่หลวงอีกแล้ว หากแต่เพื่อที่จะบำเหน็จรางวัลกับเจ้า ทรัพย์สินของกว่างเฉิงข้า ได้ขุดจนหมดสิ้นแล้ว คราวนี้ควรจะบำเหน็จอะไรกับเจ้าถึงจะดี?”

เยี่ยนจ้าวเกอกระหยิ่มยิ้มย่องพลางกล่าว “ท่านอาจารย์ปู่ผู้ทรงวัยวุฒิเห็นความหมายสักหน่อยก็ใช้ได้แล้ว”

ทุกคนหาได้ถือเป็นการอกตัญญูไม่ กลับจะหัวร่อออกมาเสียด้วยซ้ำไป

เมื่อเข้าสู่ตำหนักกลาง หยวนเจิ้งเฟิงนั่งลงบนที่นั่งประจำตำแหน่ง จึงค่อยเปิดปากกล่าว “นอกจากปัญหาของนพยมโลกกับภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตแล้ว ระยะนี้ยังมีเรื่องใหญ่หลวงเรื่องหนึ่งเกิดขึ้น”

สีหน้าชายชราเอาจริงเอาจังขึ้นหลายส่วนแล้ว “มีข่าวสารที่เชื่อถือได้ บอกว่าในระยะเวลาอันใกล้นี้ ขณะเดียวกันที่สำนักเผชิญหน้ากับการก่อความปั่นป่วนของภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตหนนี้ สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ได้หยกม่วงพิสุทธิ์ชิ้นหนึ่งในทุ่งร้างแดนใต้”

ยามนี้เยี่ยนตี๋และฟางจุ่นเข้าใจสถานการณ์แล้ว เยี่ยนจ้าวเกอกับสือเถี่ยกลับได้ยินเป็นหนแรก

เยี่ยนจ้าวเกอขมวดหัวคิ้วขึ้น หยกม่วงพิสุทธิ์เป็นของวิเศษที่ล้ำค่าหายากชนิดหนึ่ง เทียบกับหยกเลียนสังหารแล้วยังพบได้น้อยกว่า เป็นของในตำนานแล้วเช่นเดียวกัน หลายปีมานี้ไม่เคยปรากฏบนโลก ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันต่างก็คิดว่ามันสูญหายไปโดยสิ้นเชิงแล้ว

พูดถึงระดับความล้ำค่า ของสิ่งนี้สำคัญกว่าหยกเลียนสังหารมากนัก เพราะสำหับการฝึกปรือของจอมยุทธ์เพื่อไปถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์แล้ว นับว่ามีส่วนช่วยอย่างยิ่งยวด

สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ได้รับหยกม่วงพิสุทธิ์ อธิบายได้ว่าความเป็นไปได้ที่หวงกวงเลี่ย จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ตะวันเยือนจะเลื่อนขั้นขึ้นอีกก้าวเพิ่มมากยิ่งขึ้นแล้ว

“น่าเสียดายตอนนี้มงกุฏจันทราไม่ได้อยู่ในมือพวกเราแล้ว อีกทั้งภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตก็ยังพัวพันไม่ลดละ” เยี่ยนจ้าวเกอส่ายศีรษะด้วยความเสียใจอยู่บ้าง

หลังจากสำนักเขาไร้พรมแดน สำนักเขากว่างเฉิง และเมืองทะเลมรกตกลายเป็นพันธมิตรกันแล้ว ถ้าหากหนึ่งในสามสำนักมีมงกุฏจันทรา เช่นนั้นขณะเดียวกันที่ตรึงตำหนักอัสนีสวรรค์ไว้ ก็สามารถใช้ศัตราวุธกดดันยอดเขาเรืองรองของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องบีบให้หวงกวงเลี่ยออกฌานก่อนกำหนดเช่นกัน

หากแต่ขณะนี้มงกุฏจันทราอยู่ในมือหอคลื่นโหม สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ได้ลดระดับการตั้งรับบนยอดเขาเรืองรองลง ความหวังก็น้อยอย่างมากแล้ว

หยวนเจิ้งเฟิงกล่าว “ขณะที่พวกเรากำลังทุ่มเทวางแผน ศัตรูก็ไม่ได้หยุดหย่อนเช่นเดียวกัน”

ทุกคนพยักหน้าพร้อมเพรียง

เวลานี้ ข้างหูเยี่ยนจ้าวเกอพลันมีเสียงของหยวนเจิ้งเฟิงดังขึ้น ‘จะว่าไปแล้ว เจ้ายังมีความชอบใหญ่หลวงอีกนะ เยี่ยนตี๋บอกกับข้าแล้ว โอสถเซียนกลับสวรรค์นั่น ก็มีส่วนความดีความชอบของเจ้าเช่นกัน’

เยี่ยนจ้าวเกอควบคุมตนเองไม่ให้ไปมองหยวนเจิ้งเฟิง รักษาท่าทีทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เอาไว้

ทั่วทั้งสำนักเขากว่างเฉิง คนที่รู้กระจ่างชัดถึงความลับของโอสถเซียนกลับสวรรค์มีเพียงจำนวนหยิบมือ ซึ่งข้างกายเยี่ยนจ้าวเกอก็มีเพียงอาหู่เท่านั้นที่รู้เรื่อง

คนในตำหนักกลางตอนนี้ สื่อเถี่ยและฟางจุ่นไม่รู้เรื่องโอสถเซียนกลับสวรรค์เช่นกัน

นี่กล่าวได้ว่าความลับสุดยอดของสำนักเขากว่างเฉิงตอนนี้ นอกจากผู้ปรุงแล้ว มีเพียงเจ้าสำนักหยวนเจิ้งเฟิงล่วงรู้แต่เพียงผู้เดียว

เยี่ยนจ้าวเกอมองเยี่ยนตี๋แวบหนึ่ง ความอบอุ่นก่อเกิดสูงขึ้นในใจ ตามผลการปรึกษาหารือกันในตอนนั้น คุณูปการส่วนใหญ่พยายามให้ตกเป็นของเยี่ยนตี๋ผู้เดียว

หากแต่ดูเหมือนว่าตอนนี้บิดาตนยังคงนึกถึงเขาอย่างมากอยู่ตลอดเวลา

สีหน้าท่าทางเยี่ยนตี๋เรียบเฉยเหมือนปกติเช่นเดียวกับเยี่ยนจ้าวเกอ บิดาบุตรทั้งสองคนต่างก็ไม่เผยพิรุธออกมาแม้แต่น้อย

ยามนี้ ชายชราคนหนึ่งและหญิงชราคนหนึ่งเดินเข้ามา ซึ่งคือผู้อาวุโสเก่าแก่แห่งสำนักเขากว่างเฉิงทั้งสองท่านนั่นเอง นอกเหนือจากนี้แล้วยังมีชายชราอีกผู้หนึ่ง ปรากฏว่าคือซินตงผิงที่แต่ไหนแต่ไรไม่ออกจากหอคัมภีร์ยุทธ์ศาสตร์แม้สักครึ่งก้าว

เวลานี้ผู้มีตำแหน่งสำคัญในการวางแผนยุทธการรวมตัวอยู่ที่ตำหนักกลาง นอกจากผู้อาวุโสที่รักษาการณ์อยู่ที่หุบผนึกเวหาท่านหนึ่งยังมาไม่ถึงแล้ว ทั้งหมดได้มาพร้อมเพรียงแล้ว

หยวนเจิ้งเฟิงมองฝูงชน ก่อนจะเอ่ยอย่างเชื่องช้า “เรื่องที่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ได้หยกม่วงพิสุทธิ์ พวกท่านล้วนรู้ดีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจะชักช้ารีรอต่อไปอีกไม่ได้แล้ว”

“ข้าตัดสินใจว่าในอีกไม่กี่วันนี้ข้างหน้านี้ ข้าจะเข้าฌานอย่างเป็นทางการ ลองบุกทะลวงขั้นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์!”

——————————————————————–

[1] ดึงหัวไชเท้าออกจากโคลน อุปมาว่า จัดการเรื่องใดๆ ไม่สมบูรณ์ ก่อให้เกิดความยุ่งยากตามมา