“วิ่งวุ่นไปทั่วอีกแล้ว”
น้ำเสียงของฝูชางเยือกเย็น องค์หญิงมังกรนิสัยอย่างนี้เสมอ ไม่ชอบสถานที่วุ่นวาย เขาแค่พูดกับเพื่อนร่วมหน่วยเก่าที่รู้จักกันไม่กี่คำเท่านั้น พอหันกลับมานางก็ไม่อยู่แล้ว และยังไปพูดคุยกับเทพบุตรที่ไหนก็ไม่รู้อีก
แขนเสื้อถูกนางเขย่าเบาๆ นางกัดฟันแล้วราวเสียงเนิบนาบออกมาทีละคำๆ “เชี่ยเซิน[1]เจ็บเท้า เดินไม่ไหวแล้ว”
ทันใดนั้นเองกลับทำให้เขานึกถึงภาพครั้งแรกที่ได้เจอนางที่เกาะสวรรค์ของราชาบุปผา จงใจดัดเสียงพูด เสแสร้งไปเสียทุกอย่าง เขาหันกลับมาปรายตามองนาง องค์หญิงมังกรมีรอยยิ้มบางๆ ประดับบนใบหน้า น่ารักงดงามอย่างบอกไม่ถูก
ฝูชางอดที่จะยิ้มออกมาน้อยๆ ไม่ได้ หมุนตัวแล้วจูงนางต่อไป “ทนไว้”
“ป่าเถื่อน” นางกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่งสูงศักดิ์
คงเพราะรูปร่างหน้าตาของเทพและเทพธิดาทั้งสองที่เดินจูงมือกันใต้ต้นสาลี่อย่างเชื่องช้าจะบาดตาเกินไป เทพธิดาและเทพมากมายในที่นี้จึงล้วนแต่มีหยาดน้ำตาเอ่อล้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ พูดไปแล้ว ตอนแรกที่จักรพรรดิสวรรค์เชื่อมสัมพันธ์ให้ทั้งสองคน ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเกาะสวรรค์ของราชาบุปผา เวลาผ่านไปนับหมื่นปี พวกเขาทั้งสองกลับได้ครองคู่กันจริงๆ เรื่องนี้สะเทือนหัวใจอันบริสุทธิ์ของผู้คนมากมายในที่นี้จนแตกสลาย
หลังจากเดินอ้อมแขกเหรื่อนับไม่ถ้วนไป เสวียนอี่ก็มองเห็นกู่ถิงแต่ไกล วันนี้ทั้งร่างเขาราวกับถูกห่อหุ้มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความสุข ดูโง่งมมาก ใบหน้ามีเพียง “รอยยิ้ม” อารมณ์เดียวเท่านั้น เหยียนสยาที่อยู่ข้างกายเขาก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเลย คู่นี้ช่างเกิดมาเพื่อคู่กันจริงๆ
“เสวียนอี่!” จื่อซีกวักมือเรียกนางไม่หยุด ศิษย์พี่หญิงที่กลายเป็นหนึ่งในฝ่ายอาญาคนนี้ ในที่สุดวันนี้ก็รู้จักแต่งตัวแล้ว วันนี้นางแต่งตัวได้งดงามสดใส เหล่าเทพบุตรที่ผ่านไปผ่านมาแต่ละคนต่างอดที่จะมองนางให้มากหน่อยไม่ได้
“ข้าทำน้ำยาทาเล็บด้วยวิธีที่เจ้าว่ามาแล้ว แต่ว่าสีนี้ทำไมถึงออกมาแล้วดูแปลกนัก” จื่อซียื่นนิ้วมาตรงหน้านาง สีชมพูอ่อนบนนั้นไม่ชัดเจนเหมือนของนางจริงๆ
“ดอกไม้เหล่านั้นต้องรอให้พวกมันใกล้จะร่วงโรยก่อนจึงค่อยไปเด็ด…”
เมื่อพูดถึงเรื่องแต่งตัวแต่งหน้าเสวียนอี่ก็แจ่มใสขึ้นมา นางคว้าแขนจื่อซีแล้วดึงไปคุยอะไรกันข้างๆ ฝูชางฟังจนเวียนหัว ไท่เหยาที่เมื่อครู่ยืนคุยอยู่กับจื่อซีฟังแล้วยิ่งปวดหัว เทพบุตรทั้งสองจึงเดินไปอีกด้านเสีย
ฝูชางเพิ่งไปเอาสุรามาจิบแก้วหนึ่ง บนบ่าพลันถูกตบหนึ่งครั้ง ครั้นหันกลับไปมอง กลับเป็นรัชทายาทฉางฉินที่ไม่ได้เจอกันมานาน นับตั้งแต่หลังเรื่องการปราบเทพกลายเป็นมารกลับมา ฝูชางก็ออกจากหน่วยติงเหม่า รัชทายาทฉางฉินมองไปยังเงาร่างงดงามสีแดงใต้ต้นไม้นั้น แล้วเอ่ยปากว่า “แม้ว่าข้าจะมีภาระหน้าที่อยู่ แต่ว่าข้าก็มีเจตนาด้วยเหมือนกัน ขอโทษด้วย”
จริงๆ แล้วเหล่านักรบที่เข้าใจเรื่องราวพัวพันของฝูชางกับองค์หญิงมังกรตระกูลจู๋อินต่างไม่มีใครมองว่าพวกเขาจะได้ครองคู่กัน ส่วนมากต่างก็รู้สึกว่าไม่นานพวกเขาคงจะแยกกันแล้ว คิดว่าฝูชางพ่ายแพ้ต่อรูปโฉมงดงามขององค์หญิง และหลงใหลไประยะหนึ่งเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าพวกเขากลับร่วมเป็นร่วมตายด้วยกัน
ฝูชางพยักหน้าเงียบๆ แล้วยกแก้วคารวะเขา รัชทายาทฉางฉินดื่มไปสามแก้วแล้วหัวเราะพลางกล่าวว่า “วันหน้าเมื่อเจ้ารับช่วงต่อเป็นมหาเทพบูรพาแล้ว วันแต่งงานกับองค์หญิง อย่าลืมเชิญข้าไปดื่มอีกสามแก้วด้วยเล่า”
ไม่ บางทีอาจไม่ต้องรอขนาดนั้น ฝูชางรินสุราให้ตนอีกแล้วแล้วดื่มลงไป แค่งานหมั้นก็ได้ดื่มสามแก้วแล้ว
งานแต่งครึกครื้นไปจนกระทั่งพระอาทิตย์เริ่มตกดิน กู่ถิงที่ดื่มเสียจนกึ่งเมาพลันได้สติขึ้นมา จับไปที่ไหล่ของฝูชางพลางเขย่า “ข้าจะแอบไปเปิดประตูสวนภายในให้เจ้า พาเสวียนอี่ไปดูดอกโบตั๋นเริงระบำเถอะ นางชอบมากสินะ ตอนนี้คือช่วงเวลาที่ดีที่จะได้ชมมัน เจ้าคอยดูนางดีๆ อย่าให้เจ้านางมารน้อยไปเด็ดดอกไม้เข้าเสียล่ะ”
ฝูชางพลันหลุดยิ้ม หันกลับไปมองเสวียนอี่ที่ยังคงพูดกับจื่อซีเรื่องแต่งหน้าแต่งผมแต่งตัวพวกนั้น เขาเดินไปหานาง จื่อซีเห็นเขาเข้ามา ก็ยิ้มแล้วหมุนตัวจากไป
ฝูชางค้อมเอวลงแล้วอุ้มองค์หญิงมังกรที่แสนเกียจคร้านขึ้นมา ท่ามกลางแสงอัสดงอันงดงาม ใบหน้าของนางราวกับกึ่งโปร่งแสง ที่แห่งนี้ภาพนี้เหมือนกันมากเกินไป พาให้เขาอดที่จะนึกไปถึงภาพยามพบกับนางครั้งแรกไม่ได้ ใบหน้าของนางที่ซ่อนอยู่ภายใต้ร่มเองก็ราวกับจะโปร่งแสงได้เช่นกัน
เขาปัดผมหลุดลุ่ยบนใบหน้าของนางออกให้ด้วยรอยยิ้ม เขาพลันรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา กระซิบบอกว่า “ดอกโบตั๋นเริงระบำภายในสวนราชาบุปผาใกล้ถึงเวลาบานแล้ว องค์หญิงยินดีจะไปชมหรือไม่”
เสวียนอี่เบิกตากว้างมองเขา นี่ไม่ใช่คำพูดที่เขาเคยบอกตอนนั้นเมื่อครั้งแรกพบหรอกหรือไร เทพที่มักจะเย็นชาโดดเดี่ยวเงียบเหงาไม่สนใจอะไรก็รู้จักเล่นอย่างนี้ด้วยหรือ นางหัวเราะคิกแล้วกอดแขนเขาไว้ พลางกล่าวเสียงอ่อนหวานว่า “เชิญท่านเทพนำทางด้วย”
ภายในสวนของราชาบุปผายังคงมีดอกไม้งดงามหลายหลากอยู่เต็มไปหมด ดอกไม้ต้นหญ้าแปลกประหลาดน่าอัศจรรย์นับไม่ถ้วนยิ่งแลดูงดงามมากเป็นพิเศษเมื่ออยู่ท่ามกลางแสงอัสดง
องค์หญิงเดินช้ามาก ราวกับเมื่อไม่มีเทพีรับใช้มาประคองแล้วก็ไร้เรี่ยวแรงเดิน ส่วนเทพบุตรที่มีหน้าตาหล่อเหลางดงามเดินๆ หยุดๆ อยู่ข้างหน้า สุดท้ายราวกับทนไม่ไหวจึงหันกลับมาแล้วอุ้มนางขึ้น นางร้อง “ไอหยา” ออกมา “ท่านขี้โกง”
ฝูชางมองผ้าเช็ดหน้าในมือของนางแล้วหรี่ตาลง “หากว่าเจ้ากล้าเอาผ้าเช็ดหน้าโยนลงไปในสระเมฆาอีก…”
เสวียนอี่กอดหัวเขาไว้แน่น แล้วเป่าลมเบาๆ ไปที่ใบหน้าของเขา “วันนี้เชี่ยเซินได้พบท่านเทพ ในใจเคารพเลื่อมใสมาก ได้เชื่อมสัมพันธ์เป็นคนสนิทชิดใกล้กับท่าน เป็นความปรารถนาของเชี่ยเซินจริงๆ หวังว่าท่านเทพจะพิจารณาดีๆ เชี่ยเซินหวังว่าสามีจะเป็นเทพที่สูงศักดิ์สง่างามเฉกเช่นบัณฑิต ไม่ใช่คนป่าเถื่อนที่เอาแต่ใช้กระบี่ใช้กำลัง”
ฝูชางหยิกเอวนางไปทีหนึ่ง กอดรัดร่างเพรียวบางที่หัวเราะคิกคักและบิดไปมาแน่น “องค์หญิงพูดเรื่องนี้เร็วไปแล้ว ยังวางใจได้”
สายลมอบอุ่นยามพลบค่ำพัดมา เทียบกับภายนอกเกาะที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้มแล้ว ภายในสวยเงียบสงบมาก เทพผู้พิทักษ์ดอกไม้เปิดประตูเรือนดอกโบตั๋น ในใจยังคงนึกกลัว พวกเขายังจำได้ว่าครั้งก่อนองค์หญิงตระกูลจู๋อินผู้นี้มาทำให้พวกเขาตกใจที่นี่
กิ่งดอกโบตั๋นแผ่ไปนับไม่ถ้วนภายในลานเรือน ก่อกลุ่มรวมเข้าด้วยกันเป็นพุ่ม ปรันกันอวดสีสันสดสวย มีเพียงดอกโบตั๋นเริงระบำขนาดประมาณฝ่ามือบนแท่นกระจกตรงกลางเท่านั้นที่งดงามโดดเด่นกว่าดอกอื่นๆ กลีบดอกไม้ราวกับน้ำแข็งท่ามกลางแสงอัสดงที่ทาทาบลงมาจนสะท้อนแสงสีแดงเจิดจรัสงามล้ำออกมา มิน่าถึงได้กล่าวว่ายามพลบค่ำคือช่วงเวลาชมดอกโบตั๋นเริงระบำที่ดีที่สุด
“เป็นโบตั๋นที่งดงามยิ่งนัก”
เสวียนอี่พูดแล้วก็จะยื่นมือออกไป เทพบุตรในชุดงามวิจิตรรีบจับมือนางไว้ทันทีจากด้านหลัง จากนิสัยชั่วร้ายขององค์หญิงคนนี้ คิดว่าคงจะทำพฤติกรรมเลวร้ายอย่างการเด็ดดอกโบตั๋นเริงระบำลงมาได้จริงๆ
นางกลับโอนอ่อนเอนซบไปในอ้อมอกเขา ดวงตาภายใต้ผ้าสีดำมองไปยังดอกโบตั๋นงามที่สุดในแผ่นดินดอกนี้เงียบๆ กระทั่งแสงรัศมีสีแดงอันแสนสั้นนั่นค่อยๆ หายลับไปพร้อมกับแสงอัสดง
“สวยจริงๆ ” นางหมุนข้อมือ น่าเสียดายที่เอาหิมะออกมาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นนางอยากจะได้สีแดงที่งดงามอย่างหาได้ยากนี้ไว้จริงๆ
ฝูชางจับร่างนางให้ตั้งตรง พลางก้มหน้าไปมองนางอย่างจริงจัง น้ำเสียงแฝงไปด้วยความขบขัน “องค์หญิง วันนี้ได้พบกันวันแรก ท่านรู้สึกอย่างไรกับข้าน้อยบ้างหรือ”
เสวียนอี่หลุดหัวเราะคิกออกมา นางยกมือไปประคองใบหน้าเขาแล้วมองซ้ายขวา “อืม ใช้ได้ ท่านเทพเล่า ท่านรู้สึกอย่างไรกับเชี่ยเซินบ้างหรือ”
ดวงตาของเทพบุตรผู้หล่อเหลางามสง่าเข้มขึ้น กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “ข้ารู้สึกรักองค์หญิงตั้งแต่แรกพบ ยากจะลืมเลือนได้จริงๆ หวังว่าจะได้เชื่อมสัมพันธ์เป็นคนรู้ใจ ชีวิตนี้ชาตินี้อยู่เคียงคู่กันเพียงหนึ่งเดียว หวังว่าองค์หญิงจะช่วยทำให้สมปรารถนา”
นางชะงักไป ดวงตาที่ซ่อนอยู่หลังผ้าสีดำมองเขานิ่ง แววตาเป็นประกายจริงจัง
ตอนนี้เวลานี้ไม่ใช่ตอนนั้นเวลานั้น เวลานับหมื่นปีไหลผ่านไปเงียบๆ ระหว่างนางและเขา เกาะสวรรค์ราชาบุปผา หน้าดอกโบตั๋นเริงระบำ ทุกอย่างดุจดั่งแรกพบ
ฝูชางค้อมกายลงแล้วจุมพิตเบาๆ ที่หน้าผากนาง น้ำเสียงเบาลงไปอีก “แต่งงานกับข้า”
เสวียนอี่ยังคงมองเขานิ่งๆ อยู่นานมาก นางถึงได้คลี่ยิ้มน้อยๆ “ได้สิ”
—
[1]เชี่ยเซิน : คำสรรพนามแทนตัวเองของสตรีในยุคโบราณ