ตอนที่ 294 ยอมถูกจับ (1)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

นางกำนัลตัวน้อยเห็นนางพูดจาเป็นเรื่องเป็นราวก็ไม่คิดมาก และพยักหน้าอย่างรำคาญ “ข้ารับมอบหมายงานจากหัวหน้าซั่งกงจวี๋ตำหนักผิงอวิ๋น ฝ่าบาทแปดเพิ่งปราบโจรร้ายที่หลิงหนานกลับมาพร้อมชัยชนะ องค์จักรพรรดิจะทรงแต่งตั้งฝ่าบาทแปดเป็นอ๋อง พักนี้หลี่ปู้ซือหลี่เจียนและซั่งกงจวี๋งานยุ่งมาก เจ้าตามข้าไปแล้วกันจะได้ช่วยข้าหิ้วของด้วย”

ว่าแล้วนางก็เอาเสื้อผ้าชาววังกว่าครึ่งหอบใส่มือของชิวเยี่ยไป๋

ชิวเยี่ยไป๋กำลังกลุ้มอยู่ว่าจะหาข้ออ้างอะไรจึงจะเข้าตำหนักผิงอวิ๋นได้อย่างโอ่อ่า บัดนี้ ‘ข้ออ้าง’ มาแล้ว ย่อมยินดีจะช่วยเป็นภาระให้นางกำนัลด้วย และหอบเสื้อผ้าตามหลังนางกำนัลน้อยไปอย่างว่าง่าย

ทั้งสองคนเลี้ยวเลาะไปเจ็ดแปดครั้งราวสิบห้านาที ตลอดทางเริ่มมีชาววังมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงตำหนักผิงอวิ๋นก็ยิ่งครึกครื้นประตูตำหนักติดโคมไฟติดแพรสี คนเดินขวักไขว่ ราวกับตลาดนัด

นางเห็นคนที่วังต่างๆ ส่งมารับรางวัลพากันเข้าไปในตำหนักผิงอวิ๋นราวสายน้ำ ก็อดหรี่ตาเล็กน้อยมิได้

ดูท่าแม้องค์ชายแปดจะมีชาติกำเนิดต่ำต้อย มารดาเป็นเพียงนางกำนัลคนหนึ่ง แต่ได้รับการเลี้ยงดูจากจักรพรรดินีกลับเป็นบุญอักโข ไม่ถูกทอดทิ้งแม้แต่น้อย

ทว่าตัวเขาเองเป็นคนมีความสามารถ อายุเพียงสิบสองปีก็กราบบังคมทูลหวงตี้อาสาไปเป็นทหารด่านที่ชายแดน

หลายปีมานี้มีความดีความชอบจากการศึกหลายครั้ง แม้จะไม่ได้แต่งตั้งเป็นอ๋อง แต่ส่วนตัวก็มีฉายาต้าเจียงจวินอ๋อง ฟังว่ายังเป็นกำลังสำคัญระดับแกนนำของฝ่ายองค์ชายห้าด้วย

แต่มิรู้ว่าองค์ชายแปดผู้เก่งกาจคนนี้ เหตุใดจึงไปข้องแวะกับคนในสามสิบหกค่ายโจรน้ำได้ แถมยังส่งคนไปถ่ายทอดวาจาว่าอยากพบนาง

“เอาล่ะ เจ้าคืนของให้ข้า ตำหนักในนี่เจ้าเข้าไปไม่ได้ เจ้าไปทำงานของเจ้าก็แล้วกัน” นางกำนัลน้อยเห็นว่าใกล้ประตูวังแล้ว จึงหันมากล่าวกับชิวเยี่ยไป๋

ชิวเยี่ยไป๋แลดูนางกำนัลน้อย พลันก้าวไปก้าวหนึ่งชะโงกถึงหน้านาง ขณะเดียวกันริมฝีปากก็เชิดขึ้นเป็นรอยโค้งที่งดงาม รอยโค้งนั้นทำให้ใบหน้าของนางดูแล้วยิ่งงดงามและเจือด้วยความเย้ายวนอีกสามส่วน “พี่สาวน้อย ข้าเพิ่งมาถึงก็ถูกส่งไปที่ชินเทียนเจียนเยี่ยงนั้น ประมาณว่าชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสได้เห็นสภาพโอ่อ่าใหญ่โตใดๆ พี่สาวน้อยให้ข้าตามท่านเข้าไปดูบ้างได้หรือไม่”

นางเลือกการอ้างชินเทียนเจียนเป็นเกราะกำบัง ก็เพราะสถานที่นั้นอยู่ห่างไกลเป็นที่ที่ไม่มีลาภผลใดๆ จึงไม่มีใครอยากไปเลย และแทบไม่มีโอกาสในการไปมาหาสู่กับในวัง จึงไม่ทำให้ใครสงสัยง่ายๆ บัดนี้นำมาเป็นข้ออ้างก็น่าจะฟังได้

นางกำนัลน้อยรู้ว่าขันทีน้อยที่ตนพบประสบคนนี้หน้าตาดี แต่คนหน้าตาดีในวังเยอะแยะเกินไป เดิมทีนางแค่มองไม่กี่ครั้งโดยไม่ใส่ใจ แต่นาทีนี้เขาพลันเข้าใกล้ตน จึงทำให้นางพบว่าเจ้าขันทีน้อยคนนี้ถึงกับสูงกว่าตัวนางเองหนึ่งศีรษะ และดูแล้ว…หล่อเหลาเกินเหตุ ทำเอานางจู่ๆ ก็ใจเต้นเป็นกลองรัวอย่างน่าประหลาด

“เจ้า…เจ้า…แต่…”

แม้นางกำนัลน้อยจะหน้าแดงฉาน แต่ยังคงพยายามจะรักษาสติ

ชิวเยี่ยไป๋พลันเอื้อมมือประคองที่ศอกของนาง น้ำเสียงนุ่มนวลยิ่งกว่าเดิม “พี่สาวน้อย ท่านอ้อนแอ้นบอบบาง อากาศร้อนขนาดนี้ย่อมต้องการคนช่วยท่านหอบเสื้อกองใหญ่เข้าไปด้วยมิใช่หรือ”

นางกำนัลน้อยยังวัยเยาว์ไม่ประสา ไหนเลยจะเคยพบสภาพเช่นนี้มาก่อน และไหนเลยจะต่อกรกับชิวเยี่ยไป๋ผู้เจนจัดในสนามรักได้ เวลานี้สมองมึนงงไปหมด ในใจยังคงลังเลแต่ปากกลับตอบว่า “เอ้อ…ก็ได้”

นางถูกรอยยิ้มของชิวเยี่ยไป๋มอมเมาจนมึนไปหมด ถึงกับลืมถามว่าชิวเยี่ยไป๋ทำงานอะไรก็รับปากตกลง

ชิวเยี่ยไป๋ย่อมไม่เปิดโอกาสให้นางได้คิด จึงยิ้มต่ออย่างนุ่มนวล “ขอบคุณพี่สาวน้อย”

พูดแล้วก็คลายมือที่เกาะศอกของนาง ถอยก้าวหนึ่งเว้นระยะห่างระหว่างทั้งสองเช่นเดิม เพียงแต่รอยยิ้มนุ่มนวลบนใบหน้ามิเปลี่ยนแปร

นางกำนัลน้อยจึงรู้สึกว่ากลิ่นอายที่บีบคั้นผู้คนนั้นสลายไปบ้าง นางหน้าแดงฉานแลดูเจ้าขันทีน้อยที่สุภาพเรียบร้อยดังเดิม ก็มิรู้ว่ารู้สึกเสียดายหรือโล่งใจดี ได้แต่กัดริมฝีปากและไม่กล้ามองรอยยิ้มของชิวเยี่ยไป๋ตรงๆ เพียงกำชับเบาๆ ว่า “เจ้าตามให้ทันนะ บอกว่ามาจากซั่งกงจวี๋ตามข้ามาส่งเสื้อให้เจ้านาย จงอย่าได้เหลียวมองโน่นนี่เด็ดขาด เข้าไปแล้วทำตามสัญญาณตาของข้า อย่ามีพิรุธล่ะ”

ชิวเยี่ยไป๋ผงกศีรษะท่าที่อ่อนน้อม “เสี่ยวชิวจื่อรับทราบขอรับ”

นางกำนัลน้อยจึงเดินนำทางข้างหน้า พาชิวเยี่ยไป๋เข้าสู่ประตูตำหนักผิงอวิ๋น

นางกำนัลน้อยน่าจะเคยไปมาหาสู่กับวังต่างๆ เป็นประจำ พอเข้าประตูตำหนักก็มีนางกำนัลที่กำลังตกแต่งในตำหนักทักทายนาง “อิงเอ๋อร์มาแล้ว เอ๋ วันนี้ยังมีคนติดตามคอยช่วยด้วย”

มีนางกำนัลเย้าว่า “อย่างนั้นพวกเราน่าจะเรียกอิงกูกูแล้วกระมัง”

“พวกเจ้ารู้แต่ล้อข้าเล่น รีบทำงานในมือให้เสร็จเถิด เกิดหมัวมัวหัวหน้าเห็นเข้าพวกเจ้าจะโดนตีนะ”

อิงเอ๋อร์กับพวกนางกำนัลที่รู้จักมักคุ้นหยอกเย้ากันหลายคำ แล้วพาชิวเยี่ยไป๋ไปทางตำหนักใน ตลอดทางนางเห็นชิวเยี่ยไป๋ติดตามอยู่ข้างหลังอย่างเรียบร้อย แม้แต่ศีรษะก็ไม่เงยขึ้นด้วยซ้ำ จึงค่อยวางใจ แต่ยังคงกำชับอีกหลายคำ “…เจ้าต้องระวังให้มาก ถ้าโดนพวกหมัวมัวพบเข้า ข้าจะถูกลงโทษ”

ชิวเยี่ยไป๋ผงกศีรษะ มองดูอิงเอ๋อร์ด้วยรอยยิ้มแต่ไม่พูด อิงเอ๋อร์สีหน้าแดงระเรื่อและไม่พูดอะไรอีก ได้แต่พาชิวเยี่ยไป๋เข้าไปข้างใน

ผ่านตำหนักหน้าและตำหนักกลางที่ครึกครื้นของตำหนักผิงอวิ๋นก็ถึงตำหนักในหมัวมัวหัวหน้าคนหนึ่งในชุดชาววังสีเหลืองลายปักตัวฝู (ความสุข) นำนางกำนัลน้อยสองนางออกมาตรวจรับเสื้อจากอิงเอ๋อร์ สามคนนี้ก็คุ้นกันดีตรวจนับเสื้อพลางคุยกันเรื่องความครึกครื้นของพิธีใหญ่แต่งตั้งครั้งนี้และเรื่องสัพเพเหระในวัง

ชิวเยี่ยไป๋ฟังอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ ก็เข้าไปพูดเบาๆ ว่า “พี่อิงเอ๋อร์ข้าอยากไปห้องส้วม”

อิงเอ๋อร์มองหน้าแวบหนึ่ง ดวงตาฉายแววตื่นเต้นอยู่บ้าง กลับเป็นหมัวมัวหัวหน้าที่มองดูชิวเยี่ยไป๋แล้วชี้ไปนอกตำหนัก “ไปทางซ้ายนะ เลาะไปตามระเบียงถึงเลี้ยวที่สองนั่นแหละ อย่าเดินผิดทางล่ะ เดี๋ยวไปล่วงเกินเอาเจ้านายเข้า”

ชิวเยี่ยไป๋ผงกศีรษะ กล่าวขอบคุณแล้วถอยออกไป อิงเอ๋อร์ชักวิตกแต่ก็จนปัญญา

หลังชิวเยี่ยไป๋ออกจากตำหนักหลัง ก็เดินเลาะระเบียงตามที่หมัวมัวหัวหน้าบอก แต่หลังเลี้ยวที่มุมแล้ว นางมองซ้ายมองขวาเห็นไม่มีใคร คิดว่าคนส่วนใหญ่คงไปตกแต่งจัดแจงที่ตำหนักหน้าแล้ว จึงล้วงภาพกระดาษออกจากแขนเสื้อมาดู และแล้วก็ก้าวอาดๆ ไปทางสายน้อยของตำหนักหลัง

ถ้านางเดาไม่ผิด ใกล้สวนน้อยนั้นน่าจะเป็นที่ที่องค์ชายแปดไปบ่อยที่สุด

นางคิดดูแล้วตำหนักในและห้องหนังสือต้องมีคนวังคอยเฝ้าแน่ เช่นนั้นก็ลองไปเสี่ยงดูที่สวนน้อยก็แล้วกัน ถ้าไม่เจอะใครค่อยหาวิธีอื่น

ตลอดทางมีคนไม่มาก บางครั้งมีคนวังยกข้าวของเดินผ่านนางก็หลบหลีกอย่างแยบยล จนกระทั่งใกล้จะถึงสวนน้อย นางได้กลิ่นดอกกุ้ยฮวา (ดอกหอมหมื่นลี้) เป็นระลอกมาแต่ไกล มองไปก็เห็นในสวนปลูกต้นกุ้ยฮวาไว้ผืนใหญ่ บริเวณนั้นยังมีศาลาเก๋งกะทัดรัดประณีตหลังหนึ่งปิดด้วยม่านไม้ไผ่เซียงเฟย นางเห็นเงาคนวูบวาบอยู่หลังม่านด้วย