บทที่ 16 ผู้เยี่ยมยุทธ์ ! (ปลาย)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์

บทที่ 16 ผู้เยี่ยมยุทธ์ ! (ปลาย)

ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยไม่ว่ากล่าวอะไรอีก แต่เมื่อสองมือนั้นได้กุมมือของเยี่ยหลางไว้สีหน้าจึงค่อยดูดีขึ้นมา

เยี่ยหลางยิ้ม ก่อนจะกล่าวว่า “ข้ารู้ว่ามันทำตัวยโสโอหังจนน่าฆ่าให้ตายนัก แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา… อีก 2 วันถัดจากนี้ รบกวนท่านแจ้งให้ทุกคนในเมืองชิงช่วยมาดูการประลองด้วย ข้าต้องการเอาชนะมันและสร้างชื่อให้กับตัวเอง !”

เมื่อได้ยินดังนั้นผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยก็ขมวดคิ้ว “เจ้าหมายความว่าอย่างไร ?”

เยี่ยหลางคลี่ยิ้ม “หากท่านต้องการดึงความสนใจจากกองกำลังภายนอกทั้ง 3 ตระกูลนั่น ก่อนอื่นก็ต้องมีชื่อเสียงเสียก่อน เยี่ยฉวนจะเป็นหินก้อนแรกให้ข้าเหยียบขึ้นไป เมื่อข้าก้าวผ่านมันไปได้แล้ว ข้าก็จะสามารถสร้างชื่อในเมืองชิง และจากนั้นโอกาสก็จะมาหาข้าเอง !”

ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย “เจ้าพูดถูก ทั้ง 3 ตระกูลใหญ่นั้นโดดเด่นเป็นอย่างมาก หากเราไม่เคลื่อนไหวตอนนี้ ต่อไปจะทำอะไรคงยากมากกว่านี้”

เยี่ยหลางพยักหน้า “ท่านผู้เฒ่าโปรดมั่นใจ อีกสองวันให้หลัง ข้าจะให้มันต้องตายอย่างอัปยศอดสูเพื่อชำระล้างความเกลียดชังในใจให้ท่านแน่ !”

ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยพยักหน้าและฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอ่ยอย่างจริงจัง “ไอ้คนผู้นั้น แม้ว่าจุดตันเถียนจะถูกทำลายไปแล้ว แต่เราก็มิอาจมองข้ามความสามารถในการต่อสู้ของมันไปได้ เจ้าจงอย่าประมาท !”

เยี่ยหลางมองไปที่ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยพลางส่งยิ้มให้ เขาไม่พูดอะไรแต่ทว่าในใจนึกรังเกียจนัก

เขาเห็นกับตาว่าการต่อสู้แบบตัวต่อตัวกับเยี่ยฉวนนั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยเป็นฝ่ายเสียเปรียบ หากแต่ในความคิดของเขาตอนนี้ไม่ใช่ว่าเยี่ยฉวนแข็งแกร่งเกินไป แต่ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยอ่อนแอเกินไปต่างหาก !

คนในตำแหน่งสูงย่อมรู้จักแต่วิธีที่จะดื่มด่ำกับความสะดวกสบาย แม้ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยตอนนี้คือชายชราคนหนึ่งที่ยังไม่สามารถบรรลุไปถึงขั้นแยกกายละเอียดออกจากกายหยาบได้ !

ในใจของเขานั้นไม่ใช่แค่ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ย แต่บรรดาผู้อาวุโสทั้งหมดในตระกูลเขาล้วนเห็นเป็นเพียงชายวัยไม้ใกล้ฝั่งไม่ต่างกัน !

เยี่ยหลางดึงความคิดของตัวเองกลับมา เขามองไปยังทิศทางที่เยี่ยฉวนเพิ่งเดินจากไปเมื่อครู่และหัวเราะเยาะ

“นับเป็นเกียรติของเจ้าแล้วที่จะได้กลายมาเป็นก้อนหินให้ข้าเหยียบย่ำ !”

เยี่ยฉวนกลับไปที่ห้องและรีบเทเม็ดยาบำรุงจิตวิญญาณออกมาเพื่อป้อนให้กับเยี่ยหลิง

เยี่ยฉวนมองไปที่เยี่ยหลิงด้วยความกังวล ตอนนี้เขารู้สึกอับจนหนทางขึ้นมาเล็กน้อย และได้แต่กล่าวโทษตัวเองในใจที่หลงลืมเรื่องยาของน้องสาวไปเสียได้ !

ไม่นานนักเมื่อรู้ตัวว่าถูกจ้องมองอยู่ เยี่ยหลิงจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาทีละน้อย และเมื่อเห็นเยี่ยฉวน นางก็พลันส่งยิ้มหวานให้ “ท่านพี่ แค่ได้เห็นท่านข้าก็สบายดีแล้ว”

เยี่ยฉวนยิ้ม เขาจับมือเยี่ยหลิงไว้แน่นและถามอย่างอ่อนโยน “เจ้ารู้สึกดีขึ้นหรือยัง ?”

เยี่ยหลิงพยักหน้าเบา ๆ “ตอนนี้ข้าไม่ค่อยหนาวแล้วเจ้าค่ะ”

เยี่ยฉวนกล่าวอย่างอ่อนโยน “เป็นความผิดข้า ข้าสัญญาว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก ไม่แน่นอน !”

เยี่ยหลิงมองไปที่เยี่ยฉวน ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลลงมา “ท่านพี่ ข้าเคยอยากตายเพราะจะได้ไม่เป็นภาระของท่าน แต่ตอนนี้ข้ากลัวที่จะตาย ข้ากลัวว่าถ้าหากข้าตายไปแล้วท่านพี่จะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ข้าอยากจะอยู่กับท่านพี่ !”

ดวงตาของเยี่ยฉวนเปียกชื้น เขาระบายยิ้มอ่อน “หลิงเอ๋อร์ เจ้าจะไม่เป็นไร เราสองคนจะต้องไม่เป็นอะไร!”

เยี่ยหลิงเช็ดน้ำตาบนใบหน้า “ข้า ข้าจะใช้ชีวิตให้ดี แล้วข้า ข้าก็จะอยู่กับท่านพี่ตลอดไป !”

เยี่ยฉวนเหยียดนิ้วก้อยของตัวเองออก และเกี่ยวเข้ากับนิ้วก้อยของเยี่ยหลิง เขาอมยิ้มจากนั้นจึงพูดขึ้น

“งั้นมาตกลงกัน เราสองคนจะไม่มีใครตายก่อน !”

เยี่ยหลิงกลอกตาใส่เยี่ยฉวน “ท่านพี่ เกี่ยวก้อยสัญญามีแต่เด็ก ๆ เขาทำกันนะเจ้าคะ !”

เยี่ยฉวนพูดกลั้วหัวเราะ “ในใจพี่ เจ้าก็ยังเป็นเด็กอยู่เสมอนั่นแหละ !”

รอยยิ้มกระจ่างสดใสผุดขึ้นบนใบหน้าของเยี่ยหลิงด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง

ครั้งนี้เยี่ยฉวนไม่ได้กลับไปฝึกฝนในทันที แต่ออกไปซื้อของโดยมีเยี่ยหลิงขี่อยู่บนหลัง เมื่อก่อนนางอาศัยอยู่แต่ในจวนตระกูลเยี่ยมาตลอด ดังนั้นจึงไม่ค่อยได้ออกมาวิ่งเล่นข้างนอกมากนัก เยี่ยฉวนรู้สึกผิดมากในเรื่องนี้ ดังนั้นตอนนี้เมื่อเขาพอมีเวลาว่างแล้วเลยอยากจะพาน้องสาวออกมาเที่ยวชมธรรมชาติบ้าง

สำหรับในใจของเยี่ยฉวนแล้ว น้องสาวสำคัญที่สุด !

เมืองชิงเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีประชากรน้อยกว่า 2 แสนคน ดังนั้นถ้าเทียบกับในบรรดาเมืองต่าง ๆ ในแคว้นเจียงแล้ว การมีตัวตนอยู่ของเมืองชิงจึงถือว่าเป็นลำดับท้ายสุด

ถึงแม้ว่าจำนวนคนจะไม่มากนัก แต่เมืองชิงก็มีชีวิตชีวามาก มีทั้งการแสดงที่และแผงลอยค้าขายที่หลากหลายและทุกสิ่งที่ต้องการ

เมื่อเยี่ยฉวนและน้องสาวก้าวเท้าออกมานอกจวน ตระกูลเยี่ยก็ได้ส่งคนติดตามพวกเขามาในทันทีราวกับกลัวว่าทั้งสองคนจะหนีไป และหากว่ากันตามจริงแล้ว ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยไม่มีทางยอมปล่อยให้เยี่ยฉวนได้ลอยนวลไปแน่ !

เยี่ยฉวนไม่สนใจคนพวกนั้น และยังปล่อยให้เดินตามมาหากไม่ก่อปัญหาอะไร

“ท่านพี่ ข้าเดินเองได้เจ้าค่ะ !”

“เหลวไหล ร่างกายยังอ่อนแออยู่แล้วเจ้าจะเดินเองได้อย่างไร ให้ข้าแบกเจ้าต่อไปอีกสักพัก…”

แต่เมื่อเห็นสีหน้าอ้อนวอนของน้องสาว เยี่ยฉวนก็ใจอ่อน

“ก็ได้…”

เยี่ยฉวนพาเยี่ยหลิงเที่ยวชมเกือบจะรอบเมือง พอตกค่ำ สองพี่น้องก็พากันเดินทางกลับจวนตระกูลเยี่ย แต่เมื่อพวกเขากำลังจะก้าวผ่านประตูเข้าไป สตรีผู้หนึ่งพลันขี่ม้าพรวดพราดเข้ามาด้วยความเร็วเข้ามาภายในเมืองเสียก่อน

หญิงสาวผู้นั้นสวมเสื้อคลุมสีขาวสะอาดสะอ้าน ในมือถือหอกยาวสีเงินส่องประกายแวววาวเหมือนดวงดาวที่เย็นยะเยือก

นางดูสง่างามและมีเครื่องหน้ารวมถึงลักษณะองคาพยพที่ละเอียดอ่อน แต่ที่โดดเด่นมากที่สุดคือใบหน้ารูปไข่ห่านและดวงตาแหลมคมราวกับนกสวรรค์ เยี่ยฉวนไม่เคยพบเห็นสตรีที่งดงามเช่นนี้มาก่อน นางงดงามมากถึงขนาดที่ว่าหากได้ยลโฉมสักครั้งแล้วจะต้องจดจำไปตลอดชีวิต !

เมื่อสตรีผู้นั้นเข้ามาในเมือง สายตาจากฝูงชนทั้งหลายต่างก็จับจ้องไปที่นาง

นางคือโฉมงามดั่งภาพวาดทิวทัศน์ที่ใคร ๆ ไม่อาจละสายตาไปได้ !

ทันทีที่เข้ามาในเมือง นางก็หยุดอยู่ข้าง ๆ เยี่ยฉวนและน้องสาว ดวงตาดั่งนกสวรรค์คู่นั้นจับจ้องไปที่เยี่ยฉวนอย่างใคร่รู้ ก่อนที่ทันใดนั้นแววตาคู่นั้นจะพลันเกิดเป็นประกายด้วยความประหลาดใจ “กายาซ่อนเร้นเช่นนั้นหรือ ?!”

เมื่อได้ยินสิ่งที่นางกล่าว ใบหน้าของเยี่ยฉวนก็พลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย “แม่นาง เจ้ารู้จักกายาซ่อนเร้นด้วยงั้นหรือ ?”

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือนางสามารถมองเห็นพลังกายาซ่อนเร้นของเขาได้ ก่อนอื่นต้องรู้ว่ามาตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ แม้แต่ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยเองและคนอื่น ๆ ต่างก็มองไม่เห็นพลังที่แท้จริงของเขาเนื่องจากสตรีลึกลับในหอคอยแห่งเรือนจำได้ปิดซ่อนเอาไว้ แล้วแม่นางคนนี้รู้ได้ยังไง ?

ทันใดนั้น หญิงสาวคนนั้นก็ได้ควงหอกยาวของตนและชี้เป้าตรงไปที่เยี่ยฉวน “ข้าขอทายว่าเจ้าคือเยี่ยหลาง คนที่ดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้ ช่างดีเสียจริงที่เจ้ามีรากฐานพลังที่มั่นคงและได้บรรลุไปถึงขั้นกายาซ่อนเร้นแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็คู่ควรที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของข้า ข้ามีนามว่าอันหลานซิ่ว เข้ามาเลย  แล้วเราจะได้เห็นกันว่าเจ้าสามารถโจมตีข้าได้หรือไม่ !”

“อันหลานซิ่ว !”

ที่ด้านข้างถึงกับมีบางคนหลุดอุทานออกมา “สวรรค์ นางคือยอดยุทธ์อัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ของแคว้นเจียง เป็นอัจฉริยะที่หนึ่งหมื่นปีจะมีปรากฏสักหน !”

“เป็นนางจริง ๆ อันหลานซิ่วที่อ๋องแห่งแคว้นเจียงทรงแต่งตั้งให้เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งแคว้นด้วยอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น… เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่มีใครเคยพบในราชวงศ์ก่อนเสียด้วยซ้ำ !”

“ข้าได้ยินมาว่านางบุกไปท้าทายอัจฉริยะทั้งหมดในแคว้นเจียงมาแล้ว จาก 36 เมือง ยังไม่มีผู้ใดต่อกรกับนางได้… หากนางมาถึงที่นี่เพื่อเยี่ยหลาง และเยี่ยหลางได้รับการยอมรับจากนางแล้วละก็… ตระกูลเยี่ยจะต้องมีชื่อเสียงขึ้นมาอย่างแน่นอน !”