หลังจากเย่เทียนออกไปได้ไม่นาน ก็มีคนมาตรวจดูสถานการณ์ทางนี้อย่างรวดเร็ว
แต่เพิ่งเดินเข้ามาในลานจอดรถ ภาพที่เข้าตาก็เป็นภาพที่แสลงตาเหลือเกิน
“บ้าเอ๊ย นี่มันอะไรกันวะเนี่ย? หมู่ในลานจอดรถ……”
“คงไม่ใช่ว่าทำจนเหนื่อย แล้วมาหลับกันที่นี่หมดหรอกนะ”
แต่ละคนพูดกันไปต่างๆนานา มีคนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านหยิบมือถือออกมาถ่ายรูปด้วย พร้อมอัพโหลดไปบนเน็ต
คนบ้านเราชอบมุงเหมือนกันหมด เพียงแป๊บเดียวก็มีคนมาดูมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้หญิงบางคนเห็นแล้วหน้าแดงก่ำ สบถและหลบออกไป
ยังไงซะนี่ก็เป็นช่วงเวลาพีคของคนเลิกงาน มีรถของผู้บริหารระดับสูงจอดอยู่ที่นี่ไม่น้อย พอเดินเข้ามาดูใกล้ๆก็อดผงะไม่ได้
“นั่นประธานรองจางจากฝ่ายตลาดนี่”
“โอ้โห ประธานรองจางมีรสนิยมแบบนี้หรอกหรอ ฉันอุตส่าห์ร่วมงานกับเขามาตั้งนาน ก่อนหน้านี้ฉันก็รู้สึกอยู่ว่าสายตาที่เขามองฉันมันแปลกๆ ตอนนี้มาคิดๆดูแล้วน่าสะอิดสะเอียนจริงๆ…..”
“ข่าวใหญ่ ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทหมู่ในลานจอดรถบริษัทจนเป็นลม ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป…..”
ผู้คนพูดกันไปต่างๆนานา และในช่วงเวลาสั้นๆไม่กี่นาทีนี้ ก็แพร่หลายจนคนภายในบริษัทรู้กันหมดอย่างรวดเร็ว
ขณะนั้น เฉินหวั่นชิงเพิ่งจัดการเพียงเอกสารในบริษัทเสร็จ กำลังเตรียมออกจากห้องทำงาน
“ประธานคะ แย่แล้ว!”
ร่างของกู้กวนชีวิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบจากข้างนอก ใบหน้าเล็กๆเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ทั้งยังแดงเกินกว่าที่ควรจะเป็น ราวกับได้เห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงทะเล่อทะล่าแบบนี้ล่ะ?”
เฉินหวั่นชิงขมวดคิ้วเรียวถาม
“ประธานคะ จางฟู่ฉีคนนั้น เขา เขา…… โอ๊ย ฉันไม่รู้ว่าจะบอกยังไงดี ประธานไปดูเองเถอะค่ะ”
ระหว่างที่คุยกันอยู่ กู้กวนชีก็ส่งโทรศัพท์มือถือของตัวเองไปให้
เฉินหวั่นชิงไม่เคยเห็นกู้กวนชีลนลานเท่านี้มาก่อน เธอนึกสงสัย หยิบมือถือมาดู หลังจากได้เห็นภาพแสลงตานั้นแล้ว ใบหน้างดงามก็แดงขึ้นมาในชั่วพริบตา
“นี่มันอะไรกัน?”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ จู่ๆภายในบริษัทก็กระจายข่าวนี้ออกมา สถานที่อยู่ในลานจอดรถของเรา”
กู้กวนชีไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังเช่นกัน จึงตอบไปตามตรง
พอได้ยินคำว่าลานจอดรถ ใจของเฉินหวั่นชิงกระตุกวูบ นึกถึงเรื่องที่เย่เทียนถูกเธอส่งไปเอารถที่ลานจอดรถ
“หรือว่าเขาแอบกระทำการไม่ดี?”
เฉินหวั่นชิงคาดเดาในใจ แต่ไม่มีหลักฐาน เธอใจเย็นลงอย่างรวดเร็ว “ไปดูกันหน่อย!”
“ค่ะ!”
กู้กวนชีพยักหน้าทันที ตามหลังเฉินหวั่นชิงด้วยหน้าแดงก่ำ
สิบนาทีต่อมา เฉินหวั่นชิงมาถึงจุดเกิดเหตุ ที่นี่ถูกเหอเชิ่งที่มาตามข่าวควบคุมไว้แล้ว พอเห็นเฉินหวั่นชิงเข้ามาก็รีบเข้าไปต้อนรับด้วยสีหน้าละอายใจ “ประธานครับ เป็นความบกพร่องหน้าที่ของผมเอง คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น”
“รู้มั้ยว่าใครเป็นคนทำ?”
เฉินหวั่นชิงขมวดคิ้วถาม
“กล้องวงจรปิดถูกปิดล่วงหน้าแล้วครับ ผมกำลังตรวจสอบบุคคลที่เข้าออกในลานจอดรถ ตอนนี้ยังไม่สามารถให้คำตอบที่แน่นอนได้ครับ” เหอเชิ่งรีบตอบ
“กล้องวงจรปิดโดนปิดหรอ?”
เฉินหวั่นชิงผงะในใจ เธอหันไปมองจางฟู่ฉีที่บัดนี้ยังสลบอยู่และมีคนคลุมปิดให้แล้วด้วยสัญชาตญาณ ก่อนจะดึงสายตากลับมาและเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาหาตัวคนทำผิด นายต้องรีบจัดการให้เสร็จสิ้นก่อนที่ข่าวถูกแพร่ออกไป! ผู้ช่วยกู้ คุณไปแจ้งผู้จัดการหวูฝ่ายประชาสัมพันธ์ ให้เขาติดต่อเป็นธุระกับหนังสือพิมพ์รายใหญ่หน่อย”
เรื่องนี้ถูกลือออกไปแล้ว อีกไม่นานจะต้องเป็นที่รู้ไปทั่ว เฉินหวั่นชิงต้องสงบเรื่องนี้ลงให้ได้!
“ครับ!”
เหอเชิ่งไม่กล้าพูดอะไรอีก ได้แต่พยักหน้ารับและไปยุ่งงานตัวเอง
กู้กวนชีก็รีบร้อนออกไป
ส่วนจางฟู่ฉี เฉินหวั่นชิงขี้เกียจไปถามไถ่ เพียงแต่ขอให้เหอเชิ่งพาเขาออกไป
และหลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว ประกายพิศวงบางอย่างแวบผ่านไปในแววตาของเฉินหวั่นชิง เธอหยิบมือถือออกมาและกดโทรศัพท์
“คุณลุงจางใช่มั้ยคะ? หนูหวั่นชิงเองค่ะ ที่นี่เกิดเรื่องนิดหน่อย หนูคิดว่าควรจะบอกคุณลุงไว้ค่ะ…..”
“อะไรนะ? ลูกชายสารเลวของฉันทำให้หลานต้องกังวล หลานสบายใจได้ ฉันจะไปจัดการให้”
ปลายสายฟังจบแล้ว พลันโมโหขึ้นมาทันใด
เฉินหวั่นชิงยิ้มในใจ และเอ่ยเรียบๆ “เรื่องนี้หนูควบคุมไว้พยายามไม่ให้ข่าวกระจายออกไปมากกว่านี้แล้วค่ะ แต่ประธานรองจางคงจะอยู่ใน บริษัทต่อไปไม่ได้แล้วค่ะ”
“เหอะๆ สิ่งที่หลานคิดเป็นสิ่งเดียวกับที่ฉันคิดเลย ฉันละเลยในการสั่งสอนเอง”
คนปลายสายพูดอย่างให้ความร่วมมือ
“ค่ะ หนูแค่อยากอธิบายสถานการณ์ให้คุณลุงจางได้ทราบ ต้องรบกวนเวลาพักผ่อนของคุณลุงจางด้วยนะคะ ไว้หนูว่างแล้วจะหาเวลาไปเยี่ยมคุณลุงค่ะ”
พูดจบ เฉินหวั่นชิงก็วางสายไป
เรื่องที่เกิดขึ้นในงานรับสมัครวันนี้ แม้ว่าเธอจะไม่ได้สืบให้ลึกลงไป แต่เฉินหวั่นชิงรู้ว่าเรื่องส่งคนมาสอดแนมอยู่รอบๆตัวเธอเกี่ยวข้องกับจางฟู่ฉีแน่นอน
เพียงแต่ เนื่องจากพ่อของจางฟู่ฉีเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนของบริษัทแซ่เฉิน ไม่ง่ายนักที่เธอจะจัดการอีกฝ่าย
ทว่าคิดไม่ถึงเลย ว่าบ่ายนี้จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา เป็นต้นทุนให้เธอได้ต่อรองกับอีกฝ่ายพอดี
ต้องยอมรับเลยว่าวิธีการของเฉินหวั่นชิงนั้นเด็ดขาดมากๆ และรู้ดีว่าควรจะใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบฝั่งตัวเองยังไง เพื่อให้เบี้ยเดิมพันเกิดประโยชน์สูงสุด
หลังจากโทรศัพท์เสร็จ เรื่องนี้ถึงถือว่าจบลงแล้วโดยสมบูรณ์ พอดีกับที่เดินมาถึงหน้าบริษัท และเห็นเย่เทียนขับรถตู้บีเอ็มจอดอยู่ข้างทาง
เฉินหวั่นชิงปรายตามอง มีแววประหลาดใจแวบผ่านไปในสายตา เธอเข้าไปนั่งในรถและถามตรงๆ “เรื่องที่ลานจอดรถเป็นฝีมือของนายใช่มั้ย?”
“เรื่องอะไร?”
เย่เทียนมองเฉินหวั่นชิงผ่านกระจกมองหลัง และถามด้วยความงุนงง
“เย่เทียน นายอย่ามาทำไขสือนะ อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ความจริงที่อยู่เบื้องหลังเรื่องเมื่อเช้า!”
เฉินหวั่นชิงหัวเราะเย็นๆ สายตาฉายแววชาญฉลาด “ครึ่งชั่วโมงที่แล้วฉันใช้ให้นายไปเอารถที่ลานจอดรถ แต่ผ่านไปไม่ถึงสิบานทีก็มีข่าวจางฟู่ฉีหมู่….กระจายออกไปในบริษัท อย่าบอกฉันนะว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาย”
พอพูดถึงจางฟู่ฉี หน้าสวยๆของเฉินหวั่นชิงก็แดงอย่างหาดูได้ยาก แต่เธอก็ไม่ได้หยุด กลับกล่าวต่อ
“จางฟู่ฉีแค้นใจที่นายไปพังเรื่องดีๆของเขา จึงบอกให้คนดักรอนายที่ลานจอดรถล่วงหน้า ทว่าเขาประเมินความสามารถของนายต่ำไป เย่เทียน นายนี่ทำให้ฉันต้องมองนายใหม่อยู่เรื่อยเลยนะ ถึงกับทำเรื่องแบบนี้ได้ด้วยหรือนี่”
น้ำเสียงของเธอไม่บอกอารมณ์ ไม่รู้ว่านี่ชมเย่เทียนอยู่หรือด่าเขากันแน่
เย่เทียนฟังที่เธอพูดแล้วใจอดกระตุกวูบไม่ได้ พร้อมนึกในใจว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงฉลาดขนาดนี้ พูดอย่างกับเธออยู่ในที่เกิดเหตุอย่างนั้นแหละ
แต่เย่เทียนไม่มีทางยอมรับหรอก เขายังคงทำทีเป็นงุนงงต่อไป “หวั่นชิง เธอพูดเรื่องอะไรกัน ทำไมฉันถึงฟังไม่เข้าใจเลยล่ะ”
“ฟังไม่เข้าใจก็ช่างเถอะ ขับรถกลับบ้าน!”
เฉินหวั่นชิบแค่เดาเท่านั้น แต่สัญชาตญาณบอกเธอว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับเย่เทียนแน่นอน แต่เย่เทียนไม่ยอมรับ เธอก็จนปัญญา
เธอจึงเลิกสนใจไปเสีย ถึงยังไงเรื่องที่เกิดในวันนี้เธอก็ทำให้สงบไว้ล่วงหน้าแล้ว และไม่มีผลเสียอะไรต่อเธอด้วย
ระหว่างที่รถแล่นอยู่บนถนน เฉินหวั่นชิงกำลังครุ่นคิดว่าจะให้ใครมารับตำแหน่งรองประธานฝ่ายการตลาดดี