เบื้องหน้าเป็นสีดำสนิทผืนหนึ่ง มั่วชิงเฉินหยิบตะเกียงฟักทองออกมา
แสงไฟสลัวส่องสว่างขึ้น สะท้อนให้เห็นทัศนียภาพโดยรอบ
รอบด้านเป็นกำแพงทั้งสี่ด้าน มีตะไคร่สีน้ำตาลอ่อนปนเขียวเกาะ เมื่อเงยหน้าขึ้น แสงสลัวสีเหลืองขุ่นก็ค่อยๆ ถูกความมืดมิดกลืนกิน จนมองไม่เห็นปลายทาง
เมื่อก้มหน้าลงมองใต้ฝ่าเท้า ก็เป็นผืนดินสีน้ำตาลเข้มแข็งกระด้าง ดูคล้ายหยกไม่ใช่หยก คล้ายศิลาไม่ใช่ศิลา มั่วชิงเฉินยกเท้าขึ้นเหยียบย่ำ เกิดเป็นเสียงดัง เกร้งๆ ก้องกังวาน
เซี่ยหรันเดินเข้าไปประชิดกำแพงทั้งสี่ แล้วแปะมือลงไป เพิ่งจะปล่อยพลังปราณเข้าไปตรวจสอบ กำแพงทั้งสี่ก็เปล่งแสงสีเขียวออกมา แรงผลักมหาศาลผลักเขาจนซวนเซ
มั่วชิงเฉินและเวยเซิงลิ่วตกใจจนสะดุ้งโหยง พลันเตรียมการป้องกันตัว
ผ่านไปชั่วครู่ เวยเซิงลิ่วก็ย่นจมูก “แปลกไปหน่อย”
“แปลกตรงที่ใด” มั่วชิงเฉินเอ่ยถาม
เวยเซิงลิ่วชี้ไปที่ใต้ฝ่าเท้า “ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่เห็นแล้วกลับรู้สึกอยากกิน”
มั่วชิงเฉินมองใต้ฝ่าเท้า แล้วเอ่ยอย่างปลุกเร้าใจ “กินสิ”
เวยเซิงลิ่วถลึงตามองมั่วชิงเฉินแวบหนึ่ง “สหายมั่ว พูดอะไรไร้ความรับผิดชอบ หากข้ากล้ากินจริงๆ จุดจบคงน่าอนาถแน่”
“เพราะเหตุใด” มั่วชิงเฉินรู้สึกประหลาดใจกับความเยือกเย็นของเวยเซิงลิ่ว
เวยเซิงลิ่วกะพริบตา เอ่ยด้วยใบหน้าไร้เดียงสา “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด อยู่ดีๆ ก็รู้สึกเช่นนั้น เอ๊ะ นี่มันที่ใดกันแน่”
มั่วชิงเฉินไม่ตอบ แต่มองเซี่ยหรันและเวยเซิงลิ่วแวบหนึ่ง พลางเอ่ยถามว่า “สหายทั้งสอง เมื่อครู่พวกเจ้าเพิ่งจัดการจิตวิญญาณปีศาจผีเสื้อและอสูรปีศาจหอยทากไป นี่มันเรื่องอะไรกัน”
ใบหน้าของเวยเซิงลิ่วเผยสีหน้าโกรธแค้นออกมา “ข้าถูกเจ้าโง่นั่นหลอกลวง!”
เมื่อเอ่ยคำนี้ออกไป มั่วชิงเฉินและเซี่ยหรันก็มีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ผู้ที่ถูกเจ้าโง่นั่นหลอกได้ ไม่ใช่โง่เขลายิ่งกว่าหรือ
โดยเฉพาะเซี่ยหรันที่คิดได้ว่าตนเองก็ประสบเช่นเดียวกัน ยิ่งมีสีหน้าดำคล้ำ
เวยเซิงลิ่วกลับไม่พบท่าทีผิดปกติของทั้งสอง พลันเอ่ยกับตัวเองว่า “ในตอนแรกที่ข้าเข้ามาในดาวดวงน้อยนี้ ก็ตกลงไปในแอ่งน้ำ ริมฝั่งดันมีปีศาจพิทักษ์บุปผาที่แข็งแกร่งมากอยู่ จึงไม่อาจขึ้นฝั่งได้ หิวจนต้องจับปลาในน้ำขึ้นมากิน เวลาผ่านไป ในแอ่งน้ำก็ไม่มีปลาให้กินอีกแล้ว จึงเริ่มขุดรูเผื่อจับปลาไหล เคราะห์ร้ายครั้งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อยากพูดถึงจริงๆ ต่อมาขุดไปขุดมา ข้าก็นึกอะไรขึ้นได้”
เมื่อเอ่ยจนมาถึงตรงนี้ ดวงตาที่มองมั่วชิงเฉินและเซี่ยหรันก็เปล่งประกาย แต้มไปด้วยสีหน้าใสซื่อ ช่างน่ารักน่าชังอะไรเช่นนี้
มั่วชิงเฉินกลั้นขำพลางเอ่ยถาม “คิดอะไรออก”
“ข้าคิดว่า แทนที่จะขุดหาปลาไหลทั้งวัน มาขุดอุโมงค์ใต้น้ำ หาวิธีหนีออกจากอาณาเขตของปีศาจพิทักษ์บุปผาไม่ดีกว่าหรือ” เวยเซิงลิ่วเหลือบตามองมั่วชิงเฉินแวบหนึ่งด้วยความลำพองใจ
มั่วชิงเฉินกระแอมไอสองครา “สหายเหวยเซิงช่างชาญฉลาดล้ำเลิศ”
เซี่ยหรันมองมั่วชิงเฉินแวบหนึ่งราวกับเห็นภูตผี
เวยเซิงลิ่วกลับรู้สึกสบายใจ สายตาที่มองมั่วชิงเฉินสามารถใช้คำว่าอ่อนโยนมาอธิบายได้ “สหายมั่วเองก็คิดเช่นนั้นหรือ ตอนนั้นข้าเองก็รู้สึกว่าความคิดนี้ไม่เลว จึงเริ่มขุด พอขุดไปถึงได้พบว่าในนั้นมีทั้งซากปลาและเศษกุ้ง ต่อมาก็ขุดไปถึงหอยทากโง่เง่าตัวนั้น ยามนั้นเดิมคิดจะกินหอยทาก ผลคือเมื่อเห็นว่าข้าจะลงมือ หอยทากตัวนั้นก็รีบร้อนขอให้ไว้ชีวิต เมื่อเห็นว่าข้านิ่งไป ก็พ่นความลับของดอกไม้พิสดารนั่นออกมา ข้าถึงได้พามันมาด้วย ผู้ใดจะรู้ว่าจะถูกเจ้าโง่นั่นหลอกเข้า เฮ้อ สหายเซี่ย เจ้าก็เป็นเหมือนกันใช่หรือไม่”
เซี่ยหรันเล่าอย่างง่ายๆ ทว่ากลับไม่เหมือนกับเวยเซิงลิ่ว จิตวิญญาณปีศาจผีเสื้อเป็นสิ่งที่เขาสังหารอสูรปีศาจพิทักษ์ตัวหนึ่งแล้วถึงได้พบเข้า ยามนั้นจิตวิญญาณปีศาจผีเสื้อพยายามหนีสุดชีวิต เซี่ยหรันเสียแรงไปมากถึงจะจับเป็นมันได้ ต้องขู่เข็ญมันอย่างหนักหน่วงถึงจะคลายความลับของดอกไม้พิสดารออกมาได้
มั่วชิงเฉินได้ฟังทั้งสองอธิบาย ก็รู้สึกหมดคำพูดไปเล็กน้อย
เดิมที่คิดว่าทั้งสองคนระวังตัวน้อยไป แต่เมื่อได้ฟังที่พวกเขาอธิบายถึงได้พบว่าเหตุการณ์ที่พวกเขาและตนได้ประสบนั้นไม่เหมือนกัน
เวยเซิงลิ่วประสบกับอสูรปีศาจหอยทากได้นั้นเป็นเรื่องที่บังเอิญมาก ภายใต้สถานการณ์ที่จะกลายเป็นอาหารในท้องนั้น อสูรปีศาจหอยทากจึงได้ใช้โอกาสบอกข่าวลับมาช่วยชีวิต ฟังดูแล้วก็น่าเชื่อถือไม่น้อย
ส่วนสถานการณ์ของเซี่ยหรันเองยิ่งเข้าใจได้ เขาพบดอกไม้วิญญาณดอกหนึ่ง ที่ดอกไม้มีอสูรปีศาจคุ้มครองอยู่ พอสังหารอสูรปีศาจคุ้มครองได้แล้ว ถึงได้พบว่าในดอกไม้วิญญาณมีจิตวิญญาณปีศาจผีเสื้อ ตอนแรกจึงคิดว่าจิตวิญญาณปีศาจผีเสื้อนี้มีมูลค่าย่อมเป็นเรื่องธรรมดา พอจับจิตวิญญาณปีศาจผีเสื้อได้แล้วขู่บังคับจนได้ข้อความมานั้นจึงน่าเชื่อถือกว่ามาก
เมื่อพูดไปพูดมาก็ไม่รู้ว่าตนเองโชคดีหรือไม่ ดอกเบญจมาศแดงดอกนั้นขึ้นเด่นอยู่บนกำแพงภูเขา หากเจ้ามองไม่เห็น ก็ต้องขอโทษตาตัวเองแล้ว
เพราะว่าได้มาอย่างง่ายดายเกินไป มั่วชิงเฉินจึงรู้สึกไม่มั่นใจ ดังนั้นจึงรู้สึกสงสัยนิสัยชอบร้องไห้ของดอกเบญจมาศแดงตั้งแต่แรก
“นี่ พวกเจ้าบอกว่าพวกมันล้วนหลอกลวง นั่นเพราะเหตุใดหรือ” เวยเซิงลิ่วใช้มือจับใต้คางพลางเอ่ยถาม
มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างไร้เรี่ยวแรงเล็กน้อย “ก่อนที่เจ้าจะกินหอยทากลงไป ไม่คิดจะถามมันเลยหรือ”
เวยเซิงลิ่วถลึงตาอย่างอารมณ์เสีย “โอ้ ข้าลืมไป!”
พูดไปพลางมองเซี่ยหรัน ดูเหมือนว่าจะตำหนิที่เขาสังหารจิตวิญญาณปีศาจผีเสื้อไป จนทำให้มันนึกถึงหอยทากขึ้นมา
เซี่ยหรันเอ่ยอย่างเย็นชา “ในเมื่อกล้าหลอกข้า ก็ต้องตายต่อหน้าข้า หากอยากได้คำสารภาพ สหายมั่ว เจ้าก็น่าจะมีตัวหนึ่งมิใช่หรือ”
มั่วชิงเฉินหัวเราะน้อยๆ ออกมา มือตบไปที่ถุงอสูรวิญญาณ ชั่วขณะนั้นบนพื้นพลันมีกระถางขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น ในกระถางมีดอกเบญจมาศสีแดงสดอยู่ดอกหนึ่ง
เมื่อดอกเบญจมาศเห็นทั้งสามคนก็ตกใจ พยายามถอยร่นไปด้านหลัง เอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือว่า “อย่า อย่าฆ่าข้า อย่ากินข้า…”
เดิมทีเจ้านี่หวาดกลัวหมาป่าน้อยมากที่สุด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเซี่ยหรันและเวยเซิงลิ่ว มั่วชิงเฉินก็ไม่คิดจะเปิดโปงอสูรวิญญาณที่มีพลังโจมตีรุนแรงที่สุดของตน จึงเป็นคนลงมือเสียเอง
ควานหาแส้ยาวออกมาจากย่ามเก็บของ สะบัดแส้อันสวยงามไปกลางอากาศ จากนั้นก็รัดดอกเบญจมาศแดงเอาไว้แน่น
ดอกเบญจมาศแดงพลันร้องคร่ำครวญออกมา “อย่ารัด ข้ายอมทั้งหมด!”
เวยเซิงลิ่วคำรามออกมาด้วยความโมโห “อสูรปีศาจไร้อนาคตอย่างเจ้า ทำให้ข้าเสียหน้า!”
ดอกเบญจมาศแดงร้องจนสะอึก “ฮึก…ข้า เดิมทีข้าก็ไม่ใช่อสูรปีศาจ ฮึก…”
มั่วชิงเฉินฟังบทสนทนาของทั้งสองแล้วมุมปากกระตุก ท่ามกลางเสียงรัดของแส้ ก็เอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “อยากสารภาพ ก็รอให้ข้าฟาดเสร็จก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
จากนั้นก็ได้ยินเสียงแส้และเสียงร้องคร่ำครวญของดอกเบญจมาศแดงไปทั่วทุกที่
เสียงร้องของดอกเบญจมาศแดงสะท้อนก้องไปทั่วทุกทิศทางน่าอนาถนัก ราวกับคนพาลกำลังเปลื้องอาภรณ์ของหญิงงามวัยแรกแย้มอย่างไรอย่างนั้น บังเอิญที่หญิงงามวัยแรกแย้มผู้นี้มีเสียงเหมือนเป็ดก็เท่านั้น
มั่วชิงเฉินฟังจนชินแล้ว เซี่ยหรันและเวยเซิงลิ่วฟังแล้วอยากจะนำศีรษะชนเข้ากับกำแพง
สุดท้ายเซี่ยหรันก็ลูบขมับแล้วเอ่ยว่า “สหายมั่ว อย่าฟาดเลย รีบถามเถิด”
เขาไม่กล้ารับประกันว่าหากฟังต่อไปจะทุบจนดอกเบญจมาศประหลาดนี้กลายเป็นน้ำจิ้มเนื้อหรือไม่
มั่วชิงเฉินถึงได้หยุดลง เก็บแส้เข้าไปในย่ามเก็บของ “พูดมา”
ดอกเบญจมาศแดงหยุดร้องทันที มองมั่วชิงเฉินด้วยความระมัดระวัง “นายท่าน ท่านอยากรู้อะไร”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘นายท่าน’ มั่วชิงเฉินก็หัวเราะร่า “เหตุใดถึงหลอกข้า มีแผนการณ์อะไร”
ดอกเบญจมาศแดงเอ่ยอย่างติดๆ ขัดๆ ว่า “ความจริงแล้ว ข้าก็ไม่ได้หลอกท่าน…”
“อย่างนั้นหรือ” มั่วชิงเฉินดูเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม ขยับมือหยิบแส้ออกมาอีกครั้ง
ดอกเบญจมาศตกใจจนสั่นเทา เอ่ยอย่างรวดเร็วว่า “ข้าพูดจริง เรื่องที่เล่าให้ท่านฟังเป็นเช่นนั้น ที่นี่มีดอกไม้พิสดารจริงๆ แต่แค่ แค่ส้มโอมือสีทองนั่นไม่ใช่ดอกไม้พิสดาร”
“เอ๋ แล้วเหตุใดพอเด็ดส้มโอมือสีทองออกมา ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้ากลับดินเช่นนั้นเล่า” มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว
“เพราะว่า…” เห็นมั่วชิงเฉินสะบัดแส้ในมือ ดอกเบญจมาศแดงก็เอ่ยอย่างเด็ดขาด “เพราะว่าส้มโอมือสีทองนั่น เป็นตราผนึก!”
“ตราผนึกหรือ” เซี่ยหรันและเวยเซิงลิ่วร้องอุทานออกมาพร้อมกัน แล้วเข้าไปประชิดดอกเบญจมาศแดง
ดอกเบญจมาศแดงตกใจจนถอยร่นไปด้านหลัง
มั่วชิงเฉินกระแอมไอเบาๆ “สหายทั้งสอง อย่าเข้าไปใกล้มาก หากทำให้มันตกใจจะแย่”
เซี่ยหรันและเวยเซิงลิ่วค้อนควักมาพร้อมกัน ผู้ใดลงมืออย่างโหดเหี้ยมกันแน่ จนถึงตอนนี้พวกเขาแตะต้องกลีบสักเสี้ยวของดอกเบญจมาศหรือยัง
“เข้าประเด็นหน่อย” มั่วชิงเฉินเหลือบตามองดอกเบญจมาศแดงแวบหนึ่ง
ดอกเบญจมาศแดงสั่นเทาพลางรีบร้อนเอ่ยว่า “ยามนั้นจู่ๆ ดอกไม้พิสดารก็ไม่ถูกควบคุม ดูดซับโลหิตบริสุทธิ์ของผู้บำเพ็ญเพียรเข้าไปจำนวนมาก จากนั้นก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงท่ามกลางฟ้าดินที่เปลี่ยนสีไป ก่อนที่นายน้อยสำนักไป่ฮวาผู้ปลูกมันจะสิ้นใจ ก็ใช้จิตวิญญาณบริสุทธิ์ของตนเป็นตัวเหนี่ยวนำ ใช้ส้มโอมือสีทองผนึกดอกไม้ดอกนั้นเอาไว้ เพราะว่าเดิมทีดอกไม้พิสดารก็ถือกำเนิดจากโลหิตบริสุทธิ์ของนายน้อย แม้ว่าหลังจากกลายพันธุ์จะมีพลังอันน่าตกตะลึง แต่กลับไม่อาจต้านทานการผนึกได้ พวกเราที่มีจิตวิญญาณและปัญญาย่อมรู้ข้อมมูลนี้อยู่บ้าง ว่าต้องอาศัยพลังจากภายนอกทำลายตราผนึก ให้ดอกไม้พิสดารได้สติฟื้นคืน”
“พวกเจ้าหรือ” มั่วชิงเฉินเอ่ยด้วยท่าทีขบคิด
ดอกเบญจมาศแดงพูดมาถึงตรงนี้ ก็ไม่ลังเลอีก พยักหน้าแล้วเอ่ยต่อ “อืม อสูรปีศาจและพืชวิญญาณต่างๆ ในดาวดวงนี้ล้วนมีสติปัญญาทั้งหมด”
เซี่ยหรันทนไม่ไหวเข้ามาประชิด “ทั้งหมดหรือ เช่นนั้น พวกที่เหมือนกับพวกเจ้าก็ยังมีอีกมากหรือ”
“ใช่แล้ว” ดอกเบญจมาศแดงพยักหน้า
เซี่ยหรันมองมั่วชิงเฉิน “ดูแล้ว เหล่าสหายที่เข้ามาที่นี่ ก็อาจจะพบเช่นกัน”
มั่วชิงเฉินพยักหน้า “น่าจะเป็นเช่นนั้น”
เวยเซิงลิ่วเอ่ย “แต่ ผู้ที่หาที่นี่พบมีแค่เราสามคนนะ”
สามสิบคนที่เข้ามา ตามหลักการแล้วผู้ที่หาที่นี่พบ ย่อมไม่ได้มีเพียงแค่สามคน
ทั้งสามคิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าผิดปกติ แล้วจึงได้ยินดอกเบญจมาศแดงเอ่ยว่า “สถานที่ที่มีตราผนึก ไม่ได้มีแค่ที่นี่นะสิ”
ทั้งสามมองไปพร้อมกัน ดอกเบญจมาศแดงตัวสั่นเทาตามจิตใต้สำนึก “นายท่าน ท่านต้องตกลงกับข้าก่อนว่าจะไม่ทุบข้าหรือกินข้า ข้าก็จะบอก”
มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างอารมณ์ดี “แดงน้อย เจ้ารู้จักตั้งเงื่อนไขนะ”
แดงน้อย?
เซี่ยหรันรู้สึกเพียงว่าถูกคำเรียกที่น่าสะอิดสะเอียนทำให้พ่ายแพ้ แต่กลับเป็นเวยเซิงลิ่วที่ไม่รู้สึกอะไรกับคำเรียกของมนุษย์ และยังมีสีหน้าเช่นนั้น
เมื่อเห็นดอกเบญจมาศแดงไม่พูดอะไรจริงๆ มั่วชิงเฉินก็ไม่มีเวลามาต่อกรกับพวกสิ่งมีชีวิตประเภทนี้ จึงพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ได้”
ดอกเบญจมาศแดงรู้สึกผ่อนคลายลง “ตอนนั้นส้มโอมือสีทอง แบ่งออกเป็นเก้าส่วน ดังนั้นสถานที่ปิดผนึกจึงมีทั้งหมดเก้าแห่ง มีเพียงกำจัดส้มโอมือสีทองทั้งเก้าแห่งทิ้ง ถึงจะคลายผนึกได้”
เซี่ยหรันขมวดคิ้ว “หากกำจัดผนึกได้ แล้วจะเป็นอย่างไร”
ดอกเบญจมาศแดงโบกสะบัดกลีบดอก “เรื่องนี้ ข้าก็ไม่รู้ ในข้อมูลที่ถ่ายทอดกันมา ไม่มีบอกไว้”
“เช่นนั้น เจ้าก็บอกที่เจ้ารู้ออกมาหมดแล้วหรือ” มั่วชิงเฉินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
ดอกเบญจมาศแดงตกใจจนเกือบจะร้องไห้ “นายท่าน ท่าน ท่าน…”
มั่วชิงเฉินโบกมือเก็บดอกเบญจมาศแดงเข้าไปในถุงอสูรวิญญาณ “อย่าโวยวาย เข้าไปอยู่ในนั้นเถิด”
เงียบขรึมไปชั่วครู่ เซี่ยหรายเอ่ยว่า “ทั้งสองท่าน เรื่องนี้ พวกเจ้าคิดอย่างไร”