บทที่ 1067 ยึดมั่นสโลแกนของจอมตะกละ

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

และในเสี้ยววินาทีถัดมา หลิงม่อก็นึกถึงเรื่องที่น่ากลัวขึ้นมาได้…

ร่างจริงเขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าโดยอัตโนมัติ หยิบเอาขวดแก้วที่ใส่แมงมุมตัวนั้นออกมา…

“ใครก็ได้บอกที…แล้วไอ้ตัวเล็กนี่มันไปผสมพันธุ์กับเขาได้ยังไง?!”

แต่โชคดีที่เพียงไม่นาน หลิงม่อก็ได้สติกลับคืนมาหลังจากช็อกติดๆ กันหลายครั้ง “ฮู่วว…ช่างเถอะ! เทียบกับเรื่องพวกนี้ ยังมีเรื่องที่สำคัญกว่าอีกเรื่อง…”

เขามองที่ชายคนนั้นผ่านมุมมองสายตาของเสี่ยวป๋ายอีกครั้ง จากนั้นก็หันไปมองบลัดมาร์เธอร์ตัวมหึมาที่อยู่ข้างๆ ขณะเดียวกันก็ย้อนนึกด้วยสายตาสับสน “เมื่อกี้ หมอนี่…เรียกมันว่าลูกพี่จริงๆ ใช่ไหม? อาศัยโสตประสาทของหมีแพนด้ากลายพันธุ์ ไม่น่าจะฟังผิดถึงขนาดนั้นนี่…”

…ครู่ต่อมา หลิงม่อก็ตะลึงอีกครั้ง “ที่แท้ลูกพี่ที่หมายถึงก็คือตัวมันตั้งแต่แรกแล้ว! ไม่น่าล่ะถึงได้เรียกว่าบลัดมาเธอร์ ที่แท้เป็นเพราะกลายเป็นราชินีแล้วนี่เอง! แต่การปกครองข้ามเผ่าพันธุ์แบบนี้ก็ทำได้ด้วยหรอ? แม้แต่ร่างแม่อสุรกายนรกนั่นยังต้องเอามนุษย์มาเป็นหนูทดลองเลยนะ! ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่แมงมุมอยู่เหนือของมนุษย์อย่างนี้…”

ถึงแม้จิตใจสับสน แต่หลิงม่อก็ยังไม่ลืมจุดประสงค์ที่ตัวเองมาแอบฟัง…เขารีบบอกเรื่องที่ศตรูกำลังจะมาโจมตีให้ซย่าน่ากับเฮยซือที่อยู่ข้างๆ รู้ แล้วเฮยซือก็อาสาไปบอกคนอื่นอย่างรู้งาน ดูจากท่าทางเลียปากไม่หยุดของเธอ ถึงแม้ศัตรูจะเป็นแมงมุม แต่มันก็ยังคงรักษาสโลแกนของจอมตะกละที่มีต่อศัตรู—ฆ่าแกแล้วค่อยกิน หรือบางครั้งอาจทำสองอย่างพร้อมกันในเวลาเดียวก็ได้

“เอาล่ะ ใจเย็นแล้วกลับไปตั้งหลักที่ความตั้งใจแรกก่อน…เราจะฉวยโอกาสนี้ทำลายรังศัตรูดีไหม? ขอเพียงจัดการแม่แมงมุมหนึ่งเดียวตัวนี้ได้ แมงมุมทั้งฝูงก็น่าจะแตกพ่ายไปได้ชั่วคราว ถึงแม้ในฝูงแมงมุตัวเล็กพวกนั้นอาจยังมีตัวอื่นที่สามารถวิวัฒนาการจนกลายเป็นแม่แมงมุมแบบนี้อยู่ แต่มันคงไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นในสภาพแวดล้อมที่ดีเป็นพิเศษอย่างนี้อีกแล้ว ที่นี่เป็นอำเภอหลีหมิง ถ้าเปลี่ยนเป็นเขตเมือง X ล่ะก็ มันคงถูกซอมบี้ที่อยู่ตามท้องถนนเพ่งเล็งตั้งแต่ตัวเท่าถ้วยแกงแล้ว…” หลงม่อลอบคิด

แต่ในขณะที่เขากวาดสายตาซึ่งเต็มไปด้วยรังสีสังหารไปรอบๆ ตัวบลัดมาเธอร์กับชายคนนั้น อยู่ๆ เขากลับรู้สึกได้ถึงปฏิกิริยาปฏิเสธจากเสี่ยวป๋าย…เจ้าหมีแพนด้าส่ายสะโพกไปมา ค่อยๆ ก้าวถอยหนึ่งก้าว จากนั้นก็ส่ายศีรษะไปมา

พอเห็นทัศนวิสัยส่ายไปส่ายมา หลิงม่อกลอกตาขาว “เห็นอีกฝ่ายตัวโตเข้าหน่อยก็กลัวแล้วหรอ! เอาเถอะแกวางใจเถอะ…ฉันก็แค่คันไม้คันมือนิดหน่อย ไม่ให้แกไปจริงๆ หรอกน่า ถ้าหากสองต่อหนึ่งก็ยังน่าเสี่ยงหน่อย…แต่ข้างๆ แม่แมงมุม กลับยังมีลูกแมงมุมซ่อนตัวอยู่อีกมากมาย…”

หลิงม่อหยุดสายตาอยู่ที่ขาปุกปุยข้างหนึ่งของบลัดมาเธอร์…บนเส้นขมแหลมๆ พวกนั้น มีลูกแมงมุมเกาะอยู่เต็มไปหมด พวกมันปีนป่ายยั้วเยี้ยไม่หยุด ทำให้ “ขนหน้าแข้ง” ของมันกระเพื่อมไหวไปด้วย ดังนั้นแวบแรกที่เห็น ร่างกายของบลัดมาเธอร์ถึงได้ดูพร่ามัวเลือนราง จนมองเห็นไม่ชัดเจนอย่างนั้น…

ท่ามกลางความรู้สึกขนลุก หลิงม่อให้เสี่ยวป๋ายค่อยๆ ถอยเข้าไปในส่วนลึกของตรอกสายเล็ก…ถ้าหากบุ่มบ่ามเข้าไปจู่โจมจริงๆ เกรงว่าเสี้ยววินาทีที่ผู้ลอบโจมตีสัมผัสถูกร่างกายของบลัดมาเธอร์ คงถูกลูกแมงมุมพวกนั้นปีนป่ายจนท่วมตัว…

“อีกกี่เมตร?”

บนถนนที่ทอดยาวไปยังโรงงาน เงาร่างหนึ่งถามขึ้น

ชายอีกคนที่อยู่ข้างเขาหักข้อต่อนิ้ว พลางตอบ “ไม่ถึงสามร้อยเมตรแล้ว”

“ไม่เห็นแสงไฟในโรงงานเลยนี่” อีกคนพูดขึ้น

“แต่ว่าข้างในนั้นมีกลิ่นอายของมนุษย์ลอยโชยมาจริงๆ…อย่าเพิ่งเถียงกันเรื่องนี้เลย รีบลงมือเถอะ!” ชายคนที่ถามคนแรกพูดขึ้นอย่างใจร้อน

“แมงมุมของลู่เหรินยังไม่ตายใช่ไหม?” มีคนถามขึ้นอีกครั้ง

“ยัง…”

“คนที่จับเป็นแมงมุมตัวผู้ได้ พวกนายเคยเจอไหม?”

“ลูกพี่ไง”

“พูดจาเหลวไหลอะไรของแก ลุกพี่กินแมงมุมได้ด้วยซ้ำ ลูกพี่ๆ…เอาลูกพี่มาเปรียบจะมีความหมายอะไร?”

“แล้วนายหมายความว่าไง?”

“ก็ไม่ได้หมายความว่าไง…”

เห็นชัดว่าเมื่ออยู่ข้างชายผู้นั้นกับบลัดมาเธอร์ คนเหล่านี้ไม่มีโอกาสได้พูดคุยเรื่องอย่างนี้กัน เวลานี้ได้เคลื่อนไหวกันเอง บางคนในพวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะพูดความสงสัยในใจออกมา แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ข้อมูลมีจำกัด การสนทนาของพวกเขาจึงมีขีดจำกัดด้วยเช่นกัน…แต่ฟังจากคำพูดของชายคนที่พูดขึ้นคนสุดท้ายก็รู้แล้วว่า พวกเขาระวังกันเองด้วย และสาเหตุที่มนุษย์แมงมุมตัวแรกที่หลิงม่อเจอไปไหนมาไหนเพียงลำพัง ก็อาจเป็นเพราะเหตุผลนี้ด้วย

“ลงมือพร้อมกันด้วยล่ะ ถ้าใครช้า ลูกพี่เห็นนะ” ชายที่ถามคนแรกสุดพูดขึ้น

คนที่เหลือต่างเงียบ ไม่พูดอะไรอีก…

คนเหล่านี้ก็ไม่ได้มีพฤติกรรมที่พิเศษอะไร…เพียงแต่ตาข้างหนึ่งของพวกเขา พลันเคลื่อนไหวขึ้นมา ราวกับมีบางสิ่งที่อยู่ลึกเข้าไปในสมองของพวกเขา กำลังจะไต่ออกมาจาก “ถ้ำลึก” มืดมิดข้างนั้น…ขณะเดียวกัน รอบๆ ดวงตาข้างนั้นก็เริ่มมีเส้นเลือดมากมายผุดพรายขึ้นมา เส้นเลือดเหล่านั้นมองแวบแรกเหมือนนิ่งไม่ขยับ แต่มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้ตัว ว่าเลือดในร่างกายกำลังไหลพล่านไปตามเส้นเลือดสู่เบ้าตาข้างที่หายไปข้างนั้น

และเมื่อเลือดไหลเวียนมารวมกัน สีหน้าของพวกเขาก็ยิ่งซีดขาวขึ้นเรื่อยๆ…

ขณะเดียวกัน เสียง “สวบๆ” ที่ล้อมรอบโรงงาน พลันรุกใกล้เข้ามาทันใด

คราวนี้พวกมันพรั่งพรูเข้ามาด้วยความเร็วที่เร็วกว่าเดิม ราวกับระลอกคลื่นที่ซัดสาดมายังโรงงานในชั่วพริบตา

แต่ในตอนนั้นเอง เสียง “ผลุบ” ดังขึ้นทันใด ตามมาด้วยประกายไฟเส้นหนึ่งที่พุ่งพรวดขึ้นมาจากคูน้ำนอกโรงงาน

ท่ามกลางเปลวไฟสะท้อนให้เห็นเงาดำมากมาย เงาเล็กๆ เหล่านั้นกระเด็นกระดอนไปทั่ว ทำให้ผู้พบเห็นอดรู้สึกหนังศีรษะตึงชาไม่ได้

“คิดว่าพวกแกจะเข้ามาได้ง่ายๆ หรอ? อุวะฮ่าฮ่าฮ่า…”

บนหลังคารถยนต์คันหนึ่งที่อยู่หลังกำแพง อวี่เหวินซวนตบควันตามร่างกายให้ดับ พลางหัวเราะสะใจเสียงดัง

ทว่าไม่นาน เขาก็ได้ยินเสียงคำรามที่ดังมาแต่ไกล “เจ้าเฟิ่งจื่อซวน แม่เอ็งรนหาที่ตายหรือไงวะ! ถ้ายังไม่รีบกลับมานายก็ถูกไฟครอกตายไปพร้อมพวกมันเลยก็แล้วกัน!”

อวี่เหวินซวนหันไปมอง พลันสะดุ้งตกใจ

ถึงแม้กำแพงเพลิงลุกรามสำเร็จ แต่ก็ยังมีแมงมุมอีกมากไต่อยู่บนกำแพงเต็มไปหมด ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังมองคลื่นสีดำทะลักเขื่อนอย่างไรอย่างนั้น

“เชี่ยย!”

อวี่เหวินซวนหมุนตัว ติดเปลวเพลิงที่ก้นทันใด หลังจากกระเด้งกระโดดอยู่หลายครั้งก็ไปหยุดอยู่หน้าประตูอาคาร

เขาเพิ่งทิ้งเท้าลงพื้น และดีดตัวขึ้นกลางอากาศพร้อมประกายไฟ ข้างหลังเขาก็มีกำแพงเพลิงลุกโชติช่วงขึ้นอีกแนว

ท่ามกลางประกายไฟลุกโหมโชยกลิ่นน้ำมันเสียดแทงจมูก ขณะเดียวกันก็ส่องสว่างเผยให้เห็นเหล่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตู

“ไฟนี้จะอยู่ได้นานแค่ไหน?” เย่ไคถาม

“อย่างน้อยที่สุดสามนาที อย่างนานที่สุดห้านาที” อวี่เหวินซวนชูนิ้วประกอบ

“นานแค่นี้เองหรอ!”

“ถ้าไม่อย่างนั้นประโยคที่ว่า ทุกวินาทีของคนเราล้วนมีค่า จะจริงได้อย่างไรล่ะ…อีกอย่างถ้าไม่ใช่เพราะพวกซย่าน่า ฉันก็คงไม่เสร็จเร็วขนาดนี้” อวี่เหวินซวนบอก

“ถ้าอย่างนั้น เพราะเชื้อเพลิงไม่พอหรอ…”

ถึงแม้ปากจะพูดคุยไร้สาระ แต่ดูจากสีหน้าแต่ละคนก็รู้ว่าพวกเขาอยู่ในโหมดพร้อมสู้เต็มที่แล้ว…

ก่อนที่จะถอยเข้าไปในอาคารโรงงาน สิ่งที่พวกเขาต้องทำ ก็คือลดจำนวนแมงมุมเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด เพื่อลดภาระให้กับพวกซย่าน่าที่จะเข้ามาร่วมสู่ต่อจากพวกเขา

ภายใต้สถานการณ์ที่เสียเปรียบเรื่องจำนวนอย่างสิ้นเชอง สิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ ก็คือลดจำนวนพวกมันด้วยวิธีแบบขั้นบันได มีแค่วิธีนี้ พวกเขาถึงจะสามารถยืดเวลาออกไปได้มากที่สุด

ที่หลิงม่อบอกว่าถอยเข้าไปในอาคารโรงงาน แล้วค่อยสู้ซึ่งหน้ากับพวกมันอีกที ก็หมายความอย่างนี้นั่นเอง…

พอเห็นว่าระลอกคลื่นสำดำเหล่านั้นซัดสาดเข้ามาจนกลบลานจอดรถมิด และกำลังมุ่งหน้ามายังกำแพงเพลิงแนวนี้ มู่เฉินกลืนน้ำลายอึกใหญ่ บอกว่า “ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าสิ่งที่ฉันกลัวที่สุดในชีวิต ก็คือแมงมุม…”

“เชี่ย!”

“นายคิดว่าฉันชอบหรือไง!”

“อะไรนะ? ยังมีเฟิ่งจื่อที่ไม่ชอบแมงมุมอยู่ด้วยหรอ?”

“อุวะฮ่าฮ่า…เอาไว้เดี๋ยวเรื่องจบแล้วฉันจะเลื่อนขั้นให้นายเป็นเพื่อนร่วมโรคแล้วกัน!”

ท่ามกลางเสียงถกเถียง แมงมุมตัวแรกพลันกระโจนข้ามกำแพงเพลิง…มันพุ่งตัวผ่านพื้นดินที่มีอุณหภูมิด้วยความเร็วสุดขีด ขณะที่เพิ่งเผยโฉมต่อหน้าพวกเขา มันกระโดดสูง และพุ่งเข้าใส่พวกเขาอย่างไม่รีรอ

นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นแมงมุมกินคนในระยะใกล้ขนาดนี้…

เทียบกับแมงมุมธรรมดา แมงมุมประเภทนี้แค่ดูจากภายนอก ก็น่าขนลุกแล้ว

อยู่ห่างกันสิบกว่าเมตร แต่มันกลับกระโดดขึ้นทันที ดูจากรูปการแล้ว ยังคล้ายว่าสามารถพุ่งมาถึงตัวพวกเขาโดยตรงได้ด้วย

พลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งขนาดนี้ น่ากลัวเกินไปแล้ว

สวบ!

มีดบินของเย่ไคหมุนวนอยู่กลางอากาศหนึ่งรอบ จัดการแมงมุมตัวนั้นทันที ขณะเดียวกันบอลเพลิงของอวี่เหวินซวนก็พุ่งตามไปติดๆ จัดการแมงมุมตัวอื่นที่ตามหลังมา

มู่เฉินถือมีดเล่มหนึ่งยืนรออยู่ข้างหลัง เขาคำรามลั่น “ย๊ากกก” และพุ่งเข้าไปยังด้านข้างกำแพงเพลิง เหวี่ยงมีดในมืออย่างบ้าคลั่ง…

สรุปว่า ณ วินาทีนี้ ความคิดทุกคนล้วนเป็นหนึ่งเดียว ฆ่าลูกเดียว…

ฆ่าจนกว่าจะไม่สามารถฆ่าได้อีก!

ทว่าไม่มีใครสังเกตเห็นเลย ว่าผู้ที่ร่วมออกรบแนวหน้ากับพวกเขา กลับมีเจ้าตัวเปี๊ยกอยู่ด้วย…

เฮยซือแกว่งแขนจ้ำม่ำ เส้นไหมสีเงินพลันมุดออกมาจากใต้หมวก จากนั้นระหว่างที่มันวิ่งโซซัดโซเซอยู่นั้น เส้นไหมสีเงินเหล่านั้นก็กำลังเคลื่อนหมุนราวกับเครื่องบดเนื้อ ปัดกวาดเหล่าแมงมุมทุกตัวที่เข้าใกล้มันจนร่วงหล่น

เมื่อเจอแมงมุมที่ยังไม่ตาย มันก็จะกระโจนเข้าไปกระทืบเสริม ขณะเดียวกันยังยิ้มตาหยีแล้วบอกว่า “อย่าใจร้อนๆ อีกเดี๋ยวฉันจะเอาพวกแกมาเสียบไม้…เสียบกับลูกพี่ของพวกแกเป็นไง?…ฉันชอบเรื่องทำนองเจ้านายและสัตว์เลี้ยงอยู่ด้วยกันตลอดไปมากที่สุดแล้วล่ะ…อีกอย่างถ้าพูดถึงสิ่งมีชีวิตที่เอาแน่เอานอนไม่ได้อย่างเจ้านายล่ะก็ ฉันว่าเจ้านายที่ขยับไม่ได้พึ่งพาได้มากกว่านะ…”

“พบแมงมุมฝูงใหญ่บุกเข้ามาทางประตูหน้า…”

“ด้านขวาก็มีแมงมุมฝูงใหญ่…”

“ด้านหลังเองก็มีเหมือนกัน…”

ทีมสังเกตการณ์อัพเดทข้อมูลอย่างต่อเนื่องไม่ให้ขาดตก และจางซินเฉิงที่สามารถกระโดดขึ้นลงได้อย่างสะดวดก็รับหน้าที่กลับมารายงานให้พวกเขารู้

หลังจากได้ยินรายงานจากเขา หลิงม่อที่อยู่บนหลังคาลุกขึ้นยืน ทอดมองออกไปไกล

“ตอนนี้จำนวนของพวกแกยังทำอะไรพวกฉันไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น แผนต่อไปของพวกแกคืออะไร?”

————————————–