บทที่ 319 – พ่อเสือไม่มีลูกเป็นสุนัข (4)
มันน่าเหลือเชื่อมากที่ริมฝีปากเล็กๆเหมือนเชอร์รี่จะส่งเสียงคำรามแบบนี้ออกมาได้ มันเป็นเหมือนกับเสียงฟ้าผ่าที่กระจายอยู่ทั่วท้องฟ้า
ทุกๆคนในท้องพระโรงต่างก็หันหน้ามามองบัลลังก์ด้วยความตกใจ
พวกเขาทุกๆคนไม่ว่าใครที่ยืนอยู่ในท้องพระโรงต่างก็หันไปมองทางราชินีด้วยความตกตะลึงไม่เว้นแม้แต่คิมฮันนาห์ หรือซอกกูนีร์
รูม่านตาของราชินีกำลังเผยความเย็นชาจนน่าหวาดผวาออกมา
ไม่นานนะ-
“ถูกฆ่าในระหว่างสู้กับสหพันธรัฐงั้นหรอ?”
สีหน้าของชาล็อต อาเรียได้ค่อยๆเริ่มบิดเบี้ยวไป
“ปรสิตจะแก้แค้นแทนฉันงั้นหรอ?”
เสียงสั่นๆของเธอดังออกมา
“ไอ้ตัวที่เอาแต่ห่วงตัวเองกล้าดียังไงมาพูดแบบนี้… ทั้งๆที่ไม่เคยรู้ถึงความตั้งใจของพี่รอง… กล้าพูดแบบนี้ออกมาได้ยังไงกัน…!?”
ใบหน้าของราชินีได้เริ่มแปลกไปอย่างชัดเจน ชายคนที่นำฝูงชนที่รู้ได้ถึงบรรยากาศเปลี่ยนแปลงไปได้รีบกระแอ่มออกมา
“ไม่ ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น”
“ฉันบอกให้แกหุบปาก!”
ชายคนนั้นได้รีบปิดปากลงทันที ความเงียบน่าหวาดหวั่นได้เข้าปกคลุม ความวุ่นวายก่อนหน้านี้ได้หายไปจนเหมือนไม่เคยมีมาก่อน
ที่ท้องพระโรงแห่งนี้ได้กลายเป็นสถานที่ที่มีแรงกดดันอันหนักหน่วงจนทำให้แต่ละคนต่างก็ตัวสั่นขึ้น
หลังจากจ้องเขม็งอยู่นาน ชาล็อต อาเรียก็เงยๆโน้มตัวมาข้างหน้า จากนั้นก็พูดขึ้น
“มีเหตุผลอะไร?”
ชายคนนั้นไม่ได้ตอบกลับมา เขาพูดไม่ได้แล้ว ความกล้าก่อนหน้านี้ของเขาถูกบดขยี้ลง และเขาก็มีลางสังหรณ์ว่าหากเขาตอบพลาดไป เขาก็อาจจะลงเอยด้วยจุดจบที่ไม่ดี
เขารู้ซึ้งเป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าเขาอาจจะคิดผิดไป แต่ดวงตาของราชินีคนนี้ดูเหมือนจะมีประกายสายฟ้าปะทุออกมา
“บางคนยอมเสี่ยงชีวิตตัวเอง และยอมแลกชีวิตตัวเองโดยไม่ได้รับการยอมรับใดๆ สำหรับการที่เป็นชาวโลกเหมือนกันแล้ว ทำไมคุณถึงได้เอาแต่ห่วงถึงความปลอดภัยของตัวเองกันล่ะ!?”
“มะ มันไม่ใช่แบบนั้นนะ…”
“ไม่งั้นหรอ!?”
ชายคนนั้นได้ผงะถอยไปกับเสียงตะโกนนี้ เสียงตะโกนถึงขนาดทำให้หูเขาอื้อขึ้นมา
“ทั้งๆที่เทพทั้งเจ็ดได้นำพวกคุณทุกคนมาที่นี่ด้วยเป้าหมายในการช่วยพาราไดซ์…”
ชาล็อต อาเรียได้สูดหายใจก่อนจะพูดต่อ
“ชาวโลกมีหน้าที่ต้องต่อสู้กับปรสิตที่ทำลายสมดุลของโลกใบนี้ นี่เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบที่ชาวโลกทุกๆคนที่เข้ามาในพาราไดซ์ต้องแบบรับไว้ นี่ฉันพูดผิดไปหรือเปล่า?”
“…”
“ฉันกำลังถามว่าฉันพูดผิดไปหรือเปล่า!”
ชาล็อต อาเรียคำรามขึ้นอีกครั้ง
ชายคนนั้นรีบโบกมือปฏิเสธออกมา
“ผะ ผมไม่เคยพูดแบบนั้นเลยนะครับ ท่านพูดถูกครับ เพียงแค่ว่าสงครามนี้เป็นของสหพันธรัฐ?”
“เพียงแค่งั้นหรอ?”
สีหน้าชาล็อต อาเรียได้บิดเบี้ยวไปอย่างกระทันหันง
“นี่เป็นสงครามของสหพันธรัฐงั้นหรอ?”
เมื่อเธอได้ทวนคำซ้ำอีกครั้ง ชายคนนั้นก็เงียบลงไป
“นี่คุณไม่รู้อะไรเลยงั้นหรอ? หรือว่าคุณกำลังถามทั้งๆที่รู้คำตอบอยู่แล้วกันล่ะ?… คงจะเป็นอย่างหลังสินะ”
ชาล็อต อาเรียสบถขึ้นราวกับเธอได้ยินเรื่องน่าขำ
“ก็ได้ ฉันจะบอกคุณให้ฟังนะ ปรสิตได้โจมตีสหพันธรัฐ ซึ่งจุดที่เกิดการบุกรุกอยู่ใกล้กันกับอีวา และในปัจจุบันสหพันธรัฐก็มีมิตรไมตรีอยู่กับมนุษยชาติ หากว่าป้อมปราการไทกอลล่มสลาย เป้าหมายต่อไปของปรสิตก็ชัดเจนมาก”
เธอได้พูดอย่างรวดเร็วโดยไม่ให้มีโอกาสให้ใครแทรก
“เหตุผลที่อีวาอยู่รอดมาได้จนถึงตอนนี้ก็เพราะการมีอยู่ของสหพันธรัฐกับป้อมปราการไทกอลที่เป็นแนวปป้องกัน ที่คุณยืนกรานขนาดนั้นเพราะไม่รู้เรื่องนี้จริงๆงั้นเหรอ?”
“…”
“หากว่าพอกองกำลังปรสิตยกทัพมาที่ป้อมปราการไทกอลคุณจะพูดแบบเดียวกันได้ไหม?”
ชายคนนี้ได้แต่เม้มปากอยู่เงียบๆ
แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่ได้ทำให้ความโกรธของชาล็อต อาเรียลดลง เธอได้พูดต่อโดยไม่หยุดพัก
“นี่คือคำสั่งจากรางวงศ์เพื่อให้พวกคุณไปช่วยอาณาจักรภูติที่ซึ่งแม้กระทั่งสหพันธรัฐก็ยอมแพ้งั้นเหรอ? ราชวงศ์ได้สั่งให้คุณบุกเข้าไปในใจกลางของจักรวรรดิที่ล่มสลายไปงั้นเหรอ? ไม่เลย! ราวงศ์เพียงแค่ให้คำสั่งที่สมเหตุสมผลเท่านั้นเอง เพียงแค่ให้พวกคุณต่อต้านการบุกรุกของปรสิต!”
“…”
“มันจะเป็นการช่วยสหพันธรัฐ และในภาพรวมก็คือการปกป้องอีวาด้วย… แต่นี่มันอะไรกัน? นี่มันเกิดอะไรขึ้น? หากว่าอีวาถูกบุกรุกจะเป็นอีกแบบหนึ่งงั้นเหรอ?”
“อะ องค์ราชินี”
ในตอนนี้เองหนึ่งในชาวโลกที่ยืนอยู่ด้านหลังอย่างสับสนก็ยกมือขึ้น
“ท่านพูดถูก แน่นอนว่าท่านคิดแบบนี้ก็ได้ ท่านได้เกิดและเติบโตในที่แห่งนี้ ผมเข้าใจว่าท่านห่วงใยพาราไดซ์มาก”
ชายหนุ่มคนนี้สุภาพมากกว่าคนก่อนหน้านี้ และมันชัดเจนมากว่าเขากำลังเกลี้ยกล่อมราชินีที่กำลังโมโห
“พวกเราเพียงแค่อยากจะให้ท่านช่วยคำนึงถึงสถานการณ์ที่เราชาวโลกเป็นอยู่ด้วย”
ดวงตาชาล็อต อาเรียยังคงเย็นชา มันเหมือนกับว่าคำพูดของชายคนนี้ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าเรื่องไร้สาระเลย
“พวกเรายังมีบ้านเหมือนกับท่านนะ พวกเราอาจจะมีสถานการณ์ที่เลี่ยงไม่ได้เกิดขึ้น ดังนั้นแล้วท่านยังจะ-”
“สถานการณ์ที่เลี่ยงไม่ได้?”
ชาล็อต อาเรียแค่นเสียงออกมา เธอเบิกตากว้างราวกับจะบอกว่า ‘ช่างน่าขำ’
“ถ้างั้นฉันก็ขอถามด้วยแล้วกัน หากว่าคุณมีธุระส่วนตัวอยู่แล้ว งั้นคุณเข้ามาในพาราไดซ์ทำไม?”
“อะ อะไรนะครับ”
“หากว่าคุณมีภาระส่วนตัวแล้ว ทำไมคุณไม่จัดการมันให้เรียบร้อยก่อนล่ะ?”
ชายหนุ่มได้ม้มปากไป เขารู้ว่าที่ราชินีพูดก็ไม่ผิด มีกฎอยู่ข้อหนึ่งที่ไม่ได้ถูกเขียนไว้สำหรับชาวโลกก็คือการสร้างสภาพแวดล้อมบนโลกให้พวกเขาอยู่ในพาราไดซ์ได้อย่างปลอดภัยในระยะยาว
“ฉันเห็นก็แต่พวกคุณเอาแต่ดิ้นรนหลบหนีหน้าที่ทั้งๆที่อยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินแบบนี้ ฉันไม่ได้พูดลอยๆด้วยะ จำนวนของชาวโลกที่พูดถึงเรื่องธุระส่วนตัว และกลับไปที่โลกคุณจะพุ่งขึ้นสูงมากในช่วงสงคราม ตัวราชวงศ์เองก็ไม่เข้าใจในเรื่องนี้เลย”
ความโกรธของชาล็อต อาเรียมีแต่จะเพิ่มยิ่งขึ้นไปอีก ขณะที่พูดเรื่องแบบนี้เธอก็นึกเรื่องน่าหงุดหงิดได้อีกเรื่องหนึ่ง
“…คงจะมีคนเคยได้ยินชื่อจองซูกันสินะ”
จองซู เธอคือตัวแทนขององค์กรอีวาเกลีนคนก่อน
“เธอก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน เมื่อไหร่ที่มีเรื่องเกิดขึ้น เมื่อไหร่ที่เรามีการเรียกเกณฑ์พล เธอก็จะบอกฉันว่า ‘มีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ เธอไม่มีทางเลือกเพราะมีคนแจ้งเข้ามา ครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวของฉันป่วย และกำลังใกล้จะตาย’ เธอมักหนีออกไปพร้อมข้ออ้างต่างๆมากมาย และจะแอบกลับมาอีกครั้งหนึ่งเมื่อทุกๆอย่างจบลงไปแล้ว”
กรอดด! เสียงกัดฟันได้ดังขึ้นจนเหมือนกับฟันจะแตกได้เลย
“คุณคงจะคิดกันว่าราชวงศ์นี้โง่สินะ!”
“…”
“รวบตัวชาวโลกที่อาศัยอยู่ในอีวา บอกกับพวกเขาถึงสงครามที่ปะทุขึ้น และมีธุระเร่งด่วนที่ต้องกลับไป คุณคิดจริงๆเหรอว่าเราไม่รู้อะไรบ้างเลย?”
“อะ อาจจะมีคนที่มีธุระด่วนจริงๆนะครับ…”
ชายหนุ่มได้หลบสายตา และพึมพำออกมา
“ช่างน่าไม่อาย…!”
ชาล็อต อาเรียหยุดพักหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นเธอก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแน่วแน่
“ก็ได้”
“?”
“อย่างที่คุณพูด อาจจะมีชาวโลกที่มีธุระเร่งด่วนจริงๆ”
จากนั้นเธอก็หันกลับมาเรียกชื่อคนๆหนึ่ง
“คิมฮันนาห์!”
“คะ ค่ะ!”
คิมฮันนาห์ที่จู่ๆถูกเรียกได้ยืดหลังตรงขึ้นมา
ชาล็อต อาเรียพูดต่อทันที
“มอบโองการจากราชวงศ์ให้กับวิหารทั้งเจ็ด”
“โองการ…”
“โอการที่สั่งให้พวกเขาเขียนคำสัตย์สาบานด้วยพลังแห่งเทพใหม่อีกครั้ง”
ทั้งท้องพระโรงได้ฮือฮาขึ้นอีกครั้งเมื่อมีการพูดถึงสัตย์สาบาน
“สัตย์สาบานใหม่จะมีข้อห้ามไม่ใช้ชาวโลกที่ทำการโกหกในเรื่องธุระเร่งด่วยหรือการสร้างสถานการณ์เพื่อหลบหนีจากหน้าที่ไม่ให้ได้กลับเข้ามาที่นี่อีกครั้ง! พวกเขาจะต้องถูกห้ามไม่ให้ได้เหยียบพาราไดซ์อีกเด็ดขาด!”
การประกาศรุนแรงได้ดังออกมาจากปากเธอ
แม้กระทั่งผู้ดูแลจัดการราชวงศ์ก็ยังยืนนิ่งตกตะลึง เขาไม่เคยคิดเลยว่าราชินีจะทำการเคลื่อนไหวอย่างเด็ดขาดแบบนี้
สำหรับกลุ่มชาวโลกแล้ว ใบหน้าของพวกเขาต่างก็เกินกว่าตกตะลึง และถึงระดับที่หวาดผวาไปแล้ว
“นี่ท่านกำลังพูดเรื่องอะไรกัน!?”
“มีปัญหางั้นเหรอ?”
ชาล็อต อาเรียถามกลับเหมือนอีกฝ่ายถามแปลกๆ
“ฉันไม่เข้าใจเลยว่าคุณจะท้วงไปทำไม ฉันก็แค่แนะนำให้ขับไล่ชาวโลกเห็นแก่ตัวที่ละทิ้งหน้าที่เท่านั้นเอง สำหรับชาวโลกที่ทำหน้าที่ควรจะดีใจ และสนับสนุนแผนการนี้ไม่ใช่เหรอ?”
โอเดลเล็ต เดลฟีนที่มองอยู่เงียบๆ มาตลอดได้อุทานขึ้นอย่างประทับใจ เธอไม่คิดเลยว่าราชินีจะมีทักษะการพูดที่ดีแบบนี้
“…เชี้ย! นี่เธอจะข้ามเส้นไปแล้วนะ!?”
ชายหัวแถวได้แผดเสียงคำรามออกมา
“เธอก็ไม่ได้เข้าร่วมสงครามนี้! เอาแต่นั่งอยู่ในจุดที่ปลอดภัยที่สุดคนเดียวตลอดเลยนี่!”
เขาได้เริ่มระบายอารมณ์ออกมาหลังจากที่เห็นว่าการใช้เหตุผลทำอะไรไม่ได้แล้ว
แต่แน่นอนว่านี่ก็เป็นแค่การแผดเสียงร้องของเด็กน้อยเท่านั้น
“แต่เธอกลับมาบอกให้เรา-!”
“ถ้าเรื่องนั้น คุณก็ไม่ต้องห่วงเลย”
ชาล็อต อาเรียแค่นเสียงออกมา
“เพราะราชวงศ์จะเข้าร่วมสงครามนี้โดยตรง”
คำประกาศของราชินีได้ทำให้ชายหนุ่มอ้าปากค้าง
“ราชวงศ์จะทำสงครามภายใต้คำสั่งของฉัน ในทันทีที่นักเวทย์จากฮารามาร์คมาถึง ราชวงศ์จะนำกองกำลังมุ่งสู่ป้อมปราการไทกอลด้วยตัวเอง”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้วชายหนุ่มที่ยกเรื่องธุระส่วนตัวของชาวโลกขึ้นมาพูดได้เริ่มเป็นกังวล เขาเริ่มสงสัยแล้วว่าราชินีคนนี้ใช่คนเดียวกับที่เขาเคยหาข้อมูลมาหรือเปล่า
แต่ไม่ว่าจะยังไงสิ่งสำคัญก็คือพวกเขากำลังจะถูกลากเข้าสู่สงครามแล้วจริงๆ
ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องหาทางออกให้ได้
และขณะที่เขากำลังยกเรื่องของกองทัพอีวาที่พูดได้ว่าเป็นเพียงทหารอาสาซะมากกว่า…
“ช่างเป็นคำพูดที่น่าฮึกเหิม!”
ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังกังวาลขึ้น
ชายคนหนึ่งที่รูปร่างสันทัดได้เดินเข้ามาพร้อมเสียงรองเท้า
สีหน้าซอกกูนีร์สดใสขึ้นทันที
“คุณคือ…”
เมื่อสายตาทุกๆคนได้หันไปจับจ้องชายคนนี้
“โจฮัน นิโคลาถวายบังคมองค์ราชินี!”
หลังจากเผยชื่อออกมาแล้ว ชายคนนี้ได้เดินตัดผ่านกลุ่มชาวโลก และไปคุกเข่าอยู่ตรงหน้าราชินี
“ข้ารับใช้คนนี้ได้กลับมาหลังจากได้รับข้อความจากองค์ราชินี!”
ครั้งหนึ่งอีวาเคยมีกองทัพทหารม้าอันเลื่องชื่อ และในตอนนี้ผู้บัญชาการกองทัพทหารม้าก็กลับมาแล้ว
รอยยิ้มบางได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าชาล็อต อาเรีย เธอได้ยินเรื่องที่กษัตริย์ฟีไฮทำลงไปแล้ว ผู้บัญชาการคนนี้มาได้ถูกเวลามากจริงๆ
“ไม่เจอกันนานเลยนะ”
“ผมรู้สึกละอายใจจริงๆ ถึงแม้ว่าข้ารับใช้คนนี้จะอยากมาให้เร็วกว่านี้ แต่กว่าจะรวบรวมสหายเก่าได้ก็ต้องใช้เวลาอยู่บ้าง ได้โปรดอภัยให้ข้ารับใช้คนนี้ด้วย”
“ไม่จำเป็นต้องขอโทษเลย ฉันมั่นใจว่าคุณคงได้ยินข่าวแล้ว ทั้งๆที่คุณเพิ่งจะมาถึง แต่คุณก็ต้องเตรียมตัวเดินทางแล้ว”
“ครับ องค์ราชินี! ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ไม่เคยมีวันไหนเลยที่ข้ารับใช้ของท่านหยุดคิดเรื่องการกลับมาต่อต้านปรสิต!”
โจฮัน นิโคลาได้เหลือบมองกลุ่มชาวโลกที่ยืนอยู่ถัดจากเขา และยิ้มออกมา
“ข้ารับใช้ของท่านพร้อมรับคำสั่ง! กองทัพเรากำลังรออยู่ที่ด้านนอกแล้ว!”
ชาล็อต อาเรียได้เชิดคางขึ้นอย่างยินดี จากนั้นก็หันกลับไปถามชาวโลกที่ยืนอยู่
“คุณมีอะไรจะพูดอีกหรือเปล่า?”
เมื่อเห็นใบหน้าชายคนนั้นบิดเบี้ยวไป เธอก็ยิ้มเยาะขึ้น เธอไม่เห็นเขาในสายตาอีกแล้ว
“ฮ่าวอวิ่น”
ชายสวมชุดสูทดำเงยหน้าขึ้น
“ฉันได้ยินว่าคุณคือหัวหน้าของซันเหอ และเป็นเพื่อนสนิทของตัวแทนวัลฮาลา”
“ครับ องค์ราชินี”
“เช่นนั้นฉันขอสั่งให้คุณร่วมมือกับสมาคมนักเวทย์ และสมาคมนักฆ่าเพื่อช่วยวัลฮาลา นับจากจุดนี้ไปให้ทำการปิดผนึกประตูมิติกลับสู่โลก เฉพาะผู้ที่ได้รับอนุญาตจากราชวงศ์เท่านั้นถึงจะใช้ประตูมิติได้ และในหมู่พวกเขาหากมีคนที่ปฏิเสธคำสัตย์สาบานก็ห้ามออกไปเด็ดขาด”
“น้อมรับคำสั่ง”
ฮ่าวอวิ่นก้มหน้ารับคำสั่งนิ่งๆ
“ผู้ดูแล”
ซอกกูนีร์ได้รีบตั้งสติทันทีที่ถูกเรียก แม้ว่าเขาจะรีบอ้าปากขึ้น แต่ก็ไม่มีเสียงใดๆออกมา ที่หางตาของเขายังเริ่มแดงขึ้นอีกด้วย
มันช่วยไม่ได้จริงๆ ภาพของชาล็อต อาเรียในตอนนี้ได้ทับซ้อนกับราชาองค์ก่อนไปแล้ว
เขารอช่วงเวลานี้มานานแค่ไหนนะ? นานขนาดไหนที่เขาอยากจะเห็นภาพๆ นี้?
“เปิดคลังทำสัญญากับกลุ่มพ่อค้าดงชุน และพยายามจัดเสบียงให้สุดความสามารถ”
ไม่ มันยังเร็วเกินกว่าที่จะร้องไห้ยินดี
นี่มันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น
ราชินียังเติบโตได้มากยิ่งกว่านี้อีก
“…ครับ องค์ราชินี”
หลังจากพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเต็มไปด้วยอารมณ์แล้ว เขาก็โค้งลง
ชาล็อต อาเรียได้สูดหายใจ และจับพนักพิงแน่น
“ขอมอบโองการให้กับทุกคน”
และจากนั้นราชินีแห่งอีวาก็ลุกขึ้นจากบัลลังก์
“จะไม่มีการถอนการเกณฑ์พลใดๆ”
เธอได้ตอกตะปูปิดฝาโลงให้จบ
“แม้ว่าอดีตเราจะเคยชี้คมดาบใส่กัน แต่ตอนนี้สหพันธรัฐก็คือมิตรที่มนุษยชาติขาดไปไม่ได้”
“…”
“ดังนั้นแล้วอีวาจะให้การช่วยเหลือสหพันธรัฐตามคำขอ ทันทีที่เตรียมการเสร็จสิ้น เราก็จะมุ่งหน้าสู่ป้อมปราการไทกอลทันที”
เธอได้มองไปรอบๆตัวด้วยสายตาที่สง่างามกว่าเคย จากนั้นก็จับจ้องไปที่กลุ่มชาวโลก
“สำหรับผู้ไม่ทำตามคำสั่ง และกระจายข่าวเท็จหรือก่อการประท้วงใดๆ…”
ดวงตาราชินีได้เป็นประกายสายฟ้าขึ้นอีกครั้ง
“พวกเขาจะถูกลงโทษอย่างหนักภายใต้นามแห่งอาเรีย!”
การประกาศสงครามของอีวาครั้งนี้ได้ต่างไปจากที่ราชินีปรสิตคิดเอาไว้…
“เข้าใจไหม?”
….โชคชะตาที่ราชินีปรสิตได้คำนวณเอาไว้ได้เริ่มคลาดเคลื่อนออกไปแล้ว
***
ในเวลาเดียวกัน
ทีมทำภารกิจที่มุ่งหน้าไปช่วยอาณาจักรภูติกำลังเดินอยู่ในสถานที่ที่ไม่รู้จัก
รอบตัวพวกเขาเงียบสนิท มีหมอกสีขาวปกคลุมวิสัยทัศน์จนหมด และเส้นทางที่พวกเขาเดินก็ชวนให้รู้สึกสับสน
มีเรื่องดีเพียงอย่างเดียวนั่นคือไม่มีการโจมตีจากมอนสเตอร์พุ่งเข้ามา
แต่นี่ก็เป็นธรรมดา ไม่ว่าจะมนุษย์หรือมอนสเตอร์ที่เข้ามาในที่แห่งนี้ก็คงจะคลั่งไปในเวลาไม่นาน
สิ่งนี่ไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพราะความกังวลหรือความรู้สึกกลัวต่อสิ่งที่ไม่รู้จัก
อย่างแรกเลยคือสติพวกเขาได้เริ่มหลุดลอยไป ไม่ว่าซอลจีฮูจะพยายามตั้งสมาธิแค่ไหน เขาก็บอกไม่ได้เลยว่าเขากำลังเดินอยู่บนพื้นดิน ก้อนเมฆ หรือทะเลกันแน่
มันไม่ใช่แค่การรับรู้ด้านสัมผัสเท่านั้น แต่มันรวมถึงสัมผัสทั้งห้าด้วย ความรู้สึกด้านทิศทางและเวลาของพวกเขากลายเป็นผิดเพี้ยนไปจนหมด
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงหรือสิบชั่วโมงแล้วกันแน่? หรือบางทีก็อาจจะผ่านไปเป็นวันแล้วก็ได้
ซอลจีฮูได้มองไปที่หญิงสาวผมขาวที่นำทางอยู่ด้วยสายตาที่พร่ามัว จากเท้าที่เดินอยู่ของเธอดูกะเผลกเล็กน้อยทำให้มันชัดว่าเธอเหนื่อยแล้ว
‘ฉันคิดว่าเราน่าจะมาถึงแล้วนะ’
เมื่อทั้งทีมได้มองลงมาจนเนินเขา จุดศูนย์กลางดูไม่ได้ไกลเลยสักนิด มันควรจะใช้เวลาแค่สามสี่ชั่วโมงก็มาถึงได้แล้ว
แต่ว่าทันทีที่พวกเขาเข้ามาในหมอก อาน่า ฮาเลฟก็เลือกเดินเลี้ยวแทน แม้กระทั่งในตอนนี้เธอก็กำลังเดินอ้อมด้วยเช่นกัน
เมื่อซอลจีฮูถามขึ้น เธอได้ตอบว่ามีรอยแยกขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า ถึงซอลจีฮูจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่เขาก็บอกได้ว่าการเดินตรงต่อไปจะทำให้พวกเขาหลงทาง
“อึก-”
อาน่าที่กำลังมองไปรอบๆได้ชะงักไป เธอได้งอตัวยกมือขึ้นปิดปาก
นี่เป็นครั้งที่สิบสองแล้วที่เธออาเจียนออกมา ยิ่งเข้าใกล้ศูนย์กลางเท่าไหร่อาการเธอก็จะยิ่งหนักมากขึ้น
มาเรียได้รีบร่ายเวทย์ และเข้ามาลูบหลังเธอทันที
“อาน่า…?”
ซอลจีฮูได้หยุดลงก่อนจะเดินไปไกลเกินไป มีสายตาบางอย่างมองมาที่ด้านหลังของเขา มันไม่ใช่ของพรรคพวก แต่เป็นบางอย่างที่ให้ความรู้สึกไม่ดีเลยสักนิด
อีกด้านหนึ่งเขาก็ได้ยินเสียงบางอย่างถูกลากไปตามพื้น
‘อะไรกั?’
ขณะที่เขากำลังจะหันไปมองตามความรู้สึกที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนนี้เอง
“อย่ามองนะ”
อาน่าที่ฝืนพยุงตัวเอาไว้ได้รีบเตือนออกมา
ซอลจีฮูได้รีบหยุดการกระทำเอาไว้ได้กลางคัน แต่ยังไงก็ตาม
“มันคืออะไรกัน?”
โชฮงที่ไม่ได้ยินเสียงได้หันไปจ้องจุดนั้นแล้ว
วูบบ! แทบจะทันทีได้มีลหนาวพัดเข้ามาจนทำให้เธอตาเบิกกว้าง และแขนขาอ่อนแรงลง
“อึก-”
โชฮงได้ทรุดตัวลงไปคุกเข่ากรีดร้องออกมา
“โชฮง!”
“อ๊าาา…”
โชคดีที่มันไม่ได้อันตรายถึงชีวิต เธอเพียงแค่สั่นเหมือนกับใบไม้ท่ามกลางพายุเท่านั้น
“เมื่อกี้นี้…”
“เธอไม่เป็นอะไรนะ?”
“ฉะ ฉันไม่รู้ ฉันรู้สึกเหมือนจู่ๆมีบางอย่างทะลวงเข้ามาเขย่าวิญญาณฉัน…”
เมื่อโชฮงเงยหน้าขึ้นขอคำอธิบาย อาน่าก็ส่ายหัวออกมา
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“แต่เธอมองไม่เห็นมันหรอ?”
“ฉันมองเห็น แต่ว่า…”
ดวงตาอาน่าได้หรี่แคบลง
“หากให้บอกถึงรูปลักษณ์ภายนอก มันได้ถูกปกคลุมด้วยเสื่อฟางตั้งแต่หัวจรดเท้า และมันกำลังลากถุงผ้าที่เหมือนกับจะใส่ศพเล็กๆของเด็กเอาไว้อยู่”
สีหน้าทุกๆคนได้หมองลงไป ไม่เคยมีใครได้ยินเรื่องเกี่ยวกับมอนสเตอร์ลักษณะนี้มาก่อนเลย
“ฉันคิดว่า… มอนสเตอร์นี่ก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกับเรา มันถูกดึงเข้ามาในปรากฏการณ์แห่งมิติช่องว่าง และในตอนนี้กำลังเดินไปทั่วโดยไร้จุดหมาย”
“ถ้างั้นแล้วมันพุ่งเข้าใส่ฉันทำไม?”
“ฉันก็ไม่แน่ใจ บางทีอาจจะขอให้ช่วย? แต่มันจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อมันมองเห็นหรือรู้สึกถึงเราได้เท่านั้น”
“…เวรเอ้ย”
โชฮงได้แต่ถอยไปกับคำอธิบายที่น่าขนลุก และพูดออกมา
“ฉันก็ไม่อยากจะพูดหรอกนะ”
คาซุกิที่ฟังอยู่เงียบๆได้พูดขึ้น
“แต่ว่าฉันก็เคยมีประสบการณ์ที่คล้ายกันนี้มาก่อนในระหว่างที่เดินอยู่ที่นี่ มีบางอย่างที่มีใบหน้าคล้ายมนุษย์ยื่นออกมาจากต้นไผ่ และปากของมันก็ขยับไปมาเหมือนกับกำลังบอกให้ฉันเข้าไปหา”
“อย่าได้เข้าใกล้มันเด็ดขาด”
อาน่าได้พูดขึ้นอย่างอ่อนล้า
“ไม่ว่าจะเห็นหรือได้ยินอะไร คุณต้องทำแค่ตามรอยเท้าฉันเท่านั้น หากว่าคุณหลุดจากเส้นทางแม้แต่นิด ฉันก็รับประกันไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
ประกายตาโชฮงได้ปรากฏความเหนื่อยล้าออกมา ไม่ใช่แค่เธอเท่านั้น แต่ทุกๆคนเป็นเช่นเดียวกัน
ร่างกายของพวกเขาไม่อาจจะปรับตัวเข้ากับความรู้สึกแปลกใหม่นี้ได้ มันไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะรู้สึกเหนื่อย
ส่วนที่ลำบากที่สุดก็คือพวกเขาไม่รู้เลยว่าพวกเขาอยู่ห่างจากจุดหมายมากแค่ไหน
‘เป็นแบบนี้ไม่ได้…’
ตอนนี้เองซอลจีฮูถึงได้เข้าใจถึงความอันตรายของที่นี่จริงๆ
เมื่อเหนื่อยก็จำเป็นต้องพัก แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพักในที่แบบนี้ ยังไงก็ตามมันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะถอยกลับ แล้วค่อยเข้ามาใหม่ไม่ได้
สุดท้ายแล้วก็มีแค่สองทางเลือกเท่านั้น ยอมล้มเลิกและถอยไปก่อน หรือไปต่อให้ถึงจุดหมาย
‘พวกเราต้องรีบหาทางออก…’
ตอนนี้ป้อมปราการไทกอลอาจจะอยู่ในระหว่างการปะทะรุนแรงแล้วก็ได้ เนื่องจากทันทีที่พวกเขาเข้ามาในหมอกทำให้คริสตัลสื่อสารไม่ทำงาน พวกเขาจึงไม่ได้รู้เรื่องราวสถานการณ์ภายนอกเลย
นี่คือเหตุผลที่ทำให้เขาอยากจะรีบยิ่งกว่านี้ แต่การที่ทำอะไรไม่ได้เลยมันมีแต่ทำให้เขาหงุดหงิด
“ไปกันเถอะ”
อาน่าได้หันกลับไป
“คุณโอเคนะ?”
“พูดตามตรงก็ไม่ค่ะ ยิ่งพวกเราเดิน ฉันก็ยิ่งอยากจะออกจากที่นี่… แต่หากคิดถึงเป้าหมายของภารกิจแล้ว นี่คือปรากฏการณ์ที่ดี”
“หมายความว่าไงครับ?”
“ยิ่งความรู้สึกรุนแรงเท่าไหร่นั่นก็หมายความว่าเราใกล้ถึงศูนย์กลางแล้วใช่ไหมล่ะ?”
อาน่าได้ให้ความหวังออกมา
‘…ใช่แล้ว’
เมื่อได้ยินแบบนี้ซอลจีฮูก็หยุดความหงุดหงิดในใจไว้
เขารู้ดีว่าปรสิตจะต้องเคลื่อนไหว เพราะแบบนี้เขาจึงได้เตรียมทุกอย่างไว้แล้ว
แน่นอนว่ามันคงไม่พอจะทำให้เขาไม่ต้องกังวลเลย แต่ว่าเขาเชื่อในพรรคพวกที่เขาฝากที่เหลือไว้
ไม่สิ เขาต้องเชื่อเท่านั้น
เมื่อค่อยๆตั้งสติกลับมาได้แล้ว ซอลจีฮูก็สั่งเดินทางต่อ
เขาได้สะบัดความคิดไม่จำเป็นออกไป และควบคุมเท้าอันเฉื่อยชาเดินหน้าฝ่าหมอกหนาต่อไป