ตอนที่ 837 จบเรื่อง

Elixir Supplier

“เกิดอะไรขึ้น? เทพธิดาต้องมีความสามารถล้างลําไส้แน่ๆ ต่อไปถ้าใครท้องผูกขึ้นมา พวกเขาก็แค่มาสารภาพรักกับเทพธิดา ก็จะหายเป็นปกติแล้ว!”

“ปากนายนี่มันสกปรกจริงๆ! มันเป็นความผิดของพวกเขาเองต่างหาก มีตั้งหลายคนที่ไปสารภาพรักกับเทพธิดา ทําไมถึงมีแค่สองคนนั้นที่ราดกางเกงล่ะ?”

“นั่นก็จริง เป็นพวกเขาเองที่ผิดปกติ มันไม่ได้เกี่ยวกับเทพธิดาเลยสักนิด!”

“เทพธิดาคนนี้ไม่ใช่ใครก็เข้าหาเธอได้!”

“ไม่จริงมั้ง? เรามาคอยดูพวกเขาเงียบๆสักสามนาทีดีกว่า”

“อ่อ สองคนนั้นชื่อว่าอะไรนะ? ฉันอยากรู้จักพวกเขา!”

“นายกําลังคิดจะโรยเกลือลงบนแผลคนอื่น นายกําลังหาเรื่องโดนต่อยอยู่ใช่ไหม?”

“นายคิดแบบนั้นได้ยังไง?”

“เพื่อน ฉันรู้ว่าพวกนายกําลังคิดอะไรอยู่ รอพรุ่งนี้ พวกนายก็จะโดนถามเหมือนกัน!”

ตอนกลางวัน ซูเสี่ยวซวีรู้สึกว่าเพื่อนในห้องเรียนบางคนมองมาที่เธอด้วยสายตาแปลกๆ

“มีเรื่องอะไรกันเหรอ?”

“เธอยังไม่รู้เรื่องอีกเหรอ?” เพื่อนสนิทของเธอถามด้วยความแปลกใจ

“ฉันไม่รู้ เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”

“ตอนนี้ เธอดังมากเลยล่ะ” เพื่อนของเธอพูด “ลองเข้าไปดูในเว็บบอร์ดของมหาลัยสิ พวกเขากําลังพูดเรื่องเธอกันอยู่”

หลังเลิกเรียน ซูเสี่ยวซวีเข้าไปดูในเว็บบอร์ด ตอนนี้เองที่เธอเข้าใจแล้วว่า ทําไมทุกคนถึงมองมาที่เธอด้วยสายตาแปลกแบบนั้น

มันเป็นความผิดของเชียนเชิง! เธอทําหน้ามุ่ย

“เห็นไหม? เทพธิดาไม่พอใจแล้ว”

“เดี่ยวหลังจากนี้ ฉันจะบอกให้เพื่อนของฉันลบโพส
“ดี ทําเลย”

เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน โพสที่มีการคลิกเพื่อเข้าชมจํานวนมากก็ได้หายไป

ดูเหมือนว่าเรื่องจะจบลงแล้ว

หวังเย้าทํายาสมุนไพรและไปส่งเสี่ยวซวีเข้าเรียน ครั้งนี้ ไม่มีใครกล้าเข้ามาหาเรื่องอีกแล้ว

“พรุ่งนี้ผมต้องกลับแล้วนะ”

“เร็วขนาดนี้เลยเหรอคะ?”

“ใช่ ผมอยากคุยเรื่องของเรากับพ่อแม่ของเธอด้วย” หวังเย้าพูด

“ดีค่ะ” ซูเสี่ยวซวีรู้สึกอบอุ่นหัวใจและมีความสุข

หวังเย้าเป็นฝ่ายเอ่ยเรื่องการคุยกับพ่อแม่ของเธอ เกี่ยวกับเรื่องของพวกเขาอย่างเป็นทางการ

“เรากลับไปกินข้าวเย็นที่บ้านดีไหมคะ? คุณพ่อก็กลับบ้านวันนี้เหมือนกัน”

“ได้สิ”

เย็นวันนั้น ที่บ้านตระกูลซู…

ซูเซี่ยงฮวา, ซงรุ่ยปิง, ซูเสี่ยวซวี, และหวังเย้าต่างอยู่กันครบ มันเป็นการทานอาหารในครอบครัวที่ดูอบอุ่น

หลังจบมื้อค่ํา หวังเย้าได้พูดเรื่องการแต่งงานระหว่างเขากับซูเสี่ยวซวีขึ้นมาบนโต๊ะอาหาร ต่อหน้าผู้ใหญ่ทั้งสอง เขาต้องการจะแต่งงานกับซูเสี่ยวซวี วันเวลาถูกวางเอาไว้หลังจากที่ซูเสี่ยวซบีเรียนจบจากมหาวิยาลัย ซูเซี่ยงฮวากับซงรุ่ยปิงต่างก็ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องนี้ พวกเขาเพียงบอกให้หวังเฝ้าดูแลซูเสี่ยวซวีเป็นอย่างดี เพียงเท่านั้นเรื่องก็เป็นอันจบ

ฟ้ว! หลังออกมาจากบ้านตระกูลซูแล้ว หวังเย้าก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ความจริงแล้วเขาค่อนข้างกังวล เขากลัวว่า พ่อแม่ของซูเสี่ยวซวีจะปฏิเสธออกมา แต่ทั้งสองกลับมีเหตุผลมาก บางทีอาจเป็นเพราะว่า พวกเขาคิดถึงความสุขของลูกสาวเป็นสําคัญ

หลังจากหวังเย้ากลับไปแล้ว ซูเซี่ยงฮวากับซงรุ่ยปิงก็กลับไปที่ห้องของพวกเขา

“ตกลงกันง่ายๆแบบนี้จะดีเหรอคะ?” ซงจุ้ยปิงถาม

“ดีสิ ไม่ใช่ว่าพวกเขาแค่บอกไว้ก่อนเหรอ? เสี่ยวซวีชอบเขา แล้วผมก็คิดว่า หวังเย้าคนนี้เป็นคนดีคนหนึ่ง” ซูเซี่ยงฮวาพูด

“ค่ะ” ซงรุ่ยปิงพูด

“ทําไม? พวกเขาดูไม่เหมาะสมกันเหรอ?”

“เปล่าหรอกค่ะ” ซงรุ่ยปิงพูด

ในใจของเธอนั้น เธอไม่ได้เห็นด้วยนัก ตอนแรก เธอคิดว่าขอแค่ลูกสาวของเธอชอบเขาก็พอแล้ว แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจจริงๆ เธอกลับหวังว่าลูกสาวของเธอจะหาคนที่มีชาติตระกูลที่เหมาะสมกัน ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเธอคิดว่า ลูกสาวของเธออาจจะต้องแต่งงานไปอยู่ในหมู่บ้านกลางเขา ที่ห่างจากที่นี่ไปหลายพันไมล์แล้ว เธอก็รู้สึกไม่พอใจเรื่องการแต่งงานนี้ขึ้นมาทันที

“น้ําเสียงของเธอดูไม่เต็มใจเลย ไม่คิดจะพูดความจริงกับผมเลยเหรอ?”

“ก็นิดหน่อยค่ะ คุณคิดว่า ถ้าเสี่ยวซวีแต่งงานกับเขาแล้ว เธอจะต้องตามเขากลับไปที่ห่ายชิว ไปอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆกลางเขาแบบนั้นใช่ไหมคะ?”

“หมู่บ้านเล็กกลางเขามีอะไรไม่ดีตรงไหน?” ซูเซี่ยงฮวาถาม “อากาศสดชื่น, เป็นธรรมชาติ, และดีต่อสุขภาพ ถ้าว่างผมก็อยากไปเที่ยวที่นั่นเหมือนกัน”

“เอาเถอะค่ะ ฉันก็แค่คิดว่ามันทุกอย่างมันไม่สมบูรณ์แบบพอก็เท่านั้น” ซงรุ่ยปิงพูด “ขอแค่เสี่ยวซวียินดีที่จะทํา ฉันก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว”

“มันดึกมากแล้ว เรานอนกันเลยดีไหม?”

“ค่ะ”

หลังจากที่หวังเข้านอนค้างที่ปักกิ่งอีกหนึ่งคืน เขาก็บินไปห่ายชิวในเช้าวันต่อมา และเดินทางกลับเหลียนชานในตอนบ่าย เมื่อเขากลับไปถึงที่บ้าน มันก็เป็นเวลาอาหารเย็นพอดี

“ทําไมลูกไม่บอกแม่ก่อน ว่าลูกจะกลับมาตอนไหน?” จางซิวหยิงถาม “แม่จะได้เตรียมอาหารไว้เพิ่มอีกสักสองสามจาน”

“ผมไม่ใช่แขกนะครับ แล้วผมก็ของกินติดมาด้วย” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม เมื่อเขาจากไป เขามีเพียงกระเป๋าใบเล็กกับเสื้อผ้าไม่กี่ชุดเท่านั้น แต่ขากลับของเขากลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซูเสี่ยวซวีได้เตรียมกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยของกินและของฝากสําหรับพ่อแม่ของหวังเย้า

“เป็ดย่าง?”

“ครับ เสี่ยวซวีซื้อให้” หวังเย้าพูด “เธอซื้อทุกอย่างมาใส่ไว้ในกระเป๋า โดยเฉพาะของขวัญสําหรับพ่อกับแม่”

“เด็กคนนี้ใส่ใจจริงเชียว!”

“แม่ครับ พ่อครับ ที่ไปครั้งนี้ ผมได้ไปเจอพ่อแม่ของเสี่ยวซวีมาด้วย” หวังเย้าพูด “ผมบอกพวกเขาเรื่องที่ผมต้องการแต่งงานกับเสี่ยวซวี”
“ดีสิ แล้วพ่อแม่ของเสี่ยวซวีว่ายังไงบ้าง?”

“พวกเขาตกลงรึเปล่า?”

“พวกเขาตกลงครับ” หวังเย้าตอบ

“เยี่ยมไปเลย! แล้วลูกตั้งใจจะแต่งงานกันเมื่อไหร่ล่ะจ๊ะ?”

“คือว่า ผมได้คุยกับเสี่ยวซวีแล้ว” หวังเย้าพูด “รอเธอเรียนจบแล้ว ผมก็จะแต่งงานกับเธอ คงต้องรอไปอีกสักสองปีครับ”

“นานขนาดนั้นเลยเหรอ!”

“ใช่ครับ”

“พอได้แล้ว พวกลูกตกลงกันได้ก็ดีแล้ว” หวังเฟิงฮวาพูด

ตอนนี้ ลูกสาวของพวกเขาแต่งออกไปแล้ว ในใจของพวกเขาจึงเอาแต่คิดเรื่องของลูกชาย ในเมื่อลูกชายของพวกเขามีความสามารถมากขนาดนี้ พวกเขาจึงไม่คิดว่ามันเป็นปัญหาตรงไหนที่จะแต่งลูกสะใภ้อย่างซูเสี่ยวซวีเข้ามา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความน่ารักน่าเอ็นดูของซูเสี่ยวซวี เธอเป็นเด็กสาวที่วิเศษ พวกเขาจงกลัวว่าจะเสียเธอไป

“มากินข้าวกันดีกว่า”

“กินข้าวๆ”

หลังจากทานอาหารเสร็จ หวังเย้าก็กลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน

บนเขาเงียบสงัด ซานเซียนวิ่งส่ายหางลงมาหาเขาที่ตีนเขา

“ซานเซียน ถ้าคราวหน้าฉันกลับมาดึก นายก็ไม่ต้องลงมารับฉันที่ข้างล่างนี้หรอกนะ นอนอยู่ในบ้านของนายไปเถอะ”

โฮ่ง!โฮ่ง!โฮง!

“ทําไมนายถึงนอนไม่หลับล่ะ? หรือว่าฉันจะหาคู่ให้นายดี?”

โฮง!โฮง!

“เสี่ยวเฮย เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”

โฮ่ง!

ไป!

หวังเย้าเร่งฝีเท้าและตามซานเซียนขึ้นไปบนเขา หลังจากที่เห็นเสี่ยวเฮยที่กําลังลอกคราบแล้ว เขาถึงได้โล่งใจ
“มันกําลังคราบ มันเป็นเรื่องปกติ”

โฮ่ง!

“เอาล่ะ มันไม่มีอะไรหรอก พรุ่งนี้เสี่ยวเฮยก็ไม่เป็นไรแล้ว กลับไปนอนเถอะ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม

ค่ําคืนผ่านไปอย่างปกติสุข วันต่อมา เสี่ยวเฮยก็นอนขดตัวอยู่ที่หน้าบ้านสุนัขในตอนเช้าตรู่ ดูเหมือนว่ามันกําลังสื่อสารกับซานเซียนอยู่ และร่างกายของมันก็หนาขึ้น

หวังเย้าลุกขึ้นมาและออกไปดูเสี่ยวเฮย เขาพูดว่า “อืม มันโตขึ้นอีกหน่อยแล้วสินะ”

เสี่ยวเฮยเลื่อยเข้าไปที่เท้าของหวังเย้าและหมุนรอบตัวเขาสองรอบ

สุนัขและงูดําตามหลังเขาไป บนยอดเขา ลมหนาวของฤดูใบไม้ร่วงเย็นเยียบ หวังเย้าอยู่เพียงลําพัง เขาฝึกฝนวิชาหมัดมวยโบราณ โบกสะบัดมือไปรอบๆ

ฟู้ว!

มันเป็นเช้าตรู่เช่นกัน ในเขตทะเลทรายที่ไกลออกไปหลายพันไมล์ ฝุ่นสีเหลืองถูกลมแรงพัดกระจายไปทั่วท้องฟ้า ลมแรงได้พัดพาทรายให้ลอยขึ้นไปในอากาศ

ภายในบ้านหลังหนึ่ง ชายร่างผอมนั่งอยู่ตรงหน้าต่างและมองดูทรายที่อยู่ด้านนอก

“ลมแรงอีกแล้ว!” เขาพูด

ในความคิดของเขา พายุทรายที่หลายคนเกลียดชัง กลับให้ความรู้สึกสวยงามและมีเสน่ห์ในสายตาของเขา

กริ้ง!กริ้ง! มือถือบนโต๊ะส่งเสียงดัง เขาหยิบมันขึ้นมาดูและเห็นว่าเป็นเบอร์แปลก เขาไม่คิดจะกดรับสาย แต่มือถือก็ยังคงดังอยู่อย่างนั้น

“ฮัลโหล”

“นายคิดได้รึยัง?”

“ฉันชอบดูพายุทรายที่นี่”

“อ้อ พวกเขาออกมาแล้วนะ”

เกิดความเงียบขึ้น ปลายสายถูกกดวาง

“เป็นคนดื้อด้านจริงๆ ไม่รู้ว่าครั้งนี้เขาจะทําเรื่องบ้าอะไรอีก”

ที่ชั้นล่าง มีรถคันหนึ่งที่มีสองคนนั่งอยู่ในนั้น

“ที่นี่เหรอ?”

“ใช่ อยู่ในตึกนี้ ฉันแน่ใจ”

“เฮ้อ นี่มันยุ่งยากจริงๆ คนคนนั้นเป็นหมอพิษเลยนะ” ชายที่นั่งอยู่ที่นั่งด้านหลังหาวออกมา

“ขอบคุณ”

“ด้วยความยินดี ฉันมีอีกข่าวจะบอกด้วย เมื่อวาน ฉันคันดูบันทึกของกล้องวงจกปิดที่อยู่แถวนี้ แล้วก็เจอคนที่นายคิดไม่ถึงด้วยล่ะ”

“ใครเหรอ?”

“ประธานบริษัท”

“เชี่ย นายพูดจริงเหรอ?” ชายที่นั่งอยู่เบาะหลังผุดลุกขึ้น “เขายังไม่ตาย”

“ดูเองแล้วกัน” ชายที่นั่งด้านคนขับโยนมือถือไปด้านหลัง ในนั้นมีรูปภาพหนึ่งอยู่ด้วย

“รีบลบด้วยล่ะ”
“มันเป็นเขาจริงๆด้วย!” ชายที่นั่งเบาะหลังคิ้วขมวดมุ่น