ตอนที่ 296 คนผู้นี้เป็นบ้าไปแล้วหรือ (1)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

ถึงอย่างไรแม้องค์ชายหกจะสิ้นชีพแต่วัยเยาว์ แต่ก่อนองค์ชายแปดองค์นี้ยังมีองค์ชายสี่ที่เกิดแต่อนุเช่นกัน กระทั่งบัดนี้องค์ชายเจ็ดที่เกิดแต่จักรพรรดินีก็ยังมิได้แต่งตั้งเป็นอ๋อง เกียรติยศจึงเป็นของเขาแต่ผู้เดียว

“ฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บเพื่อแค้วน ข้าน้อยที่เป็นเพียงราษฎรชาวยุทธจักรได้ร่วมโต๊ะเดียวกับฝ่าบาทก็เป็นเกียรติใหญ่หลวงแล้ว” การใช้คำพูดเกรงอกเกรงใจตามมารยาทชิวเยี่ยไป๋เก่งกาจอยู่แล้ว

แม้ไป๋หลี่หลิงเฟิงจะฟังคำยกยอปอปั้นมานักต่อนัก แต่ถึงอย่างไรชิวเยี่ยไป๋ก็มีฐานะไม่เหมือนกัน เขารู้ดีว่าศักดิ์ฐานะของสำนักหอซ่อนกระบี่ในยุทธจักรไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ต่างก็พูดกันว่าชาวยุทธจักรพูดจาตรงไปตรงมา เมื่อได้ยินคำยกย่องออกจากปากของเจ้าสำนักหอซ่อนกระบี่ ในใจเขายังคงยินดีอย่างยิ่ง

และไป๋หลี่หลิงเฟิงก็ไม่ปิดบังความยินดีนี้ ยิ้มกว้างอย่างเปิดเผย “คุณชายสี่มิต้องเกรงอกเกรงใจต่อข้า แม้ข้าจะเป็นคนในราชวงศ์แต่ติดตามกองทัพมานานปี นับถือจอมยุทธ์ในยุทธจักรเสมอ ในกองทัพใต้ร่มธงก็มีชาวยุทธจักรไม่น้อยที่สร้างความดีความชอบจากการศึก รับใช้แว่นแคว้น หากได้รับการสนับสนุนจากเจ้าสำนักชิวจึงจะเป็นเกียรติกับข้า”

คราวนี้ชิวเยี่ยไป๋ฟังความนัยออกแล้ว นางจึงยกกาหยกขึ้นรินชากุ้ยฮวาจอกหนึ่งยื่นให้ไป๋หลี่หลิงเฟิง กล่าวเนือยๆ ว่า “ฝ่าบาทล้อเล่นแล้ว ชิวเยี่ยไป๋เป็นเพียงคนหยาบกร้านธรรมดา และบัดนี้ยังเป็นผู้ต้องหาที่ถูกตามล่าทั่วแผ่นดิน ไหนเลยจะมีคุณสมบัติรับใช้ฝ่าบาท”

ไป๋หลี่หลิงเฟิงรับจอกชากุ้ยฮวาจากมือนาง ถึงกับไม่กริ่งเกรงว่านางจะวางยาพิษแม้แต่น้อย และจิบไปอึกหนึ่งกล่าวอย่างจริงจังว่า “คุณชายสี่เป็นผู้ต้องหาคดีไหวหนานหรือไม่ เจ้ากับข้าย่อมรู้อยู่แก่ใจ ขอเพียงคุณชายสี่นำหลักฐานออกมา ข้ายินดีช่วยคุณชายสี่ล้างมลทินทุกเวลาและหาฆาตกรตัวจริงให้ได้ ไม่เพียงจะคืนความบริสุทธิ์ให้เจ้าทั้งยังรับรองว่า…”

“ยังรับรองว่าต้องได้ตำแหน่งคืนหรือไม่ก็เลื่อนตำแหน่ง” ชิวเยี่ยไป๋ขัดคำของเขา ดวงตาที่แฝงรอยยิ้มคมวาวเป็นพิเศษ “แต่ฝ่าบาทแปดท่านลืมไปแล้วหรือ ตอนแรกท่านส่งหัวหน้ากองมั่วเสียนผู้นั้นไปหลอกเอาสมุดบัญชีในมือข้า และยังพยายามจะยิงข้ากับคนของข้าในทุ่งร้างไหวหนานด้วย”

ไป๋หลี่หลิงเฟิงแลดูดวงตาคู่งามที่วาววับของนาง รอยยิ้มบนใบหน้าที่เปิดเผยยิ่งเข้มกว่าเดิม “ที่แท้คุณชายสี่ยังจำได้ แต่ข้าลืมไปแล้ว”

ชิวเยี่ยไป๋พลันเข้าใจแล้วว่าที่แท้ความหน้าด้านไร้ยางอายของเจ้าวิปริตไป๋หลี่ชูถ่ายทอดจากสายโลหิต เป็นรากเหง้าของตระกูล พี่น้องทั้งครอบครัวเหมือนกันหมด!

“อย่างนั้นหรือ น่าเสียดายที่ข้าจำได้อย่างแม่นยำ แต่ไหนแต่ไรสำนักหอซ่อนกระบี่ข้าหาเรื่องใครน้อยมาก ขอเพียงผู้อื่นไม่มาราวีข้าก็ไม่เคยตอแยใคร ดังนั้นบัญชีรายนี้ย่อมต้องจดจำให้ชัดเจน” ชิวเยี่ยไป๋กล่าวเนิบนาบ

ความจริงนางออกจะนับถือความสามารถของพวกราชนิกุลที่พอถูกฉีกหน้าก็ไม่ยอมรับใดๆ เลย นี่ก็เป็นสุดยอดวิชาประเภทหนึ่ง

ไป๋หลี่หลิงเฟิงแลดูนาง เลิกคิ้วกล่าวว่า “ข้ายังคิดว่าคุณชายสี่มาเพื่อร่วมมือกันเสียอีก นึกไม่ถึงว่าจะมาคิดบัญชี แต่ข้าออกจะแปลกใจว่า เจ้าจะคิดบัญชีกับข้าอย่างไร สิบก้าวฆ่าหนึ่งคน ไม่เหลือใครเลยในพันลี้ ข้าชักอยากรู้อยากเห็นความสามารถของยอดมือสังหารที่เล่าขานกันสักหน่อย”

รอยยิ้มยังไม่สร่าง ทำเหมือนกำลังสนทนากับสหายเก่า ซ้ำยังแฝงด้วยความอยากรู้อยากเห็น ราวกับมิกังวลเลยว่าชิวเยี่ยไป๋อาจแทงกระบี่ทะลุอกเขาจริงๆ

ชิวเยี่ยไป๋เหมือนหูทวนลมไม่ได้ยินคำพูดแฝงแววเย้ยหยันนี้ เพียงรินน้ำชาให้ตนเองจอกหนึ่งอย่างสบายอารมณ์แล้วจิบช้าๆ คำหนึ่ง รู้สึกได้ว่ากลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวากรุ่นไปทั่วปาก

อืม กุ้ยฮวาที่นี่เป็นสุดยอดดอกกุ้ยฮวาจริงๆ เจ้าไป๋หลี่ชูต้องนิยมชมชอบกลิ่นหอมละมุนเช่นนี้แน่…

เหมือนกับกลิ่นหอมดอกเหมยเลือดที่ลอยล่องในบ่อสุราวันนั้น

นางหยุดครู่หนึ่ง มิรู้ว่าเพราะอะไรตนเองจึงดันไปนึกถึงเจ้าจิตวิปริต นางน่าจะคิดใช้กุ้ยฮวาทำเป็นขนมกุ้ยฮวาให้หลวงจีนโง่อาเจ๋อจึงจะถูก ไม่ควรไปนึกถึงไป๋หลี่ชูสักหน่อย

อาจเพราะกลิ่นหอมนี้ละมุนเกินไปกระมัง

ไป๋หลี่หลิงเฟิงมองดูผู้เยาว์เบื้องหน้าที่มีท่าทางเหม่อลอยต่อหน้าต่อตาตนและนึกขัน กวาดตามองผิงหนิงที่สีหน้าไม่สู้ดีเหมือนอยากพูดอะไร เห็นผิงหนิงถอยออกไปเขาก็ไม่ร้อนใจแม้แต่น้อย และจิบชาต่ออย่างสบายอารมณ์ ราวกับเขาเพียงเชื้อเชิญสหายเก่ามาร่วมจิบชาเท่านั้น

นางส่ายหน้าแล้วจิบชากุ้ยฮวาอีกคำจึงกล่าวช้าๆ ว่า “ไม่ ฝ่าบาทเดาไม่ผิด ข้ามาเจรจาร่วมมือกับฝ่าบาทจริง”

ไป๋หลี่หลิงเฟิงงุนงง เลิกคิ้วเสียงยาว “คุณชายสี่?”

ชิวเยี่ยไป๋แลดูเขาผ่านควันกรุ่นของจอกน้ำชา โค้งมุมปากกล่าวว่า “ฝ่าบาทแปดอยากเจรจาร่วมมือกับข้ามิใช่หรือ แม้ฝ่าบาทจะเคยใช้คนไปสังหารข้า แต่คนที่คิดจะฆ่าข้าให้ตายก็ใช่ว่าจะมีฝ่าบาทคนเดียว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไยจึงไม่ลองเลือกคนที่ดูดีหน่อยมาร่วมมือกันเล่า ท่านใจกล้ามาก ข้าชื่นชมคนใจกล้า”

ไป๋หลี่หลิงเฟิงฟังแล้วจ้องชิวเยี่ยไป๋ครู่หนึ่ง หรี่ตาลงเล็กน้อย “เจ้าอยากได้อะไร”

ชิวเยี่ยไป๋แลดูไป๋หลี่หลิงเฟิง พลันหัวร่อเบาๆ “ถ้าข้าบอกว่าอยากได้ฝ่าบาทแปดล่ะ”

คำพูดพล่อยปากเช่นนี้ทำเอาบริเวณศาลาเก๋งเงียบลงในพริบตา

บรรดาองค์รักษ์ที่สำรวมอยู่รอบบริเวณศาลาเก๋งพริบตานั้นสีหน้าไม่สำรวมอีกต่อไป ความโกรธแค้นทั้งมวลกลายเป็นตื่นตระหนก สายตาที่มองดูชิวเยี่ยไป๋เหมือนกำลังมองคนบ้า

คนผู้นี้บ้าไปแล้วหรืออย่างไร

ถึงกับกล้ากระลิ้มกระเหลี่ยต่อเจ้านายของตน

ต่อให้ในหมู่ชนชั้นสูงของอาณาจักรเคยมีเรื่องประเภทชายชอบชายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เป็นที่เปิดเผย ราษฎรสามัญธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ ผู้ต้องหาที่ถูกประกาศจับคนหนึ่ง ถึงกับพูดจาไร้ยางอายเช่นนี้ต่อโอรสของอาณาจักร

ไป๋หลี่หลิงเฟิงแลดูชิวเยี่ยไป๋ แววตาเปลี่ยนจากตะลึงเป็นคมกริบสุดจะหยั่งคะเน จากนั้นกวาดตาใส่นางจากศีรษะจรดเท้ารอบหนึ่ง

ชิวเยี่ยไป๋แทบจะรู้สึกได้ถึงคาวเลือดอำมหิตในแววตาของเขา เหมือนดาบคมกริบเล่มหนึ่งที่กรีดเฉือนนางทุกตารางนิ้วจากศีรษะถึงเท้า

นั่นเป็นแววตาที่มีเฉพาะตัวของนักรบที่เคยสัมผัสคาวเลือดของผู้คนนับมิถ้วน เป็นกลิ่นอายอำมหิตของผู้เคยเห็นกระดูกเลือดเนื้อแหลกละเอียด เลือดนองเป็นท้องธาร คนที่มัวแต่ลอบหักเล่ห์ชิงเหลี่ยมในราชสำนักไม่มีทางมีแววตาเช่นนี้

ไป๋หลี่หลิงเฟิงเห็นชิวเยี่ยไป๋ภายใต้แววตาคมกริบและเปี่ยมด้วยพลานุภาพยังคงประคองจอกจิบน้ำชาอย่างเฉยเมยราวกับไม่รู้สึกรู้สา จึงยิ้มน้อยๆ กล่าวช้าๆ ทีละคำว่า “คุณชายสี่ เจ้ากำลังล้อเล่นหรือ”

เขาแปลกใจจริงๆ คนผู้นี้ถือดีอย่างไรถึงกับกล้ากล่าวคำพูดลบหลู่เช่นนี้ต่อราชโอรสคนหนึ่ง

ชิวเยี่ยไป๋ช้อนตามองเขา ครู่หนึ่งก็เงยหน้ามองฟ้า ถอนใจกล่าวว่า “โอ ใช่แล้ว ข้าน้อยล้อเล่น ชีวิตยากเย็นเช่นนี้หนอ เกิดเป็นคนต้องมีอารมณ์ขันบ้าง”

รอยยิ้มที่มุมปากของไป๋หลี่หลิงเฟิงแข็งตัว “…”

แววตาของเหล่าองครักษ์เปลี่ยนเป็นความแน่ใจ…ไม่ผิด คนผู้นี้เป็นบ้าจริงๆ

“เจ้าหยอกเย้าข้าหรือ” ไป๋หลี่หลิงเฟิงแลดูชิวเยี่ยไป๋แววตายิ่งเกรี้ยวกราดเย็นชา

ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มให้ไป๋หลี่หลิงเฟิงอย่างอบอุ่นเฉิดฉัน “หากข้าว่าใช่ ฝ่าบาทก็จะไม่คิดจะร่วมมือกับข้าใช่หรือไม่”

พริบตานั้นไป๋หลี่หลิงเฟิงตัวแข็ง หลังจ้องนางครู่หนึ่งแล้ว มุมปากก็ค่อยๆ ยกขึ้นเป็นรอยโค้งเย็นชา “ชิวเยี่ยไป๋ เจ้าใจกล้าจริงๆ”

นางพยักหน้า กล่าวอ้อยสร้อยว่า “ใช่แล้ว ข้าใจกล้า ไม่เช่นนั้นวันนี้คงไม่มานั่งจิบชากับฝ่าบาทที่นี่ ฝ่าบาทก็ใจกล้าเช่นกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้คนส่งจดหมายถึงข้า ท่านกำลังเตือนข้ามิใช่หรือ”