เฟิงเป่ยเฉินเดือดดาล โดย Ink Stone_Fantasy

เมื่อได้ฟังแบบนี้ อวิ๋นเป้าก็ค่อนข้างแปลกใจ ความหมายแฝงในคำพูดของเขาก็คือไม่อยากทิ้งฝ่ายแดนเซียน แต่ก็อยากจะวางกับดักอันหรูอวี้ ดูแล้วสงสัยจะเป็นความแค้นส่วนตัว พุ่งเป้าไปที่อันหรูอวี้คนเดียว จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เหมียวอี้ เจ้ากับอันหรูอวี้มีความแค้นอะไรกันแน่? ไม่เคยได้ยินว่าพวกเจ้ามีความแค้นอะไรกันนะ ทำไมนางคิดจะเล่นงานเจ้าให้ถึงตาย แล้วทำไมเจ้าถึงอยากวางกับดักนางอีก?”

ควรไปถามคำถามนี้กับหลานสาวเจ้ามากกว่านะ! เหมียวอี้พึมพำในใจ เป็นเรื่องยากที่จะเอ่ยปากพูดความจริงๆ นี่ไม่ใช่ปัญหาว่าเสียเปรียบหรือไม่เสียเปรียบ เพราะมันทำลายเกียรติศักดิ์ศรีของลูกผู้ชาย ถ้าผู้หญิงเสียเปรียบในด้านนี้ก็ยังพอไปร้องทุกข์ได้ แต่ถ้าเป็นผู้ชาย ส่วนใหญ่ต่อให้ตีให้ตายก็ไม่ยอมบอก เขาถึงได้ปฏิเสธว่า “ข้าไม่ได้มีความแค้นอะไรกับนาง ข้าไม่ได้บอกด้วยว่าจะวางกับดักนาง ข้าแค่อยากจะกดดันให้คนที่อยู่เบื้องหลังเผยตัว!”

เมื่อเห็นเขาไม่ยอมบอก อวิ๋นเป้าก็รู้ว่าถามไปก็ไร้ประโยชน์ จึงเปลี่ยนประเด็นสนทนา “งั้นเจ้าจะทำยังไง? ถ้าฝ่ายแดนเซียนก่อเรื่องขึ้นมา ประมุขปราสาทอย่างเจ้าจะหลบอยู่ข้างๆ ไม่โผล่หน้าออกไปร่วมด้วยเหรอ?”

เหมียวอี้ตอบเสียงเรียบว่า “ข้าพลาดไปติดกับดัก ก็เหมือนกับชุยหย่งเจินและจีเหม่ยเหมยในตอนนี้ ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย… ข้าจะหลบอยู่ที่นี่สักพัก ถ้าออกไปตอนนี้ สองฝ่ายนั้นจะไม่มาล้วงคำตอบจากข้าหรอกเหรอ? รอให้ฝั่งนั้นก่อเรื่องไปสักพัก ข้าจะดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

“เจ้าเด็กนี่ชั่วใช้ได้เลย อยู่ที่แดนเซียนนั่นแหละดีแล้ว แดนมารไม่ต้อนรับเจ้าหรอก” อวิ๋นเป้าเดาะลิ้นพลางส่ายหน้า แล้วก็ตบบ่าเขา “เอาตามนี้ก่อนแล้วกัน ฟู่หยวนคังยังรอเล่นหมากล้อมกับข้าอยู่!” พูดจบก็หันตัวเดินออกไป

“อาแปด ส่งยอดฝีมือไปจัดการ อย่าให้คนอื่นจับได้นะ”

“รู้แล้วน่า”

พอประตูปิด เหมียวอี้ก็หันตัวมาคุยกับฉินเวยเวยที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ “เวยเวย ถ้าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล ข้าจะจัดคนให้คุ้มกันส่งเจ้ากลับไปก่อน”

ฉินเวยเวยไม่ได้คัดค้าน เพียงพยักหน้าเงียบๆ ในใจรู้สึกเป็นทุกข์นิดหน่อย รู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นตัวถ่วง ช่วยเหลืออะไรไม่ได้เลยสักนิด

ตอนนี้นับว่านางเข้าใจแล้ว ว่าครั้งนี้ตัวเองไม่ควรจะมาด้วยเลย เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ตนจะยื่นมือเข้าไปแทรกได้

นางเริ่มคิดไม่ตก ในปีนั้นที่เหมียวอี้ยังมีวรยุทธ์บงกชขาว แต่ก็ไปออกล่าที่ทะเลดาวนักษัตรแล้ว ตอนหลังก็ไปเข้าร่วมการปราบจลาจลทะเลดาวนักษัตร ตีฝ่านักพรตหนึ่งแสนแปดหมื่นคนออกมาได้ ตอนวรยุทธ์อยู่ระดับบงกชเขียวก็ไปเสี่ยงภัยที่ทะเลทรายม่านเมฆาอีก แถมในระหว่างนั้นยังผ่านเรื่องราวต่างๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่รู้ว่าผ่านเรื่องอันตรายมาแล้วตั้งกี่ครั้ง กว่าจะเดินขึ้นสู่ตำแหน่งอย่างทุกวันนี้

วรยุทธ์ของนางในตอนนี้เหนือกว่าเหมียวอี้ในปีนั้น นางอยู่ระดับบงกชแดงแล้ว แต่กลับพบว่าเมื่อออกจากอาณาเขตที่ตัวเองอยู่ นางก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ไม่ได้สำคัญอะไรทั้งนั้น เมื่อนึกย้อนดูตัวเองในหลายปีที่ผ่านมา ก็พบว่าไม่เคยผ่านเรื่องเสี่ยงอันตรายอะไรเลย ครั้งที่เสี่ยงอันตรายที่สุดก็ยังเป็นเหมียวอี้ที่ช่วยชีวิตนางไว้ ถ้านางได้ประสบพบเจอเรื่องราวเหมือนกับเหมียวอี้ ต่อให้เป็นแค่เรื่องเดียวก็ตาม เกรงว่านางอาจจะตายไปแล้วก็ได้

พอได้เห็นเหมียวอี้เจรจาเตรียมการเมื่อครู่นี้ จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าตัวเองไร้ความสามารถ ล้วนมีคนอื่นคอยปูทางให้นางเดินตลอดทาง

“เออใช่ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ กลับไปแล้วห้ามบอกใครนอกจากฮูหยิน ทางที่ดีอย่าเอ่ยเรื่องนี้กับผู้การหยาง ไม่อย่างนั้นเขาต้องเกลียดข้าตายแน่นอน” เหมียวอี้พูดเสริมอีกว่า เดิมทีเมื่อครู่นี้ไม่อยากจะคุยกันต่อหน้านาง อยากจะถ่ายทอดเสียงคุยกัน แต่ก็เปลี่ยนใจเพราะไม่อยากให้นางคิดมาก

“รับทราบค่ะ!” ฉินเวยเวยเอ่ยรับ

หลังจากอวิ๋นเป้าออกไปแล้ว ก็เรียกท่านทูตสองคนเข้ามา แล้วยื่นแหวนเก็บสมบัติให้ทั้งสอง หลังจากสั่งงานแล้ว ท่านทูตทั้งสองก็พยักหน้า แล้วหายไปในความมืดอย่างเงียบๆ

อวิ๋นเป้ายืนหัวเราะเบาๆ อยู่ภายใต้เงามืด แล้วเอามือไขว้หลังเดินกลับมาที่โถงหลัก พอเห็นฟู่หยวนคังยังนั่งจิบน้ำชาอย่างเนิบนาบ เขาก็เดินเข้ามานั่งลงตรงข้ามอย่างไม่รีบร้อน

ฟู่หยวนคังเหล่ตาพูดเหน็บแนมว่า “แค่ไปเยี่ยวทำไมใช้เวลานานขนาดนี้?”

“ถือโอกาสขี้ด้วย!” อวิ๋นเป้ายื่นไปฝ่ามือไปฝั่งตรงข้ามโต๊ะอย่างไร้ความอาย แหย่ไปที่จมูกของฟู่หยวนคังอย่างร่าเริง “ไม่เชื่อเจ้าก็ดมดูสิ ยังมีกลิ่นขี้อยู่เลย”

ฟู่หยวนคังเอนศีรษะหลบไปข้างหลัง แล้วขมวดคิ้วมองดูน้ำชาที่อยู่ในมือ ชั่วพริบตาเดียวก็หมดอารมณ์ดื่ม ที่นี่มีทั้งขี้มีทั้งเยี่ยว จะยังดื่มลงได้อย่างไร วางถ้วยน้ำชาไว้ข้างๆ แล้ว…

ที่สำนักงามวิจิตร การเฝ้ายามวันนี้เหมือนจะเข้มงวดเป็นพิเศษ เฟิงเป่ยเฉินอยู่ที่นี่แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เข้มงวด มีศิษย์สำนักงามวิจิตรเฝ้าอยู่ทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง จะได้ไม่มีใครบุกเข้ามาโดยพลการ

ตำหนักใหญ่เงียบขรึมอยู่ภายใต้แสงโคมไฟสว่างพร่างพราว โคมไฟหลายดวงที่แขวนอยู่บนลานกว้างสั่นไหวตามแรงลม

ซวบ! เสียงเบาๆ ทำลายความเงียบ แหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งกระเด็นอยู่บนลานกว้างสองสามครั้ง

เงาคนหลายคนเหาะออกจากความมืดทันที มีสองคนยืนอยู่ตรงหน้าแหวนเก็บสมบัติที่ตกพื้น บางคนก็เดินไล่ไปทางที่แหวนเก็บสมบัติที่กระเด็นมา ถลันตัวไปค้นหาตรงตำแหน่งที่อาจจะเป็นไปได้ แต่กลับไม่พบเงาใครแม้แต่คนเดียว

จนกระทั่งหลายคนเดินส่ายหน้ากลับมา แหวนเก็บสมบัติวงนั้นก็ถูกเก็บขึ้นมาแล้ว คนแรกที่ตรวจดูข้างในตกใจจนยืนนิ่งอยู่กับที่

“มีของอะไร?” มีบางคนหยิบจากมือเขามาดู แล้วก็งุนงงหาคำตอบไม่ได้เช่นกัน

ไม่นาน พวกเขาก็รีบเหาะไปยังภูเขาด้านหลัง แล้วนำของส่งให้โม่หมิงและฮูหยินเหมียวจวินอี๋

หลังจากเห็นของที่อยู่ข้างใน สองสามีภรรยาก็ตกใจไม่เบา สีหน้าเปลี่ยนไปแล้ว เหมียวจวินอี๋ตะคอกถามว่า “เอาสิ่งนี้มาจากไหน?”

ศิษย์คนแรกที่เก็บได้ตอบอย่างระมัดระวังว่า “ฮูหยิน มีคนโยนสิ่งนี้ลงบนลานกว้าง ไม่ทราบว่าใครขว้างมา ไปตรวจหาแล้วก็ไม่พบใครเลย เกรงว่าคนที่ลงมือคงจะวรยุทธ์เหนือกว่าพวกเรามาก”

“เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร? อยู่ดีๆ ท่านทูตทั้งสี่จะตายโดยไร้สาเหตุได้อย่างไร? อาศัยวรยุทธ์อย่างพวกเขา ต่อให้สู้กับท่านปราชญ์ก็ต้องมีเสียงการต่อสู้ดังมาบ้าง!” โม่หมิงเรียกได้ว่าทำสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริด

อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่เหมียวจวินอี๋เองก็ไม่รู้ว่าสี่คนนี้ไปทำอะไรมา

“เรื่องนี้จะปิดบังไว้ไม่ได้! ไป รีบไปพบท่านปราชญ์!” เหมียวจวินอี๋ก็เริ่มกลัวแล้วเหมือนกัน นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ท่านทูตแดนอู๋เลี่ยงตายไปสี่คนในรวดเดียว แม้แต่เสียงต่อสู้ก็ไม่ได้ยิน ทั้งยังตายที่สำนักงามวิจิตรด้วย เรื่องนี้ใหญ่โตจริงๆ นางดึงแขนสามี แล้วทั้งสองก็รีบร้อนออกไปด้วยกัน

ที่เขตต้องห้ามด้านหลัง หลังจากทั้งสองรายงานแล้วก็รีบเข้าไปรอให้ตำหนักเล็กหลังหนึ่ง

เฟิงเป่ยเฉินที่ได้รับรายงานเดินเนิบนาบออกมา พอเห็นทั้งสองก็ถามเสียงเรียบว่า “มีเรื่องอะไรทำไมรีบร้อนจะเข้าพบขนาดนี้?”

“ท่านปราชญ์ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!” เหมียวจวินอี๋ใช้สองมือมอบแหวนเก็บสมบัติวงนั้นให้

หลังจากเฟิงเป่ยเฉินได้เห็นแล้ว ดวงตาทั้งสองข้างก็พลันฉายแววดุดัน เรียกได้ว่าสีหน้าเดือดดาลมาก บนตัวเผยกลิ่นอายสังหาร จ้องทั้งสองอย่างเย็นเยียบพลางตวาดถาม “เรื่องอะไรกัน?”

“มีคนนำมาโยนไว้บนลานกว้างของตำหนักหลักค่ะ พวกลูกศิษย์ออกไปค้นหาแล้วแต่ก็ไม่พบใคร…” เหมียวจวินอี๋เล่าสถานการณ์คร่าวๆ ทันที นางเองก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสังหารบนตัวท่านอาจารย์ สุดท้ายก็พูดเสริมอย่างตัวสั่นงันงก “ศิษย์เองก็ไม่ทราบว่าเรื่องอะไร ด้วยวรยุทธ์อย่างท่านทูตทั้งสี่ ไม่น่าเชื่อว่าศิษย์จะไม่ได้ยินเสียงการต่อสู้ใดๆ เลย”

เฟิงเป่ยเฉินกวาดตามองทั้งสองแวบหนึ่ง แล้วนำแหวนเก็บสมบัติในมือขึ้นมาดูอีก เขาย่อมรู้ว่าทั้งสองไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึก ท่านทูตทั้งสี่ไปทำเรื่องอะไรมา คนที่รู้มีน้อยมากจนนับนิ้วได้ เพื่อไม่ให้เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น จึงไม่ได้บอกใครในสำนักงามวิจิตรเลย

สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือ ข้างในมีแค่ศพของท่านทูตสี่คน แต่กลับไม่เห็นชุยหย่งเจินลูกศิษย์ของตัวเอง และไม่เห็นชุยหย่งเจินกลับมาด้วย ข้างในเกิดปัญหาใหญ่แล้ว เขารู้สึกเหมือนติดกับดักและโดนคนปั่นหัว

“ใครก็ได้!” เฟิงเป่ยเฉินตะโกนเรียก

ด้านนอกมีหญิงรับใช้คนหนึ่งรีบสาวเท้าเดินเข้ามา เฟิงเป่ยเฉินสั่งว่า “ให้ฟู่หยวนคังมาพบข้าเดี๋ยวนี้!”

“เจ้าค่ะ!” หญิงรับใช้รีบเดินออกไป

เหมียวจวินอี๋กับโม่หมิงยืนก้มหน้าอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าหายใจแรง กล้าแค่แอบมองเฟิงเป่ยเฉินที่กำลังเดินไปเดินมาอย่างโมโหเดือดดาล

ส่วนอวิ๋นเป้าในตอนนี้ก็ยังเล่นหมากล้อมอยู่กับฟู่หยวนคัง ผู้ติดตามคนหนึ่งของอวิ๋นเป้าเดินเข้ามา นำน้ำชาร้อนมาเปลี่ยน รินน้ำชาใส่ถ้วยของอวิ๋นเป้าจนเต็มแล้ว รินจนเกือบล้น จากนั้นก็เดินมารินน้ำชาตรงหน้าฟู่หยวนคัง

อวิ๋นเป้าเหลือบมองน้ำชาที่อยู่ในถ้วยตัวเอง ในดวงตาฉายแววยิ้มเย้ย นี่คือสัญญาณที่นัดกันไว้ รินน้ำชาเต็มถ้วยแสดงว่าเรื่องราวเป็นที่น่าพึงพอใจ แสดงว่าเรื่องที่สั่งไว้ถูดจัดการเรียบร้อยแล้ว

ในตอนนี้เอง หญิงรับใช้ที่เฟิงเป่ยเฉินส่งมาก็แจ้งทหารยามแล้วรีบร้อนเดินเข้ามา ถ่ายทอดเสียงบอกฟู่หยวนคังว่า “ท่านปราชญ์ต้องการพบท่านเจ้าค่ะ”

ฟู่หยวนคังขมวดคิ้ว ถ่ายทอดเสียงถามว่า “มีเรื่องอะไร?”

“ไม่ทราบค่ะ แต่ท่านปราชญ์เดือดดาลมาก ต้องการให้ท่านไปพบเดี๋ยวนี้” หญิงรับใช้ตอบ

อวิ๋นเป้ายกถ้วยน้ำชาขึ้นมาสูดเข้าปาก แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เรื่องลึกลับอะไร ทำไมไม่พูดต่อหน้า?”

“ไม่เล่นแล้ว!” ฟู่หยวนคังปล่อยตัวหมากที่กำอยู่ในมือลงบนกระดาน ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปทันที

อวิ๋นเป้าวางถ้วยน้ำชาบนโต๊ะ แล้วพูดเหน็บแนมว่า “มารดาเจ้าเถอะ ฟู่หยวนคัง เจ้าล้อข้าเล่นใช่มั้ย? ไอ้หลานอย่างเจ้ามายั่วยุให้ข้าเล่นหมากล้อมด้วย ตอนนี้บทจะเลิกก็เลิก! ไม่เล่นแล้วก็ได้ แต่ยอมแพ้แล้วส่งสิ่งของเดิมพันเอาไว้เสียดีๆ ไม่อย่างนั้นก็อย่าคิดจะออกจากที่นี่เลย!”

ฟู่หยวนคังไม่ได้พูดอะไรมาก พลิกฝ่ามือแล้วดีดแหวนเก็บสมบัติเข้ามา

อวิ๋นเป้ารับมาดูในมือ พอนับคร่าวๆ ว่ามีผลึกทองหนึ่งพันล้านครบ ก็โบกมือพูดทันที “ฝีมือการเล่นสู้คนอื่นไม่ได้ก็อย่าโมโหสิ ตอนนี้รู้ถึงความร้ายกาจของข้าแล้วสินะ รีบไสหัวไปเถอะ”

ฟู่หยวนคังโมโหจนกัดฟันกรอด ตัวเองชนะมากกว่าแพ้แท้ๆ ตอนนี้ยังจะโมโหอะไรอีก แต่จนใจที่ทำอะไรไม่ได้ ท่านปราชญ์กำลังเร่งรัด ไม่มีเวลามาใช้สิ้นเปลืองกับอวิ๋นเป้า เขาสะบัดแขนเสื้อ แล้วเร่งฝีเท้าเดินออกจากโถงหลักอย่างรวดเร็ว

พอลูกน้องสี่คนที่อยู่ข้างนอกเห็นเขาออกมา ก็เข้ามาล้อมทันที ฟู่หยวนคังถ่ายทอดเสียงถามตอบกับพวกเขาพักหนึ่ง จากนั้นก็โบกมือ “ไป!”

พวกเขาเหาะขึ้นฟ้าไปทันที มุ่งหน้าไปยังสำนักงามวิจิตร แล้วเหยียบลงที่นอกตำหนักใหญ่ตรงเขตหวงห้ามโดยตรง ฟู่หยวนคังเดินสาวเท้าเข้าไปคนเดียว เห็นเหมียวจวินอี๋กับโม่หมิงยืนก้มหน้าอยู่ในตำหนักแล้ว เห็นเฟิงเป่ยเฉินกำลังเดินไปเดินมาด้วย

เขาก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะ “ท่านปราชญ์ ไม่ทราบว่าเรียกพบด้วยเรื่องอะไรขอรับ?”

“เจ้าดูเอาเองสิ!” เฟิงเป่ยเฉินโยนแหวนเก็บสมบัติออกมา

ฟู่หยวนคังทำสีหน้าสงสัย หลังจากได้เห็นแล้วก็ตกตะลึงพรึงเพริด เงยหน้าถามว่า “เอ่อ… นี่… ท่านปราชญ์ เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”

เฟิงเป่ยเฉินมองไปทางเหมียวจวินอี๋ เหมียวจวินอี๋เข้าใจความหมาย เล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ ทันที

เฟิงเป่ยเฉินพูดต่ออีกว่า “ฝ่ายนภาแดนมารเป็นอย่างไร?”

ฟู่หยวนคังรีบตอบว่า “ข้าเล่นหมากล้อมอยู่กับอวิ๋นเป้าตลอด ระหว่างนั้นเขาออกไปข้างนอกครู่เดียว แต่ก็ชั่วประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น ไปกลับอย่างไม่รีบเร่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าไปต่อสู้มาเลย ข้าทำตัวลับๆ ล่อๆ เพื่อหลอกให้ท่านทูตใต้บังคับบัญชาของเขาไปเฝ้าอยู่รอบๆ ลูกน้องของข้าก็เห็นพวกเขาอยู่ตลอด ต่อให้มีคนอื่นออกไป แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสังหารท่านทูตทั้งสี่ของเรา ยิ่งไปกว่านั้นศิษย์น้องก็ยังอยู่ ถ้าสู้กันขึ้นมาจริงๆ ก็ยังไม่รู้เลยว่าใครจะฆ่าใครกันแน่ เป็นไปไม่ได้ที่อวิ๋นเป้าจะทำเรื่องนี้”

พอพูดถึงตรงนี้ เหมียวจวินอี๋กับโม่หมิงก็สบตากันแวบหนึ่ง พอจะฟังออกแล้วว่ามีปฏิบัติการลับอะไรบางอย่างที่พวกเขาไม่รู้

“ที่สำคัญคือตอนนี้ไม่รู้ว่าศิษย์น้องหญิงของเจ้าเป็นตายร้ายดียังไง!” เฟิงเป่ยเฉินที่เดินไปเดินมาพลันหยุดฝีเท้า แล้วกล่าวเสียงเข้ม “เจ้าพาคนไปดูตรงสถานที่เกิดเหตุเดี๋ยวนี้ พาไปคนเยอะๆ เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด จวินอี๋ก็ไปด้วย”