ตอนที่ 355

The Divine Nine Dragon Cauldron

“เจ้าเด็กอ่อนต่อโลก กล้าโอหังต่อหน้าข้าเรอะ!”

 

นางที่ถูกเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้าสั่งสอนไม่รู้เลยว่าหัวเราะหรือร้องไห้

 

“พวกเจ้าทุกคนรอตรงนี้ ข้าจะจัดการเอง!”

 

มู่เทียนฟางหัวเราะ

 

“ฝ่ามือขังมังกร!”

 

มู่เทียนฟางตะโกน พลังวิญญาณไหลออกจากร่างไปปกคลุมแขนทั้งสองข้างทำให้แขนทั้งสองกลายเป็นกรงเล็บยักษ์ที่ยาวห้าศอก

 

กรงเล็กนั้นดูแข็งแกร่งและทรงพลังราวกับมันจะจับมังกรจริงๆได้

 

ทุกสิ่งในระยะร้อยศอกถูกพลังมหาศาลปกคลุม คนโดยรอบหวาดกลัวและต้องอดกลั้น

 

ซือหยูแอบประหลาดใจ นั่นคือวิชาอำมฤตระดับสองขั้นต้น!

 

สมกับเป็นหัวหน้าหน่วยลาดตระเวน การบ่มเพาะวิชาจนถึงระดับสองได้นั้นเป็นสิ่งที่ยากจะสำเร็จในชีวิตผู้คนส่วนใหญ่

 

ด้วยพลังมหาศาลเช่นนี้ แม้แต่คนที่มีฐานพลังเท่ากันกับนางก็ยากที่จะรับมือได้ถึงสิบกระบวนท่า

 

แต่ก็น่าเสียนางที่นางต้องมาเจอกับซือหยู

 

ครืน—-

 

ปรากฏการณ์ลึกลับแผ่ออกมาจากตัวซือหยูในทันที

 

เขาที่อยู่ตรงหน้าทางกลับให้ความรู้สึกดั่งภาพลวง ราวกับว่าเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของฟ้าดินและสิ่งรอบข้าง

 

ครืน—

 

ครืน—

 

พลังวิญญาณบนนภาเริ่มบ้าคลั่ง เมฆาครึ้มก่อตัวขึ้น

 

ท้องฟ้าสดใสไร้ความมืด…ดำสนิทในพริบตา

 

มังกรอัสนีม่วงโบยบินเล่นเมฆาราวกับกำลังรอคำบัญชาจากจักรพรรดิ

 

“วิบัติอัสนีเยือกแข็ง!”

 

ซือหยูพูดเบาๆ

 

ตั้งแต่ที่พลังความเย็นในร่างเพิ่มขึ้น พลังของวิบัติอัสนีเยือกแข็งก็เพิ่มขึ้นมหาศาลเช่นกัน

 

ผู้ตรวจการไป่ฮีตายด้วยกระบวนท่านี้

 

โฮก—-

 

มังกรอัสนียาวพันศอกพุ่งลงมาอย่างรวดเร็ว อัสนีกับน้ำแข็งก่อตัวเป็นมังกรและเปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นน้ำแข็ง

 

มู่เทียนฟางเงยหน้ามองด้วยความเคร่งเครียด ดวงตานั้นแสดงความตกใจ

 

“ฎีกาสวรรค์ระดับเทพ! มีคนบ่มเพาะฎีกาสวรรค์จนถึงขั้นนี้ด้วยรึ ข้าไม่คิดมาก่อนเลย!”

 

มู่เทียนฟางต้องเปลี่ยนไปป้องกันตัว ฝ่ามือทั้งสองพุ่งไปยังด้านบน

 

“ข้าจะจับมังกรของเจ้าทั้งเป็น!”

 

มู่เทียนฟางไร้ซึ่งความกลัว นางคิดจะเผชิญหน้ากับการโจมตีที่พุ่งเข้ามา

 

โฮก—

 

มังกรม่วงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว มันเปล่งประกายน้ำแข็งและอัสนี

 

ราวกับภัยพิบัติได้เกิดขึ้นบนโลก มู่เทียนฟางกัดฟันแน่นและเผชิญหน้าด้วยพลังทั้งหมดที่มี

 

นางจัดการกับมังกรยาวพันศอกได้!

 

หลังจากที่ขัดขืนมาสิบลมหายใจ มังกรยาวพันศอกก็ลดลงเหลือเพียงร้อยศอก

 

แต่มู่เทียนฟางทนไม่ไหวอีกแล้ว มังกรม่วงทะลวงร่างของนาง

 

เปรี๊ยะ–

 

ฟึ่บ–

 

อัสนีและน้ำแข็งจู่โจมร่างของนางพร้อมกัน

 

ชุดส่วนมากของนางถูกเผาไหม้

 

น้ำแข็งเย็นยะเยือกปกคลุมร่างอันหอมหวาน ทำให้นางเคลื่อนไหวช้าลง

 

ฟึ่บ–

 

ซือหยูใช้โอกาสนี้พุ่งเข้าใส่นางโดยไม่ให้นางได้หลบ เขาชี้นดัชนีไปที่หน้าผากของนาง

 

“นังโง่ ข้าจะฆ่าเจ้าก็ได้ขอแค่พลิกดัชนี!”

 

ซือหยูคำรามอย่างโกรธแค้น เขาค่อยๆลดมือลงและทำให้น้ำแข็งในร่างของนางแตกออก

 

มู่เทียนฟางที่เป็นอิสระหน้าแดงถึงใบหูไม่ต่างกับชุดของนาง

 

ไม่เพียงแต่นางจะพ่ายแพ้เพราะเด็กอ่อนเยาว์ นางยังต้องเปลือยกายต่อหน้าทุกคน!

 

แม้แต่สตรีอื่นที่อยู่ข้างๆก็อับอายแทนนางอย่างมาก!

 

นางรีบคว้าผ้าคลุมของหน่วยลาดตระเวนและปกปิดร่างกาย นางกัดฟันจ้องซือหยู

 

“เจ้า…กล้าดียังไง! เจ้ามันไร้ยางอาย! ไอ้คนต่ำช้า!”

 

ซือหยูหัวเราะ

 

“ถึงเจ้าจะเข้ามาโจมตีข้าเองแต่ก็ถูกทำลายเสื้อผ้าซะได้ สุดท้ายเจ้ายังโทษว่าข้าไร้ยางอายอีกรึ?”

 

“อ๊า! น่าแค้นใจนัก! เจ้ายังกล้าบิดเบือนความจริงอีก!”

 

มู่เทียนฟางโกรธจนสั่นไปทั้งตัว

 

“นังหญิงโง่!”

 

ซือหยูโกรธจัด

 

“ถ้าเจ้ายังหาเรื่องข้าอีก ข้าจะเผาเสื้อผ้าเจ้าจนหมดสิ้น!”

 

ด้วยพลังของซือหยู เขาทำได้อย่างแน่นอน

 

ส่วนหน่วยลานตระเวนคนอื่นนั้นไม่ใช่คู่มือของซือหยูแน่นอน ไม่มีใครหยุดเขาได้!

 

มู่เทียนฟางทั้งโกรธและอับอาย นางจับผ้าคลุมที่ปิดบังผิวกายจนแน่นโดยไม่รู้ตัว

 

“กล้าดียังไง!”

 

“ในโลกใบนี้ กับทุกสิ่งที่ข้าคิดได้ ไม่มีสิ่งใดที่ข้าไม่กล้าทำ!”

 

คำพูดอันมั่นใจเช่นนี้ทำให้มู่เทียนฟางตกอยู่ในภวังค์ ราวกับชายหนุ่มผู้นี้ทำได้ทุกสิ่งจริงๆ

 

นางกัดฟันและไม่กล้าจะโต้ตอบ

 

“ใจเย็นแล้วใช่หรือไม่?”

 

ซือหยูกลับมาเยือกเย็น

 

“หญิงโง่อย่างเจ้าจะคุยด้วยดีๆได้ก็หลังจากที่ใช้กำลังเท่านั้น!”

 

มู่เทียนฟางโชคดีนักที่ไม่ได้กระอักเลือดออกมาด้วยความโกรธ นางจ้องซือหยูด้วยความแค้น

 

“เจ้า…ข้า…”

 

ซือหยูปัดมือ

 

“เอาล่ะ ถ้าเจ้าใจเย็นลงแล้วก็พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเถอะ”

 

“ข้าแน่ใจว่าเจ้ารู้ว่าข้าไม่ใช่ผู้ต้องสงสัย”

 

มู่เทียนฟางเงียบกริบ นางพอจะเข้าใจแล้ว ถ้าหากซือหยูเป็นคนร้ายจริง เขาก็คงจะสังหารพวกนางทุกคนไปแล้วเพื่อปิดปาก

 

ตอนที่นางมั่นใจว่าซือหยูเป็นคนร้ายตัวจริงนั่นก็เพราะนางทำไปด้วยอารมณ์

 

พรึ่บ–

 

ซือหยูหยิบตราของตัวเองออกมา

 

หน่วยลานตระเวนที่เหลือหน้าซีดด้วยความกลัว

 

“รองเจ้าตำหนักรึ? เจ้าเป็นรองเจ้าตำหนักของอาณาจักรทมิฬรึ?”

 

มู่เทียนฟางเหลือบมอง

 

“หยินหยู…รองเจ้าตำหนักหยินหยูคนใหม่ที่ร่ำลือใช่หรือไม่?”

 

“เป็นไปไม่ได้! เขาคือยอดฝีมือที่ผู้คนพูดถึง เจ้าตำหนักหยินหยู!”

 

ดวงตาอันงดงามของสตรีในหน่วยลาดตระเวนเต็มไปด้วยความหลงใหล

 

แววตาของพวกนางเป็นประกาย

 

“ผมสีเงิน หน้ากากสีเงิน อายุประมาณสิบหกปี ไม่ผิดแน่ เขาคือเจ้าตำหนักหยินหยู!”

 

“ข้าฝันไปงั้นรึ? ข้าโชคดีจนได้มาเจอกับตำนานหยินหยูตัวจริงเชียวรึ?”

 

มู่เทียนฟางจ้องซือหยูอย่างไม่เชื่อสายตา

 

นามอันยิ่งใหญ่ของซือหยูนั้นแพร่กระจายไปทั่วทวีปทั้งนานแล้ว

 

และด้วยการต่อสู้ในเมืองอันยี่ ซือหยูได้ต่อสู้กับเหล่ายอดฝีมือจากทั้งโลกด้วยตัวคนเดียว เขาสังหารเหล่ายอดฝีมือที่น่าภาคภูมิใจไปนักต่อนัก

 

เช่น เว่ยเทียนเฉินแห่งหอสดับหิมะที่เป็นหนึ่งในมหาบุตรทั้งสี่ นายน้อยของแปดตระกูลใหญ่ และเขายังสังหารผู้ตรวจการที่มีพลังอำมฤตระดับสามขั้นสูง!

 

เรื่องราวอันน่ากลัวนี้แพร่กระจายมาทั่วเขตวิหคเพลิงมานานจนทุกคนรับรู้

 

ซือหยูสูงส่งราวกับดาวตกที่พุ่งลงสู่ทวีป เขากลายเป็นตำนานที่คนนับไม่ถ้วนแห่งยุคต้องไล่ตาม

 

ที่อายุเพียงสิบหก เขาสังหารอำมฤตระดับสามขั้นสูงได้ พรสวรรค์เช่นนี้ทำให้ทั้งทวีปต้องครั่นคร้าม เขากลายเป็นตำนานที่คนในยุคต่อไปยากจะก้าวข้าม

 

ด้วยพรสวรรค์เช่นนี้ คนมากมายต่างให้ฉายาเขาว่าเป็นยอดฝีมือในตำนาน!

 

และในตอนนี้หน่วยลาดตระเวนได้เจอกับตำนานนั้นด้วยตา พวกนางจะไม่ตกใจได้อย่างไร?

 

และดวงตาอันงดงามของพวกนางก็เปล่งประกาย ราวกับหญิงสาวที่กำลังหลงเสน่ห์

 

แม้แต่มู่เทียนฟางก็นับถือเขาอย่างมาก

 

เพราะอย่างไรเขาก็คือตำนานแห่งทวีป!

 

เขาเอาชนะอำมฤตระดับสามขั้นสูงไปแล้ว

 

มู่เทียนฟางหายใจเข้าลึก นางโค้งคำนับด้วยความเขินอายและขอโทษขอโพย

 

“ท่านหยินหยู โปรดให้อภัยในเรื่องเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นด้วยเถิด”

 

นางเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

 

ข้อสงสัยในตัวซือหยูหายไปในทันที

 

เหตุผลนั้นง่ายนิดเดียว ตอนที่เจ้าตำหนักหยินหยูอยู่ในตำหนักรอง คนก็ได้หายไปจากปราการวิหคเพลิงแล้ว

 

ดังนั้นเรื่องนี้ต้องไม่เกิดจากหยินหยูอย่างแน่นอน

 

หยินหยูมิได้ติดใจเอาความ แม้นางจะหุนหันพลันแล่น นางก็รู้จักยอมรับความผิดพลาดและขอโทษด้วยตัวเอง ยังพอนับได้ว่านางเป็นคนตรงไปตรงมา

 

“นี่ก็แค่เรื่องเข้าใจผิด เจ้าไม่ต้องใส่ใจ แต่ขอถามเจ้าหน่อย คนที่รายงานเรื่องข้าไปที่ใดแล้ว?”

 

ซือหยูถามตรงๆ เห็นได้ชัดว่าคนที่เป็นปัญหาคือคนที่รายงานเรื่องซือหยู

 

มู่เทียนฟางหน้าแดงเล็กน้อย นางโทษตัวเองและรู้สึกอับอาย เป็นเพราะนางที่ทำให้โอกาสหายไป

 

“สั่งการหน่วยลาดตระเวน ตามหาและจับกุมคนที่ให้ข้อมูล กระจายคำสั่งให้ทั่วปราการวิหคเพลิง! ห้ามทำพลาดเด็ดขาด!”

 

พรึ่บ—

 

กลุ่มหน่วยลาดตระเวนทำตามคำสั่งทันที ยังไม่สายเกินไปที่จะกู้สถานการณ์

 

“เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ข้าต้องขออภัยที่ดูหมิ่นท่าน ข้าจะกลับล่ะ”

 

มู่เทียนฟางอับอายไม่กล้าสู้หน้าซือหยู นางประสานหมัดและบอกลา

 

“เดี๋ยวก่อน!”

 

ซือหยูตะโกนให้นางหยุด เขาถามด้วยความจริงจัง

 

“ข้าขอถามหัวหน้ามู่สักหน่อย เจ้ารู้จักพื้นเพของโจวจิ้งหรือไม่?”

 

อาจารย์ของโจวจิ้งคือผู้ร้ายตัวจริง

 

มู่เทียนฟางประหลาดใจมาก

 

“แต่เดิมนางคือศิษย์ในคณะวิหคเพลิงของข้า นางคืออดีตหนึ่งในสิบสตรีวิหคเพลิง รูปลักษณ์และคุณสมบัติของนางยอดเยี่ยม พรสวรรค์ของนางเหนือว่าคนทั่วไป จากนั้นนางก็ออกจากคณะวิหคเพลิงไปแต่งงานกับนายน้อยตระกูลเหยาที่ชื่อว่าเหยาหลิง ท่านถามถึงนางทำไมรึ? หรือว่าแม้ท่านจะอยู่ไกลถึงตำหนักรอง ท่านก็ยังได้ยินชื่อเสียงในความงามของโจวจิ้ง?”

 

ผู้ที่ถูกเรียกว่าสตรีวิหคเพลิงนั้นคือศิษย์ที่มีพรสวรรค์ระดับสุดยอด ทั้งรูปลักษณ์และพลัง ลำดับของพวกนางเทียบได้กับรองเจ้าตำหนักทั้งสิบ

 

ซือหยูส่ายหน้า

 

“ไม่หรอก ข้าก็แค่สงสัยเท่านั้น”

 

โจวจิ้งมาจากคณะวิหคเพลิง! ซือหยูตกใจอย่างมาก!

 

นางเข้าร่วมตระกูลเหยาเพราะเหตุบางอย่าง นางต้องการอะไรกัน?

 

หลังจากครุ่นคิด ซือหยูไม่เปิดเผยเรื่องระหว่างเขากับโจวจิ้งและคนร้ายที่หายไป

 

เหตุก็เพราะตัวตนของโจวจิ้งนั้นพิเศษกว่าคนธรรมดา ถ้าเขากล่าวหาโจวจิ้งโดยไร้หลักฐานก็ยากที่คณะวิหคเพลิงจะเชื่อเขา

 

“ขอบคุณที่บอกข้า แล้วอีกเรื่อง ข้าอยากจะถามถึงอีกคน”

 

ซือหยูคาดหวังอย่างมาก

 

“เซี่ยนเอ๋อที่อยู่ที่นี่เป็นเช่นใดบ้าง?”

 

มู่เทียนฟางมองซือหยูหัวจรดเท้าด้วยความสงสัย

 

“เซี่ยนเอ๋อรึ? ศิษย์ของจ้าวแห่งวิหคเพลิง สตรีวิหคเพลิงลำดับหนึ่งแห่งคณะวิหคเพลิง เฟิงเซี่ยนน่ะรึ? ท่านเรียกชื่อนางอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ ท่านเกี่ยวข้องอย่างไรกับนางกัน?”

 

สตรีวิหคเพลิงลำดับหนึ่ง เฟิงเซี่ยนงั้นรึ? ซือหยูหยุดนิ่งไปชั่วครู่ แค่ปีเดียวเซี่ยนเอ๋อก็เติบโตและกลายเป็นสตรีวิหคเพลิงลำดับหนึ่งรึ?

 

แต่ซือหยูก็เข้าใจได้ในทันที วิหคเพลิงแห่งความตายอันลึกลับของเซี่ยนเอ๋อนั้นทำให้แม้แต่หยุนย่าสีอิจฉา มันจะต้องไม่ใช่เรื่องเล็กๆแน่

 

แม้การที่พูดว่านางจะกลายเป็นสตรีวิหคเพลิงลำดับแรกจะเป็นการกล่าวเกินจริงไปหน่อย แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้

 

หลังจากที่ยืนยันแล้วว่าเฟิงเซี่ยนคือฉินเซี่ยนเอ๋อ ซือหยูก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและไม่ปิดบังอะไร

 

“นางเป็นคู่หมั้นของข้า”

 

“โอ้ นางเป็นคู่หมั้นท่านนั่นเอง…”

 

มู่เทียนฟางพยักหน้ารับโดยไม่รู้ตัว จากนั้นทั้งกายนางก็สั่นราวกับระฆังที่ถูกตี เสียงของนางแหลมสูงกว่าเดิมสามเท่าจนเสียงหลง

 

“อะไรนะ? นะ…นางคือคู่หมั้นท่านรึ?”

 

ซือหยูยักไหล่

 

“ทำไมกัน ข้าเป็นคู่หมั้นนางไม่ได้รึ?”

 

มู่เทียนฟางอ้าปากกว้าง นางกลับมาได้สติอีกครั้งหลังจากผ่านไปนาน นางจ้องมองซือหยูด้วยความตกใจ

 

“ไม่สิ นี่มันเกินคาดเกินไปแล้ว! เฟิงเซี่ยนผู้บริสุทธิ์ สูงส่ง และตระการตามีคู่หมั้นอยู่จริงๆรึ? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย!”

 

เซี่ยนเอ๋อได้กลายเป็นสตรีที่ตระการตาแล้วงั้นรึ? ช่วยไม่ได้ที่ซือหยูจะยิ้มออกมา

 

สาวน้อยที่น่ารักมีชีวิตชีวาในอดีตหลงเหลืออยู่แต่ในความทรงจำแล้วสินะ

 

ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดีหลังจากที่ยืนยันได้ว่านางปลอดภัย

 

แต่หลังนั้นมู่เทียนฟางก็ตกใจอีกครั้ง นางพูดด้วยความลังเล

 

“นางเป็นคู่หมั้นท่านจริงๆรึ? ถ้าเช่นนั้น ท่านก็ช้าไปแล้วล่ะ”

 

“เจ้าหมายความว่ายังไง?”

 

ซือหยูหัวใจหยุดเต้นไปชั่วครู่ เขารู้สึกถึงลางไม่ดี

 

มู่เทียนฟางลังเล ใบหน้าเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ

 

“สามวันก่อน จ้าวคณะได้จัดงานจับคู่เล็กๆเพื่อเฟิงเซี่ยนเป็นการล่วงหน้า เป็นงานจับคู่ที่จัดขึ้นเพราะนางโดยเฉพาะ”

 

“มีบุรุษไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้เข้าร่วมงานนั้น พวกเขาคือมหาบุตรทั้งสองแห่งหอสดับหิมะและสองรองเจ้าตำหนักแห่งอาณาจักรทมิฬ พวกเขาประลองต่อกันเพราะทุกคนชื่นชมเฟิงเซี่ยน ท้ายสุดเจ้าตำหนักเฉินคงนั้นมีพลังที่เหนือกว่า จ้าวคณะจึงยอมให้เกิดการวิวาห์ขึ้นในตอนนั้น”