ตอนที่ 286-1 ความรู้สึกหยั่งลึก ช่างน่าตี

ชายาเคียงหทัย

“อันใดนะ เจ้าลูกเดรัจฉานสองคนนี้!” เฟิ่งหวายถิงกัดฟันเอ่ยด้วยความโกรธ

ที่ตระกูลเฟิ่งจงรักภักดีต่อม่อจิ่งฉี มิใช่ว่าไม่มีเหตุผลเลยแม้แต่น้อย ในปีนั้นตระกูลเฟิ่งประสบกับเหตุภัยพิบัติที่เกือบทำให้ล่มจม ยามนั้นม่อจิ่งฉีที่ยังเป็นเพียงองค์ชายได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ไม่ว่าม่อจิ่งฉีจะเป็นคนเช่นไร ผู้คนจะประณามก่นด่าเขาเพียงใด แต่เขาก็ได้เคยช่วยเหลือตระกูลเฟิ่งทั้งตระกูลและกิจการของตระกูลเฟิ่งไว้จริงๆ

และด้วยเพราะเหตุนี้ เดิมทีที่เฟิ่งหวายถิงถึงได้ขับไล่เฟิ่งจือเหยาที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับติ้งอ๋องออกจากตระกูล จึงมิใช่เพียงเพราะเกรงว่าราชวงศ์จะนึกระแวงสงสัยเท่านั้น ในยามที่ตระกูลเฟิ่งรู้ทั้งรู้ว่าม่อจิ่งฉีถูกม่อจิ่งหลีทำร้าย ก็ยังคงเลือกจะอยู่ข้างเขา เฟิ่งหวายถิงที่ถึงแม้จะเป็นพ่อค้าแต่ก็ยังมีคุณธรรมอยู่หลายส่วน แต่กลับมีบุตรฉายที่ลืมบุญลืมคุณ กระทำเรื่องเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานเช่นนี้

ม่อซิวเหยามองฮองเฮาที่นั่งเงียบอยู่ด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง ยิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “นายท่านเฟิ่งไม่ต้องโกรธเกรี้ยวไป ว่าไปแล้ว บุตรชายท่านก็เพียงทำเพื่อชีวิตของคนในตระกูลเฟิ่งเท่านั้น” แน่นอนว่า ตัวเขามีส่วนช่วยอยู่ไม่น้อย การจัดการส่งตระกูลเฟิ่งกว่าครึ่งให้ม่อจิ่งหลี เขาไม่รู้สึกเสียดายเลย เงินจะหาใหม่เมื่อไรก็ได้ แต่คนที่หาเงินนั้น…บุตรชายสายหลักทั้งสองของตระกูลเฟิ่งเก็บเกี่ยวไปพอแล้ว คนที่มีความสามารถอย่างแท้จริงคือบุคคลตรงหน้านี้ต่างหาก ตระกูลเฟิ่งที่มีชื่อเสียงและความร่ำรวยได้เช่นทุกวันนี้ก็ด้วยน้ำพักน้ำแรงของเขา

กิจการที่อยู่ภายใต้ตำหนักติ้งอ๋อง มีอยู่หลากหลายและนับไม่ถ้วน หานหมิงเย่ว์พึ่งพาอาศัยไม่ได้แล้ว หานหมิงซีกับเหลิ่งเฮ่าอวี่พอมารับช่วงต่อก็เริ่มมีขาดทุนบ้าง อีกทั้งซีเป่ยที่พัฒนาขึ้นตลอดหลายปีนี้ ก็ค่อยๆ เริ่มเข้าสู่ช่วงคอขวด เขากำลังจำเป็นต้องหาคนที่มีพรสววรค์ด้านการค้าจริงๆ ดังนั้น…ตระกูลเฟิ่งตระกูลหนึ่งจะถือเป็นอันใดได้กัน หากมีคนมีพรสวรรค์อยู่มากพอ เขาก็จะมีตระกูลเฟิ่งที่สอง ที่สาม หรือแม้กระทั้งตระกูลเฟิ่งสิบตระกูลก็ยังได้ ถึงแม้คนตระกูลม่อไม่เชี่ยวชาญด้านทำการค้า แต่พวกเขากลับไม่เคยขาดเงินมาก่อน ด้วยเพราะพวกเขาเชี่ยวชาญด้านการใช้เงินผู้อื่น

ที่เฟิ่งหวายถิงสามารถทำให้ตระกูลเฟิ่งเจริญรุ่งเรืองด้วยมือเขาได้ ย่อมมิใช่คนโง่ เขาจึงยิ้มฝืดเฝื่อนด้วยความจนใจว่า “เกรงว่าหลีอ๋องคงหมายตากิจการตระกูลเฟิ่งไว้นานแล้วกระมัง”

ตระกูลเฟิ่งเป็นคนของอดีตฮ่องเต้ นี่เป็นเรื่องที่คนจำนวนมากรู้ดี ม่อจิ่งหลีถึงแม้จะไม่ถึงขั้นขี้ระแวงเหมือนม่อจิ่งฉี แต่เขาก็ไม่มีทางวางใจขนาดให้ตระกูลเฟิ่งหลุดออกไปจากความควบคุมได้ อีกทั้งยังมีทรัพย์สินของตระกูลเฟิ่งที่ช่างยั่วยวนนั่นอีก เรื่องในครานี้หากจะบอกว่าเป็นเรื่องที่เฟิ่งจือเหยาทำให้เกิดขึ้น สู้บอกว่าเป็นสิ่งที่ทรัพย์สมบัติตระกูลเฟิ่งนำพามาเสียจะดีกว่า

ม่อซิวเหยาเพียงยิ้มแต่ไม่ตอบ เขาชื่นชอบการพูดคุยกับคนฉลาด

“เรียนท่านอ๋อง หลิ่วกุ้ยเฟยมาขอเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ” ตรงประตูทรงพระจันทร์ จั๋วจิ้งเข้ามาเอ่ยรายงานเสียงขรึม

ม่อซิเหยาเอ่ยกลั้วยิ้มกับเฟิ่งหวายถิงว่า “นี่ก็มาแล้วหรือ เฟิ่งซานอยู่หรือไม่”

จั๋วจิ้งมองทุกคนด้วยสีหน้าลำบากใจ พยักหน้าเอ่ยว่า “อยู่พ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่คุณชายเฟิ่งซาน…” สภาพดูไม่สู้ดีนักเท่านั้นเอง

“เขาทำไมหรือ” มีเสียงสองเสียงประสานขึ้นพร้อมกัน เอ่ยยังไม่ทัดขาดคำ ทั้งสองก็ต่างหันหน้ามองกันด้วยความประดักประเดิด

เยี่ยหลีอมยิ้มตบหลังมือฮองเฮาเบาๆ ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “จั๋วจิ้งเอ่ยเช่นนี้ คงมิได้มีเรื่องใหญ่อันใด” แต่หากจะต้องลำบากบ้างก็คงเลี่ยงไม่ได้ แน่นอนว่าเยี่ยหลีไม่มีทางบอกว่า ที่ม่อซิวเหยาส่งฉินเฟิงไปพาตัวเฟิ่งหวายถิงออกมาก่อน ก็เพื่อจะจัดการเฟิ่งจือเหยา ครานี้เฟิ่งจือเหยาก่อเรื่องใหญ่ติดๆ กันหลายครั้ง ทำให้ท่านติ้งอ๋องไม่พอใจเป็นอย่างมาก หากเฟิ่งซานได้บอกกล่าวออกมาตามตรงแต่แรก สำหรับม่อซิวเหยาแล้ว ก็เพียงต้องเจรจาเท่านั้น เมื่อสุดท้ายก่อเรื่องขึ้นมากมายเช่นนี้ ท่านอ๋องย่อมไม่พอใจ

“ไปเถิด ไปดูหน้าคนที่กล้าจับตัวคนของข้ากัน ดูสิว่าหลิ่วกุ้ยเฟยมีความหาญกล้าเพียงใดกันแน่” ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้น นอกจากเยี่ยหลีกับม่อตัวน้อย ต่างตัวสั่นด้วยแววเยือกเย็นในน้ำเสียงของเขา รวมถึงเหลิ่งจวินหานที่อายุยังน้อยแต่ก็เฉลียวฉลาดด้วย ที่ซุกศีรษะน้อยๆ เข้ากับอกของเยี่ยหลีทันที

เยี่ยหลีอุ้มเหลิ่งจวินหานพลางลุกขึ้นตาม

ม่อซิวเหยาปรายตามองเด็กแสบที่ฝังตัวอยู่ในอกของภรรยาเขา ส่งเสียงหึเบาๆ ก่อนยื่นมือไปหิ้วตัวเขาออกมา

เหลิ่งจวินหานตัวน้อยห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ มองใครบางคนที่มีผมขาวด้วยสีหน้าอึ้งๆ เบะปากพลางยื่นมือน้อยๆ ไปหาเยี่ยหลี “ท่านน้าอุ้ม…”

จั๋วจิ้งที่อยู่ข้างๆ มองเหลิ่งจวินหานที่ถูกม่อซิวเหยาหิ้วอยู่ด้วยสีหน้านับถือ ผู้ใดบอกว่าบุตรชายของเหลิ่งเฮ่าอวี่ใจเสาะกัน นี่เขามีใจอันหาญกล้าประหนึ่งวีรบุรุษชัดๆ

ม่อตัวน้อยเองก็ลอบปาดเหงื่อตาม เหลิ่งเอ๋อน้อยคงไม่ถูกเสด็จพ่อของเขาเล่นงานจนตายไปก่อนกระมัง นี่เป็นลูกน้องคนแรกที่เขาหมายตาไว้สำหรับอนาคตเลยนะ…

ภายในห้องโถงใหญ่ตำหนักติ้งอ๋อง หลิ่วกุ้ยเฟยนั่งอยู่บนเก้าอี้สลักลายดอกไม้ หรุบตาลงอย่างใช้ความคิด คนที่อยู่ตรงข้ามนางคือคุณชายเฟิ่งซานที่มากด้วยเสน่ห์และหล่อเหลา ซึ่งถูกจับมัดมาโยนอยู่บนเก้าอี้ ด้านหลังเขายังมีบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ข้างละคน แววตาแฝงแววอันตราย เส้นเลือดบริเวณหน้าฝากปูดโปนขึ้นมาเล็กน้อย แค่มองดูก็รู้ว่าเป็นยอดฝีมือของตำหนัก

เดิมทีหลิ่วกุ้ยเฟยไม่มีทางพาตัวเฟิ่งจือเหยามาที่ตำหนักติ้งอ๋องอย่างแน่นอน เพราะถึงอย่างไร เฟิ่งจือเหยาก็ถือเป็นหมากตัวหนึ่งของนาง แต่เมื่อนางมาถึงตำหนักติ้งอ๋องแล้วถึงได้พบว่า หากไม่มีเฟิ่งจือเหยา นางไม่มีทางเข้ามาในตำหนักติ้งอ๋องได้เลยด้วยซ้ำ

เฟิ่งจือเหยานั่งพิงอยู่กับเก้าอี้ พอถูกจับมัดเป็นบ๊ะจ่างเช่นนี้ ทำให้เขาไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก รอยแผลบนตัวที่ถูกแส้ฟาดอยู่สองสามรอยก็ยังเจ็บปวดแสบปวดร้อนอยู่ ซึ่งทำให้เฟิ่งจือเหยาที่ไม่ได้รับบาดเจ็บมานานถึงกับต้องลอบด่าแม่ในใจ สายตาที่จับจ้องไปทางหลิ่วกุ้ยเฟยยิ่งดูมาดร้ายขึ้นเรื่อยๆ ข้าจะต้องทำให้สตรีนางนี้ตายให้จงได้!

เมื่อรอมานานแล้ว แต่ยังไม่เห็นม่อซิวเหยามาและยิ่งไม่มีคนยกน้ำชามาให้ หลิ่วกุ้ยเฟยกลับไม่มีกระจิตกระใจมาคิดเล็กคิดน้อยเรื่องวิธีการต้อนรับแขกของตำหนักติ้งอ๋อง คิ้วเรียวที่ได้รับการตกแต่งอย่างดีขมวดเข้าหากันมุ่น ประหนึ่งกำลังใคร่ครวญเรื่องสำคัญอยู่

“ท่านอ๋อง พระชายา…” ด้านนอกประตูมีเสียงองครักษ์กับสาวใช้เอ่ยทำความเคารพ

หลิ่วกุ้ยเฟยเงยหน้าขึ้น ตาเป็นประกายทันที มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกำหมัดแน่น

ม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีเดินเคียงคู่กันเข้ามา ในมือม่อซิวเหยาอุ้มเด็กตัวขาวอวบในชุดสีขาวคนหนึ่งเข้ามา ส่วนคนที่เดินตามม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีเข้ามากลับทำให้หลิ่วกุ้ยเฟยต้องกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ ซึ่งก็คือ ซื่อจื่อแห่งตำหนักติ้งอ๋อง ม่อตัวน้อยนั่นเอง

เมื่อเห็นหลิ่วกุ้ยเฟย ดวงตาม่อตัวน้อยก็เป็นประกายขึ้นมาทันที ทำให้หลิ่วกุ้ยเฟยรู้สึกไม่ดีขั้นมาในทันใด ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็ได้ยินม่อตัวน้อยเอ่ยด้วยความยินดีว่า “ท่านป้า เหตุใดท่านถึงมาที่นี่อีกแล้ว”

“ท่านป้า?” เหลิ่งจวินหานเอียงคอมองหลิ่วกุ้ยเฟยด้วยความใคร่รู้ พลางกะพริบตาปริบๆ ท่านน้าท่านนี้สวยดีออกนี่ ดูไม่เห็นเหมือนท่านป้าที่อายุมากแล้วในตำหนักเลย

“เจ้าทึ่มเหลิ่งเอ๋อน้อย ท่านป้าที่อายุมากของที่จวนเหล่านั้น เรียกว่าหมัวมัว นี่เรียกท่านป้า” ม่อตัวน้อยเอ่ยด้วยความดูถูก

เห็นได้ชัดว่า เหลิ่งเอ๋อน้อยพลั้งปากเอ่ยถามความสงสัยในใจออกไป เมื่อได้ยินคำอธิบายข้างๆ คูๆ ของม่อตัวน้อย และยิ่งได้เห็นสีหน้าหลิ่วกุ้ยเฟยที่ดูหลากสีสันขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้เยี่ยหลีอดลอบหัวเราะออกมาไม่ได้ บางทีอาจด้วยเพราะถูกม่อซิวเหยากดเอาไว้มากจนเกินไป การเอ่ยพูดจาไร้สาระของม่อตัวน้อยจึงยิ่งออกทะเลไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ยามนี้แม้แต่เยี่ยหลีก็ยังแยกไม่ออกว่าเขาพูดจริงหรือตั้งใจพูดให้ผู้อื่นโกรธกันแน่แล้ว

“ติ้งอ๋อง!” หลิ่วกุ้ยเฟยมีสีหน้าบูดบึ้ง หากปล่อยให้พูดต่อ เกรงว่านางคงอดไม่ไหว ตบเจ้าเด็กแสบคนนั้นเข้าให้จริงๆ สักที

ม่อซิวเหยาก้าวเขามาในห้องโถงใหญ่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย พร้อมวางเหลิ่งจวินหานลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ เฟิ่งจือเหยา เขากวาดตามองชายฉกรรจ์สองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเฟิ่งจือเหยา แล้วเอ่ยว่า “ไสหัวไป”

ทั้งสองคนนั้นคิดจะขยับตัว แต่กลับหวาดกลัวเมื่อพบว่าตนเองไม่สามารถขยับตัวได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการจะลงมือทำอันใดเฟิ่งจือเหยาที่นั่งอยู่ในเก้าอี้หรือแม้แต่เด็กน้อยที่นั่งตาโตมองมายังพวกเขาด้วยความใคร่รู้เลย พวกเขาขยับไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้วด้วยซ้ำ ทั่วทั้งตัวประหนึ่งแข็งเกร็งขึ้นมาเสียอย่างนั้น เห็นได้ชัดว่า วิทยายุทธของติ้งอ๋องสูงกว่าที่พวกเขาจินตนาการไว้มากนัก นี่คงเป็นความสามารถที่แท้จริงของหนึ่งในสี่ยอดฝีมือกระมัง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเงียบๆ บนหน้าผากของทั้งสอง และไหลจากหน้าผากลงมาประหนึ่งเปียกฝนมากระนั้น

ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเบาๆ ก่อนหันกลับไปจูงเยี่ยหลีให้ขึ้นไปนั่งตรงตำแหน่งประมุข

เมื่อม่อซิวเหยาเดินห่างออกไปสองสามก้าวแล้ว ทั้งสองถึงได้ระบายลมหายใจออกมา เมื่อพบว่าตนเองสามารถขยับเขื้อนร่างกายได้อีกครั้ง ขาทั้งสองข้างก็อ่อนจนล้มพับลงกับพื้นทันที ไม่ต้องรอให้หลิ่วกุ้ยเฟยออกคำสั่ง พวกเขาก็แทบจะวิ่งเป็นคลานๆ ออกไปทันที

เหลิ่งจวินหานที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยความสนุกสนาน หันไปโบกมือเรียกม่อตัวน้อย เมื่อถูกม่อตัวน้อยกรอกตาบนส่งให้ด้วยความดูถูก เขาก็มิได้สนใจ หันไปยื่นหน้าถามเฟิ่งจือเหยาที่ถูกมัดแน่นอยู่ข้างๆ ว่า “นี่ๆ…ท่านอาเฟิ่งเป็นอันใดไป”

เฟิ่งจือเหยาได้แต่ยิ้มขื่นอย่างจนใจ หันไปมองขอความช่วยเหลือจากเยี่ยหลี ในยามนี้เขาไม่กล้าหันไปขอความช่วยเหลือจากม่อซิวเหยา มิเช่นนั้นเมื่อหลังจากม่อซิวเหยาปลดเชือกให้เขาแล้ว ผลที่เขาได้คงมิใช่สิ่งที่เขายินดีรับ

เยี่ยหลีระบายยิ้ม ยกมือขึ้นพร้อมมีประกายสีเงินคมกล้าพุ่งออกมา

เฟิ่งจือเหยาเพียงรู้สึกเย็นวาบขึ้นที่แขน ก่อนเชือกที่พันธนาการเขาอยู่จะค่อยๆ คลายออก เขาหันกลับไปมองมีดเงินที่ปักเข้าไปในกำแพงด้านหลังถึงสามส่วน แล้วเฟิ่งจือเหยาก็ขนลุกซู่ขึ้นมาทันที เอาเถิด ท่านนี้ก็คงยั่วให้โมโหไม่ได้เช่นกัน

“เฟิ่งซาน ไม่เป็นอันใดกระมัง” เยี่ยหลีมองเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นจากรอยแส้ กับบาดแผลที่มีรอยเลือดบนใบหน้าพลางเอ่ยถามขึ้น

“ไม่เป็นอันใด” เฟิ่งจือเหยาส่ายหน้า อันที่จริงเขาก็แค่ถูกแส้เฆี่ยนไปไม่กี่ครั้งเท่านั้น สำหรับเฟิ่งจือเหยาที่ผ่านการรบมาแล้ว ไม่ถือว่าเป็นบาดแผลเล็กน้อยเสียด้วยซ้ำ แค่เพีงรู้สึกเสียหน้านิดหน่อยเท่านั้น

“ติ้งอ๋อง ข้า…” หลิ่วกุ้ยเฟยขมวดคิ้ว เอ่ยขึ้นด้วยความร้อนใจ

ม่อซิวเหยายกมือขึ้นขัดนาง แต่สิ่งที่ออกมาจากริมฝีปากงามของเขา กลับทำให้หลิ่วกุ้ยเฟยรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว “ลากตัวนางออกไป เฆี่ยนนางสิบทีก่อนแล้วค่อยมาพูดต่อ” แค่เพียงได้พบหน้า ม่อซิวเหยาก็เห็นบาดแผลบนตัวเฟิ่งจือเหยาอย่างชัดเจน

“ติ้งอ๋อง เจ้า…” ใบหน้าหลิ่วกุ้ยเฟยขาวซีดลงทันที “เจ้าพูดอันใดกัน”