เสวียนจีเห็นอวี่ซือเฟิ่งก็ขอบตาร้อนผ่าว นางฝืนกลั้นน้ำตาเอาไว้ กัดฟันจ้องมองเขา รู้สึกเพียงแค่เขาก็จ้องมองมาไม่วางตา ทั้งสองประสานสายตากันอย่างไม่อาจละสายตาจากกันอีก
เป็นนาน ในที่สุดเสวียนจีก็โบกมือเรียก ขยับริมฝีปากกล่าวราวกับพูดกับเขาคนเดียว น้ำเสียงแผ่วเบายิ่ง “ซือเฟิ่ง…ข้ามารับเจ้าแล้ว…”
เขาก็โบกมือตอบ ปากขยับเล็กน้อย แต่ฟังไม่ได้ยินว่ากล่าวอะไร
เจ้าตำหนักใหญ่ประคองอวี่ซือเฟิ่งไว้ ทุกคนกรูกันเข้ามา เขามองหลิ่วอี้ฮวนอย่างไม่สนใจ มองอาวุโสหลัวที่ถูกเขาจี้ตัวไว้ พลันยิ้มเล็กน้อย ค่อยๆ ก้มกายคำนับกล่าวว่า “ข้าน้อยคารวะอาวุโสหลิ่ว”
ป้ายตำหนักหลีเจ๋อรุ่นหนึ่งเปลี่ยนสีหนึ่ง ศิษย์ป้ายแดงหลายคนกลายเป็นอาจารย์ศิษย์ป้ายส้ม ตามรุ่นแล้ว เขาควรเรียกหลิ่วอี้ฮวนว่าอาจารย์อา แต่อดีตเจ้าตำหนักก่อนสิ้นใจได้สั่งไว้ว่า ได้ขับหลิ่วอี้ฮวนออกจากตำหนักหลีเจ๋อ ดังนั้นเขาได้แต่เรียกอาวุโส ไม่สะดวกเรียกอาจารย์อา
เจ้าตำหนักใหญ่คำนับเช่นนี้ ศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อบางคนไม่รู้ความจริงย่อมตกใจตาค้าง ไม่อาจไม่คำนับหลิ่วอี้ฮวนตามเจ้าตำหนัก ฉับพลันนั้นเอง แทบทุกคนในที่นั้นพากันคำนับคนท่าทางเสเพลไม่น่าไว้ใจผู้นี้ หลิ่วอี้ฮวนได้ใจอย่างที่สุด ในที่สุดก็พ่นลมออกมาท่าทางสบายใจ เชิดจมูกแทบชี้ขึ้นฟ้า
“อืม ลุกขึ้นๆ! เจ้าตำหนักเล็กๆ เช่นเจ้าราวกับรู้ธรรมเนียมมารยาทอยู่นะเนี่ย! ไม่เลว ไม่เลว!”
เขาเรียกขานผู้อื่นว่าเจ้าตำหนักเล็กๆ คำเรียกขานเหลวไหลสิ้นดี มีน้ำเสียงหยอกเย้าอยู่หลายส่วน บรรดาศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อส่วนใหญ่จึงเริ่มออกอาการโมโห แต่เพราะเจ้าตำหนักอยู่จึงได้แต่อดกลั้นไว้
เจ้าตำหนักใหญ่ไม่โมโหแม้แต่น้อย เพียงกล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ผู้น้อยได้ยินชื่อเสียงท่านอาวุโสมานานแล้ว เพียงแต่ไม่มีวาสนาได้พานพบ วันนี้ได้ชื่นชมบารมีท่านอาวุโสด้วยตนเอง ช่างเป็นโชคดีที่สั่งสมบารมีมาหลายชาติ”
วาจาเต็มไปด้วยมารยาทของเขาพูดออกมาได้อย่างนิ่งเฉยมาก ราวกับมองไม่เห็นมือหลิ่วอี้ฮวนที่จี้อาวุโสหลัวอยู่ เป็นวิธีการต่ำช้าอย่างที่สุด
หลิ่วอี้ฮวนหัวเราะดังลั่น เลิกคิ้วเบิกบานกล่าวว่า “ไม่เลว! ข้าชอบวาจาเจ้า! มิน่าจึงได้เป็นเจ้าตำหนัก!”
เจ้าตำหนักใหญ่ยิ้มบางกล่าวว่า “อาวุโสชมเกินไปแล้ว”
ถิงหนูมองเขาทั้งสองคนพูดจามากความไร้สาระ จึงกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “อย่ามัวเสียเวลา เกรงว่าจะมีเหตุเปลี่ยนแปลง”
หลิ่วอี้ฮวนยิ้มไม่กล่าวอันใด ในใจเขาย่อมรู้ดีว่าควรทำเช่นไร
“วาจามารยาทก็พอแค่นี้แล้วกัน” เขาอยู่ๆ เอ่ยขึ้น “พวกเราก็ไม่ต้องเสแสร้งกัน คำเดียว อาวุโสหลัวแลกอวี่ซือเฟิ่ง ตกลงไหม”
เจ้าตำหนักใหญ่ราวกับคาดไว้แล้วว่าเขาจะกล่าวเช่นนี้ ยิ้มเล็กน้อยกล่าวว่า “ผู้น้อยเสียมารยาท ขอบังอาจถามสักคำ ในเมื่ออาวุโสจากตำหนักหลีเจ๋อไปแล้ว เช่นนั้นเรื่องทุกเรื่องในตำหนักหลีเจ๋อ จากนี้ก็ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับท่านแม้แต่น้อย อวี่ซือเฟิ่งเป็นศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อ ท่านมีเหตุผลใดให้เขาตามท่านไป!” ยามนี้จึงได้รู้ว่าคนผู้นี้ยากรับมือ! หลิ่วอี้ฮวนกล่าวเสียงดังว่า “อาศัยเหตุที่ข้ากับเขาผูกพันราวพ่อลูกก็พอแล้ว! สำนักเจ้ายิ่งใหญ่เพียงใดกัน หรือจะเหนือกว่าพ่อลูก อ้อ ข้ารู้ เจ้าจะใช้กฎตำหนักหลีเจ๋อมาอุดปากข้า เช่นนั้นข้าบอกเจ้านะ ตั้งแต่เจ้าลงคำสาปคู่รักไว้บนตัวเขา อวี่ซือเฟิ่งก็ไม่นับเป็นคนตำหนักหลีเจ๋อแล้ว! นับประสาอันใดกับหน้ากากเขาก็ถูกปลดแล้ว นับว่าได้จบสิ้นการลงทัณฑ์แล้ว จากนี้พวกเจ้าไม่เกี่ยวข้องกันอีก เจ้าฝืนรั้งเขาไว้ด้วยเหตุผลอะไร”
เจ้าตำหนักใหญ่กล่าวเบาๆ ว่า “หน้ากากแม้ว่าปลดออก แต่คำสาปยังไม่ถอน ดังนั้นเขายังคงเป็นศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อ ผู้น้อยในฐานะเจ้าตำหนักตำหนักหลีเจ๋อย่อมไม่อาจให้คนนอกพาเขาไป”
หลิ่วอี้ฮวนยิ้มเยียบเย็น “พูดไปพูดมา เจ้าก็คิดรั้งเขาไว้ พวกเจ้าตำหนักหลีเจ๋อระยะนี้ช่างก่อเรื่องเก่งจริง ทำแต่เรื่องลับหลังไม่อาจเปิดเผย ข้าว่าที่เจ้ารั้งเขาไว้ ไม่ใช่เพราะกฎระเบียบแต่เพื่อส่วนตัว! รั่วอวี้แทงเขาบาดเจ็บ อย่าว่าเจ้าไม่รู้ เจ้ากล้าพูดไหมว่าเรื่องนี้เจ้าไม่รู้มาก่อนเลยจริงๆ?!”
เจ้าตำหนักใหญ่กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ผู้น้อยสาบาน เรื่องรั่วอวี้ผู้น้อยไม่รู้เรื่อง! นับประสาอันใดกับตำหนักหลีเจ๋อมีเรื่องอะไร ตอนนี้ก็มิใช่ผู้น้อยออกหน้าจัดการหรือ อาวุโสหลัวเป็นคนตำหนักหลีเจ๋อ อวี่ซือเฟิ่งก็เป็นคนตำหนักหลีเจ๋อ แม้ผู้น้อยต้องแหลกเป็นผุยผง ก็ต้องปกป้องความปลอดภัยของคนตำหนักหลีเจ๋อ!”
น้ำเสียงเขาถึงกับแข็งกร้าวเช่นนี้ ดูท่ารับมือยากแล้ว หลิ่วอี้ฮวนพลันคิดไม่ถึงว่าพูดไปพูดมาก็ต้องมาโต้กับเขาเช่นนี้ ดีไม่ดีเขาแข็งกร้าวลงมือจริงขึ้นมา พวกเขาทางนี้แค่สามคน เสวียนจีมีกำลังจำกัด ดวงตาสวรรค์ตนก็เปิดไม่ได้ ถิงหนูก็เป็นเงือกที่ทำอะไรไม่ได้ ล้วนเสียเปรียบ หากไม่ใช่ว่าเขาจี้ตัวอาวุโสหลัวไว้ เกรงว่ายามนี้พวกเขาทั้งสามคงถูกจับไปขังคุกแล้ว
เขายังคงนิ่งเงียบ ถิงหนูข้างๆ พลันเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าตำหนัก ไยไม่ลองถามความเห็นซือเฟิ่งดู แม้เขาเป็นศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อ แต่ก็เป็นคนคนหนึ่ง รู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่คิดไปจากที่นี่”
เจ้าตำหนักใหญ่เห็นว่าอยู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้น อดตกใจไม่ได้ มองอย่างละเอียดอีกที ก่อนจะกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “ท่านนี้คือ…”
“ถิงหนู” เขาบอกชื่อตนเองออกมาเบาๆ จากนั้นก็เลิกพรมบนหน้าตักออก หางปลาเผยออกมา “ข้าเป็นเงือก”
บรรดาศิษย์รุ่นเยาว์เดิมเห็นมองเขาท่าทางสุภาพเรียบร้อยนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น ก็คิดว่าเป็นบัณฑิตพิการ ผู้ใดจะรู้ว่าถึงกับเป็นเงือก พากันส่งเสียงดัง สายตาเจ้าตำหนักใหญ่จ้องไปยังหางปลาของเขาทันที เปลือกตากระตุกกล่าวว่า “ที่แท้คือท่านถิงหนู ในเมื่อท่านไม่ใช่คนตำหนักหลีเจ๋อก็ไม่ควรเอ่ยวาจา ความต้องการของซือเฟิ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้”
“จะไม่เกี่ยวข้องได้อย่างไร?! เขาไม่ใช่ท่อนไม้!”
น้ำเสียงกระจ่างใสดังขึ้นอีกครั้ง เจ้าตำหนักใหญ่เงยหน้ามองเสวียนจีก้าวเข้ามา ยังคงเป็นเด็กหญิงเมื่อสี่ปีก่อนผู้นั้น เชิดหน้ายืดอกไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย จ้องมองตนเองเขม็ง
เสวียนจีกล่าวอีกว่า “ท่านเป็นเจ้าตำหนัก มีเหตุผลอะไรไม่ให้เขาพูด หน้ากากเขาข้าเป็นคนปลดออก คำสาปข้าก็จะถอนให้เขาเอง! ขอเพียงถอนคำสาป เขาก็ไม่ใช่คนตำหนักหลีเจ๋อใช่ไหม ข้าจะต้องถอนได้แน่นอน!”
เจ้าตำหนักใหญ่หัวเราะเบาๆ ขึ้นเสียงหนึ่ง “คุณหนูฉู่…”
ยังกล่าวไม่ทันจบ นางก็โบกมือขัดขึ้น “ข้าไม่อยากฟังท่าน! ข้าจะฟังซือเฟิ่งพูดเอง! ซือเฟิ่ง! พวกเราอยู่ร่วมกันมีความสุข ข้า ข้าไม่รู้ทำอะไรทำให้เจ้าไม่พอใจ แต่ว่า…หากเจ้าเลือกจะอยู่ที่นี่ ข้าก็ไม่ตำหนิเจ้า…แต่ข้าคงเจ็บปวดใจมาก! เจ็บจนแทบอยากจะตาย! หากเจ้ารู้สึกว่าข้าตายก็ไม่เป็นไร เจ้าก็อยู่ต่อแล้วกัน!”
นางเดิมคิดจะพูดอย่างใจกว้างสักหน่อย ผู้ใดจะรู้ว่าพูดถึงสุดท้ายกลับยิ่งน้อยเนื้อต่ำใจ อดขอบตาแดงน้ำเสียงสะอื้นไม่ได้ สุดท้ายถึงกับกลายเป็นน้ำเสียงเอาแต่ใจ คิดถึงว่าซือเฟิ่งอาจไม่ไปจากตำหนักหลีเจ๋อ วันหน้าอาจไม่ได้พบกันอีก เหตุผลนางล้วนหายไปสิ้น ในใจอัดแน่นไปด้วยความอัดอั้นน้อยเนื้อต่ำใจ แม้ก่อนนางมาตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า ไม่ว่าเขาเลือกอย่างไรตนเองก็จะยอมรับ แต่พอเผชิญความจริง นางกลับนึกเสียใจภายหลังแล้ว
ความคิดเอาแต่ใจของนาง นางเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อย่างไรอวี่ซือเฟิ่งก็ควรเป็นของนางคนเดียว ผู้ใดก็ไม่อาจแย่งเขาไปได้ พวกเขาตกลงกันแล้วว่าอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต คำสัญญานี้ก็ควรจะรักษาไปจนวันตาย
อวี่ซือเฟิ่งไม่กล่าวอันใด เอาแต่จ้องมองนาง ในแววตาราวกับเปลวไฟคุกรุ่นอยู่ในทะเลเพลิง
เขาถอนหายใจยาว พลันหันหลังโขกคำนับเจ้าตำหนักใหญ่สามที กล่าวเสียงดังกังวานว่า “เจ้าตำหนัก ซือเฟิ่งอกตัญญู” เขาไม่เรียกตนเองว่าศิษย์ แสดงให้เห็นว่าจะไปจากตำหนักหลีเจ๋อ
กล่าวจบก็ลุกขึ้นหันหลังจะไป เดินตรงไปยังเสวียนจี ทุกย่างก้าวราวกับเหยียบอยู่บนเมฆจนใกล้จะทรงตัวไม่อยู่แล้ว
ทุกคนในที่นั้นตกใจสีหน้าแปรเปลี่ยน แต่ไรมาไม่มีใครกล้าไปจากตำหนักหลีเจ๋อซึ่งหน้าเช่นนี้! แม้ว่าเป็นหลิ่วอี้ฮวนในก็ตาม หลิ่วอี้ฮวนตอนนั้นก็ยังแอบหนีไปกลางดึกสงัดไร้ผู้คน ตอนนี้อาวุโสทุกท่านอยู่ตรงหน้า เจ้าตำหนักก็อยู่ เขาถึงกับไม่สนใจอะไร ความกล้าเช่นนี้น่าเลื่อมใสก็จริง แต่ก็นับว่าไร้กฎเกณฑ์ในสายตาอย่างที่สุดอยู่สักหน่อย
เสวียนจีดีใจจนน้ำตาไหลพราก แต่ก็ไม่คิดจะเช็ดทิ้ง พุ่งเข้าไปกอดเขาไว้ รู้สึกเพียงแค่อ้อมกอดชายหนุ่มสั่นไหว พลันอ่อนยวบลงคุกเข่าลงกับพื้น ก่อนจะไอออกมาเบาๆ
“อาการบาดเจ็บของเจ้า!” นางมือไม้พัลวันควานหายา กลับถูกเขาคว้ามือไว้ ลงนั่งกับพื้นไปด้วยกัน เขาจ้องมองนางเขม็งราวกับคนแปลกหน้า สายตาร้อนแรงราวกับสามารถแผดเผาทั่วท้องฟ้า เขามองอยู่เป็นนาน ในที่สุดก็กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าไม่อนุญาตให้ตาย แม้ตาย ก็ต้องตายด้วยกัน”
เสวียนจีกางแขนออกโอบกอดเขาไว้แน่น แน่นจนแทบจะกลืนอีกฝ่ายเข้าไปในหน้าอกตน พวกเขาทุ่มเทให้กันอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ทำให้บรรดาศิษย์รุ่นเยาว์หลายคนพากันหน้าแดงหัวใจเต้นแรง ยังมีคนแอบอิจฉาขึ้นมา หวังเพียงว่าพวกเขาจะหนีไปได้อย่างราบรื่น ได้เป็นคู่รักเซียน ก็นับเป็นเรื่องงดงาม
ผ่านไปเป็นนาน อวี่ซือเฟิ่งค่อยๆ ปล่อยเสวียนจี คว้าเอาหน้ากากออกจากอกเสื้อ มันยังคงมีใบหน้าร้องไห้ ครั้งนี้เขามองแล้วก็ยิ้มเพียงเล็กน้อย ไม่สนใจแม้แต่น้อย วางมันลงกับพื้น ชักกระบี่ออกมาฟันเต็มแรง
“เหล่านี้ล้วนเป็นภาพลวง ถึงตอนนี้ข้าจึงได้เข้าใจแท้จริง อะไรที่เรียกว่าความจริง” เขาค่อยๆ กล่าวเบาๆ คว้าหน้ากากที่ถูกฟันทิ้งโยนลงทะเลไป ไม่อาลัยแม้แต่น้อย
“ซือเฟิ่ง” เสวียนจีคว้ามือเขาไว้ เรียกชื่อเขาแผ่วเบา
เขาก้มหน้ายิ้มเล็กน้อย ดึงนางลุกขึ้นจากพื้นทราย กล่าวอ่อนโยนว่า “ไป พวกเราไปจากที่นี่”