บทที่ 1360 (5)+(6)

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1360 (5)+(6) Ink Stone_Romance

บทที่ 1360 การกลั่นแกล้งจากพี่ใหญ่ (5)

หลัวจั่นอวี่ชะงักไปครู่หนึ่ง “นึกไม่ถึงว่าเขาจะทำอาหารเป็นด้วย…”

กู้ซีจิ่วแย้มยิ้ม ตอบอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “นั่นเป็นสิ่งที่พกมาจากด้านนอก อืม อาหารเลิศรสจากทั่วแผ่นดินนี้ เขาล้วนพกมาด้วยส่วนหนึ่ง”

เนื่องจากอาหารที่ตี้ฝูอีเตรียมมาให้เธอเป็นของที่นำมาจากด้านนอก สีสันและรสชาติหลากหลาย ย่อมแตกต่างจากอาหารจืดชืดไร้รสของที่นี่ เป็นธรรมดาที่เธอจะไม่อยากกินอาหารของที่นี่แล้ว

หลัวจั่นอวี่ทึ่มทื่อไปแล้ว

เขาโมโหขุ่นเคือง “เสี่ยวจิ่ว นี่เขากำลังทำให้เจ้าโหยหาอาหารเลิศรสของเขา ทำให้เจ้าไปจากเขาไม่ได้! คนผู้นี้ร้ายกาจจริงๆ!”

กู้ซีจิ่วยิ้มแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไรอีก

ความหมายของหลัวจั่นอวี่คือตี้ฝูอีใช้อาหารเลิศรสเป็นกระสุนปืนใหญ่เคลือบน้ำตาลให้เธอรักใคร่ปักใจกับเขา เช่นนั้นแล้วอย่างไรเล่า? เธอชอบนี่นา!

เธอชอบกระสุนปืนใหญ่เคลือบน้ำตาลของเขาที่สุด

เพียงแต่กู้ซีจิ่วก็ฉงนเล็กน้อยเช่นกันที่ตี้ฝูอีไม่มีความเคลื่อนไหวเลย สรุปแล้วตี้ฝูอีกำลังวางอุบายใดอยู่กันแน่?

….

พฤติกรรมของตี้ฝูอีทำให้ผู้อื่นค่อนข้างสับสนงงงวยจริงๆ

ยกตัวอย่างเช่นตอนที่ทุกคนเก็บเกี่ยวอยู่บนต้นไม้ พบพานการล้อมโจมตีจากฝูงลิง ยามที่ทุกคนต่อสู้กับฝูงลิงอย่างกระวนกระวาย ทันใดนั้นเขาก็ปรากฏตัวขึ้นบนยอดไม้ที่อยู่ไม่ไกล เหยียบอยู่บนกิ่งไม้เล็กๆ กิ่งหนึ่งที่ไหวโอนเอน สำราญปานเทพเซียนเยือนแดนมนุษย์ ทำให้ผู้คนที่ค่อนข้างมอมแมมเลอะเทอะชิงชังจนกัดฟันกรอดๆ

ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ปกติชอบนั่งบนภูดูเสือกัดกัน ต่อให้ทั้งสองฝ่ายทุบตีกันจนหัวคนบวมเป็นหัวหมู เขาก็สามารถมองดูคนตายโดยไม่ช่วยเหลือได้ นิสัยข้อนี้ของเขาฝูงชนได้ยินมาเนิ่นนานแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คาดหวังว่าเขาจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ

หัวหน้ากลุ่มเก็บเกี่ยวคิดว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้คงคิดจะฉวยโอกาสนี้เสนอเงื่อนไขแลกเปลี่ยนกับความช่วยเหลือ คาดไม่ถึงว่าครั้งนี้เขาจะลงมือทันที เขาจรวดปลายนิ้วบรรเลงเพลงขลุ่ยสายหนึ่ง จากนั้นลิงเหล่านั้นก็กระโดดโลดเต้น ไม่สนใจไล่ตามคนอีกต่อไป

ทุกคนถูกเขาช่วยไว้ กำลังรอให้เขายื่นข้อเสนอใดๆ ออกมาอย่างระแวดระวัง นึกไม่ถึงว่าเขาจะหันหลังเหินทะยานไปเลย สะบัดแขนเสื้อจากไปอย่างมินำพา ไม่พูดกับพวกเขาเลยสักประโยค

ทุกคนมองหน้ากันเหลอหลา รู้สึกราวกับหลับฝันไปมิใช่ความจริง

ไม่ต่างกันเลย กลุ่มล่าสัตว์ก็ประสบสถานการณ์ทำนองเดียวกันด้วย ในยามคับขันท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ได้หล่นลงมากฟ้า เมื่อคลี่คลายวิกฤตให้พวกเขาแล้ว เขาก็เหินจากไปอีกครั้ง

ถึงอย่างไรคนเหล่านี้ก็เป็นชายชาตรีเลือดร้อนที่มีคุณต้องทดแทนมีแค้นต้องชำระ กินของเขาต้องปากหวาน รับของเขาต้องมือไม้อ่อน พวกเขาอยากชดใช้หนี้น้ำใจของคนผู้นี้ ทว่าจนปัญญาที่ยังหาโอกาสไม่ได้

เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง ความระแวงที่ฝูงชนมีต่อเขาสลายไปไม่น้อยแล้ว บางครั้งยามที่พบพานอันตราย ก็จะตั้งตารอเขามาจนติดเป็นนิสัยแล้ว…

ดำเนินไปเช่นนี้อยู่ห้าวัน เมื่อตี้ฝูอีปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งก็เริ่มชี้แนะพวกเขาสองสามประโยค อย่างเช่นข้อผิดพลาดบางอย่างในเคล็ดวิชาที่ฝึกฝนเอย ลูกเล่นยังไม่เพียงพอเอย…

คำชี้แนะของเขาแทบจะจี้ได้ถูกจุดทั้งสิ้น ทำให้พวกเขาประหนึ่งพบหนทางตรัสรู้ ได้รับประโยชน์มหาศาล

คนเหล่านี้ล้วนเชี่ยวชาญการศิลปะวิทยายุทธ์ ลุ่มหลงการเรียนรู้วิชายุทธ์ยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้ต่อมาจึงเริ่มมีคนเป็นฝ่ายมาขอร้องให้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายสั่งสอน มาทันตอนที่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอารมณ์ดี ชี้แนะพวกเขามากขึ้นไม่กี่ประโยคก็เพียงพอให้พวกเขาต้องขบคิดอย่างลึกซึ้งด้วยตัวเองไปกว่าสิบปีแล้ว!

ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเช่นนี้ นอกเหนือจากผู้ที่ต้องการประชันขันแข่งกับตี้ฝูอีอย่างแท้จริงหรือแม้กระทั่งบางคนค่อนข้างมีความแค้นเล็กๆ น้อยๆ กับเขาแล้ว คนส่วนใหญ่ล้วนศิโรราบต่อตี้ฝูอีแล้ว เป็นฝ่ายกล่าวออกมาด้วยตัวเองอย่างชัดเจนว่าเห็นชอบเรื่องวิวาห์ของตี้ฝูอีกับกู้ซีจิ่ว

ตี้ฝูอีก็มิได้วางตัวสูงส่งอยู่เหนือผู้อื่นตลอดเวลาแล้ว เขาเข้าถึงประชาชนยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้เขาจึงหยิบสุราออกมาแบ่งปันสังสรรค์กับพวกเขาบ้างเป็นครั้งคราว

บนโต๊ะสุราเป็นแหล่งที่บุรุษคบหากันเป็นสหายได้ง่ายดายที่สุด ร่ำสุราด้วยกันไปหนหนึ่ง คนเหล่านี้ก็เห็นตี้ฝูอีเป็นเหล่าพี่น้องแล้ว

พวกเขาไม่เพียงแต่เห็นชอบกับเรื่องวิวาห์นี้ด้วยตัวเองเท่านั้น หลายคนถึงขั้นที่เริ่มเกลี้ยกล่อมคนที่ไม่เห็นชอบพวกนั้นแล้วด้วย

————————————————————–

บทที่ 1360 การกลั่นแกล้งจากพี่ใหญ่ (6)

กล่าวคือกู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีเดิมทีก็เป็นคู่สวรรค์สรรค์สร้างอยู่แล้ว ผู้อื่นยอมเสี่ยงภัยตามเก้ารอดหนึ่งไล่ตามมาถึงที่นี่เพื่อตามหาภรรยา ความรักนี้สั่นสะเทือนฟ้าดินได้เลย ประกอบกับแม่นางกู้ซีจิ่วก็ปักใจในตัวเขาเช่นกัน พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นไม้คานตีขัดคู่ยวนยางเลย หากคัดค้านต่อไปก็ไม่สมเป็นชายเลยสักนิด!

ระยะเวลาสั้นๆ เพียงสิบวัน ในหมู่บ้านแห่งนี้นอกจากไป๋หลี่เช่อแล้ว แทบทั้งหมดล้วนกลายเป็นผู้ให้การสนับสนุนงานวิวาห์ครั้งนี้แล้ว ทุกคนพากันมาหาหลัวจั่นอวี่ แสดงความคิดเห็นเช่นนี้ของตนออกมา

หลัวจั่นอวี่ไม่คาดคิดเลยว่าในระยะเวลาสิบวันตี้ฝูอีก็สามารถสยบชายฉกรรจ์ที่ดื้อด้านหัวรั้นเหล่านี้ได้แล้ว ในใจยังคงเลื่อมใสอยู่เล็กน้อย เพียงรอให้เขาโค่นไป๋หลี่เช่อที่กระดูกแข็งเคี้ยวยากลงให้ได้เท่านั้น

ไป๋หลี่เช่อชอบพอกู้ซีจิ่วเป็นเรื่องที่คนทราบกันทั่ว เขามีนิสัยหัวรั้นดื้อแพ่งยิ่งนัก ไม่ว่าเรื่องอะไรก็จะทุ่มเทต่อสู้อย่างสุดกำลัง วัวเก้าตัวก็อย่าหมายว่าจะลากกลับมาได้!

ปัญหาเรื่องกู้ซีจิ่วนี้จะไม้อ่อนหรือไม่แข็งก็ใช้กับเขาไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าใครพูดมากไปเขาก็ตัดสัมพันธ์กับผู้นั้นทันที!

ท่าทีของเขาแข็งกร้าวปานนี้ บรรดาสหายเหล่านั้นของเขาจึงไม่กล้าเกลี้ยกล่อมเขา เลี่ยงไม่ให้ถูกเขาฟาดงวงฟาดงาใส่

เป็นเช่นนี้จนผ่านพ้นไปเกือบครึ่งเดือน เขายังคงไม่ปริปากออกมา

จวบจนเวียนมาถึงวันชุมนุมทุกครึ่งเดือนอีกครั้ง

ฝูงชนมารวมตัวกัน กู้ซีจิ่วก็ออกจากเรือนหลอมโอสถมารวมตัวกับคนอื่นอย่างที่พบเห็นได้ยากนัก

เกือบครึ่งเดือนมานี้เธอไม่ได้พบหน้าตี้ฝูอีเลยสักครั้งจริงๆ มากสุดก็แค่มองดูอีกฝ่ายจากที่ไกลๆ แวบหนึ่ง จากนั้นก็ต่างคนต่างยุ่งเรื่องของตน

กองไฟ เนื้อย่าง อาหารเลิศรสหลากหลายชนิด…

เพียงแต่ผู้คนไม่มีกะจิตกะใจจะลุกขึ้นมาร้องรำหยอกเอินกันเลยสักนิด

ณ ที่แห่งนี้ถึงแม้ส่วนใหญ่แล้วความเป็นความตายจะเป็นสิ่งที่พอเข้าใจได้ แต่ถึงอย่างไรก็สูญเสียพวกพ้องถึงสี่ห้าคนไปในงานชุมนุมรอบกองไฟครั้งก่อน สร้างความสะเทือนใจให้ผู้คนไม่น้อย ในงานชุมนุมรอบกองไฟครั้งนี้จึงมีคนเอ่ยถึงพวกเขาอย่างอดไว้ไม่อยู่ บรรยากาศจึงหดหู่ลงกว่าเดิมมาก

เพื่อจะปลุกปลอบขวัญกำลังใจของทุกคน หลัวจั่นอวี่จึงให้ผู้คนนั่งล้อมวงแล้วเล่นเดิมพันสุรากัน

การเล่นเดิมพันสุราของทุกคนย่อมมีข้อจำกัดยิ่ง ไม่มีอะไรนอกเหนือจากการละเล่นจำพวกตีกลองเวียนช่อบุปผา ทุกคนเล่นกันอย่างไม่มีกะจิตกะใจสักเท่าไหร่ ยังคงอึมครึมไร้ชีวิตจิตใจ ทำให้หลัวจั่นอวี่กังวลอย่างยิ่ง

จู่ๆ กู้ซีจิ่วที่นั่งฟังพวกเขาพูดคุยกันไปเรื่อยอย่างเงียบๆ มาโดยตลอดก็เสนอการละเล่นอย่างหนึ่งขึ้นมา…ถามหรือท้า[1]

การละเล่นนี้สำหรับคนยุคปัจจุบันเล่นจนหน่ายแล้ว แต่สำหรับคนเหล่านี้แล้วยังคงสดใหม่ยิ่งนัก ทำให้ทุกคนคึกคักขึ้นไม่น้อยจริงๆ

เธออธิบายกฎอย่างคร่าวๆ ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงเริ่มเล่นกัน

ยามที่แพ้คนส่วนใหญ่ยังคงเลือกการถามอยู่ดี ถึงอย่างไรการท้าทายก็ไร้ขอบเขตเกินไป ทุกคนยังคงพะวงอยู่บ้าง

กู้ซีจิ่วก็แพ้ไปหนึ่งตาเช่นกัน ส่วนผู้ชนะก็บังเอิญเป็นไป๋หลี่เช่อพอดี

ไป๋หลี่เช่อดื่มสุราไปไม่น้อยแล้ว ยามนี้ดวงตาที่แดงก่ำเล็กน้อยของเขามองดูเธอ “ซีจิ่ว เจ้าจะเลือกถามหรือท้า?”

กู้ซีจิ่วควงตะเกียบในมือเอ่ยถามเขา “คำท้าคืออะไร? แล้วคำถามล่ะคืออะไร?”

ไป๋หลี่เช่อสูดลมหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง “คำท้าคือเจ้าต้องจุมพิตข้าต่อหน้าฝูงชนคราหนึ่ง คำถามนั้นย่อมเป็นต้องตอบคำถามข้ามาตามจริง โป้ปดไม่ได้แม้สักครึ่งประโยค!”

เมื่อกล่าวออกมา รอบข้างก็เงียบสงัดลง

————————————————————————————-

[1] ถามหรือท้า (Truth or Dare) เป็นเกมที่ได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่น ผู้จะมาล้อมวง แล้วพลัดกันเล่นเกมทีละคน เมื่อถึงตาที่จะต้องเล่น ผู้เล่นต้องเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างตอบคำถามหรือรับคำท้าทาย ถ้าไม่ตอบตามความเป็นจริงหรือปฏิบัติตามคำท้าไม่ได้จะถูกลงโทษด้วยการให้ดื่มเหล้า