[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร]

บทที่ 481 : เมฆเก้าสี!

เมื่อครั้งอยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้น.. เคยมีนางฟ้าองค์หนึ่งติดตามหลิงหยุนไปกว่าครึ่งปี และเมื่อถึงเวลาที่นางต้องจากลา นางได้ชี้ไปยังดวงดาวพร้อมตั้งคำถามกับหลิงหยุน..

นางฟ้าองค์นั้นเอ่ยถามหลิงหยุนพร้อมกับพยายามซ่อนแววตาที่เศร้าสร้อยไว้ “หลิงหยุน.. เจ้าตอบข้าได้หรือไม่ว่าดวงดาวบนท้องฟ้ามีหัวใจหรือไม่?”

หลิงหยุนไม่กล้าแม้แต่จะมองตาที่เศร้าสร้อยของนางฟ้าองค์นั้น และในครั้งนั้นเขาตอบกลับไปว่า “ข้าคิดว่ามี.. ไม่เช่นนั้นเหตุใดดวงดาวเหล่านั้นจึงเอาแต่ซ่อนตัว และแอบจ้องมองผู้คนมานานหลายพพันปี!?”

หลังจากได้ฟังคำตอบ ดวงตาของเทพธิดาองค์นั้นก็ดูเศร้าสร้อยมากยิ่งขึ้น และใบหน้าที่สดใสสวยงามไร้คู่แข่งของนางก็เปลี่ยนไปชั่วขณะ ก่อนจะจากไปโดยไม่ใยดี..

ดวงดาวมีหัวใจหรือไม่นั้น.. หลิงหยุนไม่รู้จริงๆ! เขารู้เพียงว่าดวงดาวบนท้องฟ้าแต่ละดวงล้วนมีพลัง มันเผาไหม้ตัวเองเพื่อเปล่งประกายสว่างไสวอยู่ท่ามกลางความมืด และหนาวเหน็บของจักรวาล ใช้ชีวิตของตนเองสร้างแสงระยิบระยับเป็นประกายสะดุดตา..

ตอนนี้หลิงหยุนฝึกวิชาดารกะดายัน สิ่งที่เขาดูดซับเข้าไปในร่างกายนั้น ก็คือพลังของดวงดาวนับพันล้านดวง!

หลังจากที่ผ่านบททดสอบ และแทบเอาชีวิตไม่รอดจากอสุนีบาตที่ทรงอานุภาพเหล่านั้นแล้ว ร่างของหลิงหยุนก็มีอุณหภูมิที่สูงขึ้นจากพลังสายฟ้า จนในเวลานี้อุณหภูมิในร่างกายเของเขาก็ยังคงสูงอย่างน่าตกใจ!

จุดฝังเข็มต่างๆ ในร่างกายของหลิงหยุนเวลานี้ไม่ต่างจากหลุมที่ไม่มีก้น มันสามารถหมุนเวียนเชื่อมต่อกันอย่างต่อเนื่อง จุดฝังเข็มเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้พลังต่างๆในร่างกายของหลิงหยุน รวมทั้งพลังหยิน-หยางสามารถผ่านเข้าสู่เส้นลมปราณได้อย่างราบรื่น

เมื่อใดก็ตามที่หลิงหยุนฝึกวิชาดารกะดายัน จุดฝังเข็มเหล่านี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อการดูดซับพลังสุริยะที่ร้อนแรง พลังจันทราที่สวยงาม และพลังดวงดาวนับล้านๆดวง

ตอนนี้ภายในจุดตันเถียน และเส้นลมปราณต่างๆของหลิงหยุน ล้วนเต็มไปด้วยสายฟ้ารูปร่างคล้ายงูจำนวนนับไม่ถ้วน ทำให้โลกภายใน และโลกภายนอกของหลิงหยุนนั้นเชื่อมต่อกันได้อย่างเป็นธรรมชาติ และน่าประหลาด!

และแน่นอนว่า.. หากเป็นมนุษย์ธรรมดา ก็คงจะไม่สามารถมองเห็นพลังดวงดาวที่รายล้อมรอบกายหลิงหยุนระหว่างที่ฝึกดารกะดายันได้

แต่ไป๋เซียนเอ๋อไม่ใช่มนุษย์.. นางเป็นสุนัขจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางที่กลายร่างเป็นมนุษย์ได้สำเร็จ และนางก็เป็นสัตว์วิญญาณที่มีพลังมากที่สุดบนโลกใบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ก็เป็นเกาะที่อยู่กลางท้องทะเล และไร้ซึ่งมลพิษ ดังนั้นไป๋เซียนเอ๋อจึงสามารถมองเห็นภาพที่น่าอัศจรรย์ตรงหน้าได้!

หลิงหยุนฝึกดารกะดายันเพียงไม่นาน ก็สามารถเข้าสู่ระดับย่อยที่สิบสี่ได้แล้ว เขาหยุดฝึกเพียงแค่นั้นด้วยความรู้สึกที่พอใจอย่างมาก..

หลิงหยุนสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าจิตหยั่งรู้ของเขานั้นเริ่มมีกำลังมากขึ้น แม้ว่ารัศมีในการรับรู้ของจิตหยั่งรู้จะยังไม่กว้างนัก แต่ก็มีความคมชัด และสามารถรับรู้ได้ในรัศมียี่สิบเมตร

หลังจากที่ได้ทดสอบอย่างละเอียด เขาสัมผัสได้ว่าสามารถมองเห็นภายในร่างกายของตนเองได้รวดเร็วมากขึ้น และอีกไม่นานเขาก็จะเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-8 ได้แล้ว

จุดตันเถียน และเส้นลมปราณที่แข็งขึ้นนั้น ทำให้พลังหยิน-หยางในร่างกายของหลิงหยุนบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น และด้วยดารกะดายันระดับสิบสี่นี้ ก็ทำให้เนตรหยินหยางของเขามองได้ไกลขึ้นอีกเช่นกัน!

หลิงหยุนก้มลงใช้เนตรหยินหยางมองไปที่แขนของตนเอง เขาสามารถมองเห็นเส้นเลือด และกล้ามเนื้อใต้ผิวหนังได้อย่างชัดเจน แต่ยังไม่สามารถมองทะลุกล้ามเนื้อไปจนเห็นกระดูกได้..

‘มองลึกไปได้เพียงหนึ่งเซนติเมตร..’ หลิงหยุนคิดอยู่ในใจเงียบๆ

หลิงหยุนละสายตาจากแขนของตนเอง และมองไปยังไป๋เซียนเอ๋อซึ่งสวมชุดกระโปรง ไม่ผิดจากที่คิดไว้.. เนตรหยินหยางของหลิงหยุนสามารถมองทะลุเสื้อผ้าบางของไป๋เซียนเอ๋อได้ในทันที ไป๋เซียนเอ๋อภายใต้สายตาของเขานั้น ไม่ต่างจากไข่ที่ถูกลอกเปลือกนอกออก และไม่ว่าจะสวมเสื้อผ้าหรือไม่ก็ไม่ต่างกัน!

“เฮ้อ..” หลิงหยุนรีบลุกขึ้นลุกลง และเลือดกำเดาเกือบจะไหลออกมา!

“นายท่าน.. เป็นอะไรไป?!”

ไป๋เซียนเอ๋อไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางจึงรีบโน้มตัวเข้าไปใกล้หลิงหยุนอย่างรวดเร็ว เพื่อช่วยประคองเขาไว้ และสีหน้าแววตาก็เต็มไปด้วยความกังวล และห่วงใย!

“ข้าไม่เป็นอะไร..” หลิงหยุนรีบดับเนตรหยินหยาง และพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง..

จากนั้นไป๋เซียนเอ๋อก็เอ่อยถามอย่างเอียงอาย “นายท่าน.. นายท่านต้องสวมใส่เสื้อผ้าก่อนหรือไม่?”

“ต้องสิ!” หลิงหยุนตอบพร้อมกับเรียกเสื้อผ้าชุดใหม่ออกมาถือไว้

จากนั้นก็จัดการสวมใส่เสื้อผ้าชุดดำ ส่วนในใจก็สวดภาวนาเพื่อดับไฟราคะอยู่ไม่หยุด เขารู้สึกว่าไป๋เซียนเอ๋อนั้นมีแรงดึงดูดมากกว่าหลินเมิ่งหานถึงเจ็ดแปดเท่า

เมื่อสภาพร่างกายของหลิงหยุนกลับคืนสู่สภาพปกติแล้ว เขาจึงได้แต่ยิ้ม จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเพื่อทดสอบมังกรคำราม.. และไม่ว่าจะตะโกนหรือกระซิบ เสียงของหลิงหยุนก็สามารถได้ยินไปไกลกว่าสิบไมล์ทะเล

มังกรคำรามหากใช้คู่กับจิตหยั่งรู้.. จึงจะเป็นมังกรคำรามที่แท้จริง หากคนธรรมดาได้ยินมังกรคำรามของหลิงหยุนในเวลานี้ พลังของมันคงทำให้พวกเขาต้องถึงกับงุนงง จนหลงทิศหลงทางไปครู่ใหญ่แน่

และยิ่งกว่านั้น.. หลิงหยุนมั่นใจว่ามังกรคำรามของเขาในเวลานี้ จะสามารถบีบ และสะกดจิตยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนให้สามารถเผยความลับของตนออกมาได้!

อสุนีบาตทดสอบจากสวรรค์นั้น ทำให้หลิงหยุนได้รับประโยชน์มากมายจนนับไม่ถ้วน!

หลิงหยุนร้องตะโกนอย่างตื่นเต้น และเมื่อเขากำลังจะร้องบอกให้ไป๋เซียนเอ๋อเตรียมตัวกลับบ้าน เขาก็สัมผัสถึงความผิดปกติบางอย่าง!

หลิงหยุนถึงกับใจสั่น!

“นี่อะไรกัน?! ยังไม่หมดอีกหรือนี่?” หลิงหยุนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความรู้สึกที่ไม่ดีนัก!

“ช่างเป็นเมฆที่สวยงามอะไรเช่นนี้!” ไป๋เซียนเอ๋อชี้ไปที่เมฆสีส้มซึ่งอยู่ห่างไกล สีหน้าของนางทั้งตื่นเต้นแล้วก็หลงใหล

“ดูสินายท่าน.. มีเสียวเขียวด้วย..”

“สีม่วงก็มี.. งดงามมากเลย!”

“แดง..”

“ฟ้า..”

“เหลือง..”

ไป๋เซียนเอ๋อเกาะแขนหลิงหยุนพร้อมกับร้องออกมาอย่างตื่นเต้น นางชี้ไปทางโน้นทางนี้ให้หลิงหยุนดู

“ดูนั่นสิ.. สีฟ้าก็มี.. อยู่ทางโน้น”

ไป๋เซียนเอ๋อทั้งตกใจ และประหลาดใจ นางไม่รู้ว่าก้อนเมฆทั้งเจ็ดสีนี้มาได้อย่างไร? แล้วเมฆเหล่านั้นก็ค่อยๆเคลื่อนลงมาที่ศรีษะของคนทั้งคู่อย่างช้าๆ และแรงบีบคั้นก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง!

“เมฆเจ็ดสี.. มันคือเมฆเจ็ดสีสำหรับการทดสอบ..”

หลิงหยุนไม่ได้ยินด้วยซ้ำว่าไป๋เซียนเอ๋อพพูดอะไร แต่สีหน้าท่าทางของเขากลับมีแววตื่นตระหนก และขนลุกอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

หลิงหยุนเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมา.. และแล้วเมฆสีขาวและดำก็ปรากฏอยู่เหนือศรีษะของเขา!

“แย่แล้ว!”

เมฆเก้าสี!

แสงสีแดง ส้ม เหลือง เขียว ฟ้า คราม ม่วง ดำ และขาว ปรากฏอยู่บนท้องฟ้า และเมฆสีต่างๆก็ปรากฏขึ้นราวกับดอกเห็ด

แรงบีบคั้นระหว่างสวรรค์กับโลกเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลิงหยุนสัมผัสได้อย่างชัดเจน และมีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้สึกได้!

เมฆเหล่านั้นไม่เพียงมีสีในตัวมันเอง แต่ยังมีแสงสว่างที่เป็นสีเดียวกันเปล่งประกายออกมาด้วย ราวกับมีไฟนีออนจำนวนมากติดอยู่ในเมฆแต่ละก้อน แสงสว่างบนท้องฟ้าในยามนี้ช่างงดงาม และสีสรรก็สวยงาม!

เรียกได้ว่าสวยงามกว่าแสงเหนือที่อาร์กติกเสียอีก!

“เซียนเอ๋อ.. หนีเร็ว! รีบวิ่งกลับไปที่ถ้ำ นี่เป็นเมฆทดสอบ บททดสอบของข้ายังไม่จบ!”

หลิงหยุนคิดว่าบททดสอบที่โหดร้ายจนเกินจะอธิบบายของเขาได้จบบสิ้นไปแล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่า หายนะที่แท้จริงเพิ่งจะมาถึง!

เปรี้ยง!

ยังไม่ทันสิ้นเสียง.. ร่างของหลิงหยุนก็ถูกแรงบีบคั้นนั้นกดจนต้องทรุดนั่งลงไปกับพื้น และหินก้อนใหญ่ที่อยู่ใต้ก้นของเขาก็แตกละเอียด!

“นายท่าน.. นั่นมันเมฆทดสอบหรอกรึ!?”

ไป๋เซียนเอ๋อเห็นหลิงหยุนก็ได้แต่ตกตะลึง นี่ขนาดว่าเมฆทดสอบหลากสียังไม่รวมตัวกัน แรงบีบคั้นของสวรรค์ก็ยังสามารถกดหลิงหยุนจนล้มลงไปได้ แล้วจากนี้ไปเขาจะต้านทานได้อย่างไรกัน?!

“เซียนเอ๋อ.. เชื่อฟังข้า! เร็วเข้า กลับไปที่ถ้ำเดี๋ยวนี้! หากเมฆกลุ่มนี้ไม่หายไป ห้ามเจ้าออกมา.. ได้ยินหรือไม่?!”

 หลิงหยุนแทบหมดเรี่ยวแรงกำลัง และแทบจะไม่มีแรงพูดกับไป๋เซียนเอ๋อ เขาถูกแรงบีบคั้นกดทับไว้จนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้อีก!

แต่ไป๋เซียนเอ๋อกลับไม่ยอมไป นางมองเมฆทดสอบหลากสีบนท้องฟ้า จากนั้นก็หันไปมองหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“นายท่าน.. ท่านต้านไหวหรือไม่?”

ต้านไหวหรือไม่งั้นรึ?  แทบจะไม่ต้องถาม.. เมื่อครั้งที่หลิงหยุนอยู่ในขั้นอมตะนั้น ก็ยังยากแสนยากที่จะเอาชนะเมฆเจ็ดสีมาได้?

หลิงหยุนรู้ตัวดีว่าครั้งนี้เขาไม่รอดแน่.. แต่เขาไม่ต้องการให้ไป๋เซียนเอ๋อเป็นห่วง จึงกล้ำกลืนแสดงสีหน้า และฉีกยิ้มพร้อมกับพูดว่า

“ต้อง.. ได้.. สิ!”

“เซียนเอ๋อ.. เจ้ากลับไปที่ถ้ำได้แล้ว หาที่ซ่อนตัวให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้..”

หลิงหยุนหมดเรี่ยวหมดแรง และหลังจากพูดประโยคสุดท้ายจบ เขาก็พูดอะไรไม่ออกอีก อวัยวะภายในร่างกายของเขาปวดร้าวไปหมดจากแรงบีบคั้นที่รุนแรง แม้แต่หายใจยังแทบไม่ได้ และหัวใจก็เต้นได้อย่างยากลำบาก เขายังจะพูดอะไรได้อีก!

ไป๋เซียนเอ๋อไม่โง่.. นางยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “นายท่าน.. เซียนเอ๋อจะอยู่เป็นเพื่อนนายท่าน..”

หลิงหยุนโกรธมากจนลูกตาแทบทะลุออกมาจากเบ้า และดวงตาของเขาก็แดงก่ำ หลิงหยุนอยากจะตีไป๋เซียนเอ๋อเป็นการลงโทษ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะแม้แต่พูดเขายังทำไม่ได้เลย..

“นายท่าน.. เซียนเอ๋อรู้ดีว่านายท่านไม่สามารถผ่านบททดสอบขั้นนี้ไปได้..”

“เซียนเอ๋อไม่สามารถช่วยอะไรนายท่านได้ก็จริง.. แต่..”

“แต่เซียนเอ๋อตายพร้อมนายท่านได้!”

ไป๋เซียนเอ๋อจ้องมองหลิงหยุน ดวงตาของนางแน่วแน่ และเปี่ยมไปด้วยศรัทธา!