ความยากในการแก้ไขอาการธาตุไฟเข้าแทรกนั้นขึ้นอยู่กับว่าเกิดอะไรขึ้นภายในร่างกายบ้าง

 

กำลังภายในหลุดกรอบการควบคุม

 

เส้นเอ็น เส้นชีพจรวางระเบียบผิดพลาด

 

พลังปราณและโลหิตปั่นป่วน

 

แม้ว่าคนนอกอยากจะช่วยเหลือ ก็มิอาจจะหาทางรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้ได้

 

เพราะเหตุนี้แม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ต้องมาเผชิญกับคนที่มีอาการธาตุไฟเข้าแทรก ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากกัดฟันทนแบ่งฐานการบ่มเพาะมาช่วยชีวิตคนที่ตกอยู่ในอาการนี้ เป็นราคาความสูญเสียที่สูงมาก

 

แต่ทั้งหมดนั้นไม่นับเป็นอะไรสำหรับซูฉินผู้ซึ่งมีดวงตาแห่งสัจจะ

 

ดวงตาแห่งสัจจะสามารถมองเห็นกลไกของลมปราณทั้งหมด เป็นปกติที่จะรู้ทุกสิ่งอย่างภายในร่างกายของเจ้าอาวาส

 

เพื่อช่วยเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน ซูฉินเพียงแค่ต้องทำตามคำแนะนำของดวงตาแห่งสัจจะเท่านั้น

 

ไม่ได้มีความยาก ความท้าทายใดๆ เลย

 

 

ภายในลานโพธิ์

 

เหล่าหัวหน้าตำหนักและเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินยังคงอยู่ที่นี่

 

แม้ว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะหายดีแล้ว แต่เขาก็วางแผนจะอยู่ที่นี่ต่อสักพักเพื่อความปลอดภัย

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ย่อมมีคำถามนับพันนับหมื่นอยู่ในใจ เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะไม่ยอมจากไป

 

“เจ้าอาวาส เมื่อครู่ท่านได้เห็นหรือไม่ว่าบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ของวัดเส้าหลินผู้นั้นเป็นใคร?”

 

หัวหน้าฝ่ายวินัยอดไม่ได้ที่จะถามออกมา

 

ตอนที่ซูฉินเข้ามาในตัวอาคารลานโพธิ์ รูปร่างหน้าตาของเขาถูกปกคลุมไปทั่วทั้งหมด พวกเขาต่างก็เห็นเพียงแค่ร่างเงาที่คลุมเครือ

 

แต่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเป็นบุคคลที่ได้สัมผัสใกล้ชิดกับบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ มีความเป็นไปได้มากว่าจะได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของอีกฝ่าย

 

“ไม่เลย”

 

แต่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็ส่ายหัว

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพูดออกไปตามจริง ไม่ได้ปกปิดอะไร

 

เขาไม่ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของซูฉิน ตอนนั้นเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินอยู่ในอาการตกใจอย่างมากที่ร่างกายฟื้นฟูกลับมาได้

 

แล้วยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินต้องการจะเห็น เขาก็ไม่มีทางมองเห็นได้

 

เมื่อได้ยินคำกล่าวนั้นกลุ่มหัวหน้าตำหนักก็เงียบไป

 

แม้พวกเขาไม่รู้ว่าบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์จะปิดบังหน้าตาไปเพื่อเหตุใด พวกเขาก็ทำได้เพียงเดาไปต่างๆ นานา

 

“ช่างมันเถอะ”

 

“กว่าหนึ่งปีมาแล้วนะที่ตราประทับภูเขาด้านหลังได้ถูกเสริมกำลัง สิ่งนั้นจะเกี่ยวข้องกับบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่?”

 

ขณะนั้นเองหัวหน้าลานธรรมก็ถามออกมา

 

คำถามที่ออกมานี้

 

ทุกคนต่างก็ฉงนใจ

 

แม้ว่าพวกเขาจะเคยถามสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าที่เดินออกมาจากพื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลังในยามนั้น แต่สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าก็บอกว่าพวกท่านอยู่ในสภาพระงับการรับรู้และไม่เคยไปแตะต้องตราประทับเลย

 

หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ

 

ตราประทับนั้นถูกทิ้งไว้โดยอรหันต์‘ถัวอา‘ แม้ว่าสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าต้องการจะสัมผัส พวกท่านก็ไม่สามารถแตะต้องได้

 

หัวหน้าตำหนักต่างก็งงงวยกับเรื่องนี้ แต่ในเมื่อไม่มีใครสามารถไขข้อข้องใจได้ จึงทำได้เพียงแต่หยุดคิดมันไป

 

“สาธุ”

 

“ไม่ต้องกล่าวความให้มากอีกต่อไป”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกไป

 

ไม่ว่าเรื่องเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลังจะเกี่ยวข้องกับบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ แต่ถ้าบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้คิดบอกกล่าวให้ใครได้รู้ เรื่องนี้จึงไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องไปรู้

 

เมื่อพูดถึงตราประทับที่ระดับ ‘อรหันต์‘ ทิ้งเอาไว้เมื่อเก้าร้อยปีก่อน ระดับมันเกินขีดจำกัดที่ทุกคนตรงนี้จะคิดจินตนาการไปถึงได้

 

 

เวลาผ่านเลยไปอย่างเชื่องช้า

 

อีกหนึ่งปีก็ผ่านไปในพริบตา

 

ในวันนี้มีหิมะตกหนัก ทั่วทั้งวัดเส้าหลินถูกปกคลุมไปด้วยชั้นหิมะสีเงิน

 

หน้าศาลาพระคัมภีร์

 

ซูฉินกำลังทำความสะอาดปัดกวาดหิมะออกไป

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับเคล็ดวิชาหมัดมวย ‘หมัดกระจ่างแสง‘]

 

“หมัดกระจ่างแสง?”

 

หัวใจของซูฉินสั่นไหว

 

หมัดกระจ่างแสงเป็นผลงานชิ้นเอกของวัดเส้าหลินอีกอย่างหนึ่ง เรียกว่าเป็นเคล็ดวิชาด้านหมัดมวยอันดับหนึ่งของวัดเลยก็ว่าได้ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่วัดเส้าหลินถูกปิดล้อมไปด้วยยอดฝีมือระดับชั้นที่หนึ่งมากมาย

 

เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินในยุคนั้นก็ได้ใช้เคล็ดวิชานี้นี่แหละ ในการปกป้องวัดเส้าหลิน ต่อกรกับยอดปรมาจารย์หลายต่อหลายคนเพียงลำพัง

 

ครู่ต่อมา

 

ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับหมัดกระจ่างแสงก็โถมเข้ามาท่วมในจิตของซูฉิน

 

จากนั้นไม่นาน

 

ซูฉินลืมตาขึ้น ความประหลาดใจปรากฏขึ้นทั่วทั้งใบหน้า

 

“ผู้ที่คิดค้นเคล็ดวิชาหมัดมวยนี้ขึ้นมาอย่างน้อยก็ต้องเป็นจุดสูงสุดของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่ผ่านการแปรสภาพพลังมาสักด้านหรือสองด้านแล้ว”

 

ซูฉินพึมพำกับตนเอง

 

ความละเอียดลออของหมัดกระจ่างแสงนั้นค่อนข้างน่าสนใจ แม้แต่ในมุมมองของซูฉินเองก็ยังรู้สึกแบบนั้น

 

อย่างที่รู้ๆ อยู่ว่าซูฉินลงชื่อรับเคล็ดวิชาต่างๆ ในวัดเส้าหลินมาเป็นจำนวนมาก การที่ซูฉินยังรู้สึกแบบนี้ขึ้นมาได้ ก็แสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของเคล็ดวิชาหมัดมวยฉบับนี้แล้ว

 

โดยเฉพาะกระบวนท่าสุดท้ายของหมัดกระจ่างแสง ที่เกี่ยวพันกับเคล็ดวิชาอื่นๆ อีกเป็นสิบอย่าง เรียกได้ว่าเป็นการเรียงร้อยได้ลงตัวมากทีเดียว

 

“ไม่เลว ไม่เลว”

 

“ไพ่ลับในแขนเสื้ออีกใบหนึ่งของข้า”

 

ซูฉินค่อนข้างพอใจกับมัน

 

ในช่วงปีที่ผ่านมา ซูฉินได้ดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไปในการชำระล้างกำลังภายในของตนโดยการใช้เพลิงมารผลาญสวรรค์ แล้วก็ไปลงชื่อเข้าใช้ทุกที่ในวัดเส้าหลิน

 

ด้วยการฝึกฝนด้านกำลังภายในอย่างต่อเนื่องมาตลอด ซูฉินก็เริ่มรู้ถึงความยากลำบากในการฝึกฝนวิทยายุทธมากขึ้นบ้างแล้ว

 

นอกจากนี้

 

มีหลายสิ่งหลายอย่างทีเดียวเกิดขึ้นในวัดเส้าหลินในช่วงปีนี้

 

อาทิ หัวหน้าลานธรรมได้ก้าวผ่านคอขวดได้สำเร็จ กลายมาเป็นผู้เยี่ยมยุทธในระดับชั้นที่สองอีกหนึ่งคนที่นอกเหนือจากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน

 

และหลังจากการเตรียมความพร้อมมาหลายเดือน เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็พร้อมที่จะบุกฝ่าคอขวดระดับขั้นอีกครั้ง

 

จากการคาดเดาของซูฉินแล้ว คราวนี้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินไม่ควรจะธาตุไฟเข้าแทรกอีก และไม่กี่ปีนับจากนี้การที่จะมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเพิ่มขึ้นอีกคนคงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ

 

ในที่สุด

 

ปีนี้……

 

เป็นปีที่สิบห้าที่ซูฉินเข้ามาอยู่ที่วัดเส้าหลิน

 

“สิบห้าปี…”

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบนแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ

 

หิมะตกลงมาเต็มผืนฟ้าราวกับว่ามันไม่มีวันสิ้นสุด

 

หิมะยังคงตกลงใส่ร่างเขาไม่หยุด

 

เมื่อสิบห้าปีก่อน ซูฉินจำต้องมานมัสการวัดเส้าหลินเพื่อหลีกหนีศัตรูของตระกูลซู

 

ก็แค่ซูฉินไม่คาดคิดเลยว่าตนเพียงจะมาเยี่ยมชมและหลบซ่อน จะอยู่มาจนถึงสิบห้าปีได้

 

เมื่อสิบห้าปีก่อนซูฉินไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย นอกจากตำแหน่งนายน้อยสามแห่งตระกูลซู ไม่ได้เป็นแม้แต่ผู้ฝึกยุทธระดับชั้นที่เก้า

 

และอีกสิบห้าปีต่อมา ซูฉินกลับสามารถทำให้ทั้งโลกตกตะลึงได้เลยทีเดียว ไม่ว่าจะราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนหรือนักพรตจางสายเลือดจอมยุทธอย่างแท้จริงแห่งเขาหวู่ตั้ง ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา

 

“ดูเหมือนว่ายิ่งอายุมากขึ้น ข้าจะยิ่งคิดมากขึ้นไปด้วยนะเนี่ย”

 

ซูฉินยิ้ม เตรียมตัวกลับไปที่ลานจิปาถะ

 

เมื่อซูฉินกลับถึงลานจิปาถะก็พบเข้ากับศิษย์ลานจิปาถะคนหนึ่ง

 

“เจินกวน มีจดหมายถึงเจ้า”

 

ศิษย์คนนั้นยื่นจดหมายมาให้ซูฉิน

 

แม้ว่าวัดเส้าหลินจะให้ความสำคัญกับความสงบ กำหนดใจให้บริสุทธิ์ แต่ก็ไม่ได้กีดกันห้ามศิษย์ติดต่อกับโลกภายนอกแต่ประการใด

 

อย่างไรเสีย ศิษย์ส่วนใหญ่ของวัดเส้าหลินก็มิใช่เด็กกำพร้าและมีญาติพี่น้องที่อาศัยอยู่ภายนอก แม้พวกเขาจะแสดงหาความสงบเงียบว่างเปล่า แต่ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะตัดขาดจากบุคคลอันเป็นที่รัก

 

“เป็นจดหมายจากตระกูลซูใช่หรือไม่?”

 

ซูฉินเหลือบมองจดหมายในมือ

 

สิบห้าปีมานี้ ตระกูลซูมักจะเขียนจดหมายมาหาซูฉินบ้างนานๆ ครั้ง ซูฉินคิดว่าคราวนี้ก็คงจะเหมือนเดิมกับที่ผ่านมานั่นแหละ

 

เมื่อคิดได้ดังนั้นซูฉินก็เปิดซองจดหมายและคลี่มันออกดู

 

จากนั้นไม่นาน

 

ซูฉินวางจดหมายในมือลง ร่องรอยความรู้สึกซับซ้อนในใจปรากฏออกมาทางสีหน้า

 

“ปรากฏว่าเด็กหญิงตัวน้อยของข้า……กำลังจะแต่งงานเสียแล้ว…”

 

ซูฉินพลันนึกถึงเด็กสาวตัวน้อยที่มักจะติดสอยห้อยตามเขาอยู่เสมอ

 

ก่อนที่จะเข้ามาในวัดเส้าหลิน ซูฉินเป็นนายน้อยสามของตระกูลซู ก่อนจะมีซูฉิน มีพี่ชายที่เกิดแต่บิดามารดาเดียวกันสองคน

 

นอกจากนั้นซูฉินยังมีน้องสาวอีกคนหนึ่ง

 

ทั้งสี่คนล้วนมีพ่อแม่คนเดียวกัน ความสัมพันธ์ทางสายเลือดเข้มข้นยิ่งกว่าน้ำ

 

น้องสาวอายุน้อยกว่าซูฉินถึงเจ็ดปี

 

มักจะเดินน้ำมูกไหลตามซูฉินอยู่ตลอด

 

กล่าวได้ว่าในตระกูลซูคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดซูฉินที่สุดก็คือน้องสาวคนนี้

 

ในจดหมาย เป็นข่าวคราวเกี่ยวกับน้องสาวของเขากำลังจะแต่งงาน

 

“ดูเหมือนข้าจะพลาดงานใหญ่ของเธอไม่ได้เสียแล้ว…”

 

ซูฉินนิ่งเงียบไปชั่วขณะ แล้วจึงเดินออกจากวัดเส้าหลินไปตั้งแต่ยามเช้าตรู่

 

นี่เป็นครั้งแรกในรอบสิบห้าปีที่ซูฉินจะก้าวออกจากวัดเส้าหลินนับตั้งแต่เข้าวัดมา