ตอนที่ 298 คนผู้นี้เป็นบ้าไปแล้วหรือ (3)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

ไป๋หลี่หลิงเฟิงแลดูนางอย่างเย็นชา ดวงตาคมวาวฉายแววรังเกียจ “เจ้าชนะหมากกระดานนี้ค่อยว่ากัน”

ไอ้คนโลภมากเช่นนี้สมควรตาย

ชิวเยี่ยไป๋ท่องยุทธจักรมานานปี ไหนเลยจะดูไม่ออกว่าไป๋หลี่หลิงเฟิงรังเกียจตนจนถึงขีดสุด ดวงตาของนางฉายแววเจ้าเล่ห์เย็นชา ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “แม้ข้าน้อยจะมิเชี่ยวชาญการเดินหมาก แต่อยู่ในยุทธจักรมาหลายปียังไม่เคยพบคู่ปรับ ดูแล้วฝ่าบาทนิยมการเดินหมาก บัดนี้พบกับคู่ต่อสู้ที่แท้จริง ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี”

เขาเข้ากองทัพแต่วัยเยาว์และชมชอบการเล่นหมากล้อมแต่เล็ก เคยร่ำเรียนกับอาจารย์ที่มีชื่อเสียงไม่น้อย ดังที่กล่าวกันว่ากลหมากเหมือนกลศึกต้องระวังทุกฝีก้าว เหมือนวิธีการสู้รบ ต้องวางแผนให้มั่นเหมาะค่อยเคลื่อนไหว เขารบเก่งและเล่นหมากเก่ง แทบจะไม่เคยพบคู่ต่อสู้ที่ทัดเทียมกันเลย

ครานี้เขาพบหน้าชิวเยี่ยไป๋เป็นครั้งแรก หลังประฝีปากกันหลายยกแล้ว เขารู้ซึ้งว่าแม้คนผู้นี้จะโลภมากไม่สิ้นสุด แต่การกระทำใดๆ ดูแล้วเหมือนปล่อยปละทำตามอำเภอใจ กลับล้วนมีแผนการลึกซึ้งไม่เบา ไม่เหมือนชาวยุทธจักรทั่วไปที่เอาแต่ตีรันฟันแทง บัดนี้เห็นชิวเยี่ยไป๋กล่าวเช่นนี้กระตุ้นความคิดอยากเอาชนะในจิตใจ จึงตั้งอกตั้งใจเต็มที่ในการรับมือ

ทว่า เขาเห็นชิวเยี่ยไป๋เดินไปหลายตา วิถีหมากกลับพิสดารพันลึกแทบจะไร้กฎไร้เกณฑ์ สะเปะสะปะราวกับคนเพิ่งหัด จึงนึกประหลาดในใจ และมิรู้ว่าชิวเยี่ยไป๋ฝีมือการเดินหมากสูงล้ำเกินไปจนทำเอาเขาดูไม่ออกหรือไม่

ชิวเยี่ยไป๋เห็นไป๋หลี่หลิงเฟิงเอนบนเก้าอี้ขบคิดอย่างจริงจัง คิ้วที่สะสวยขมวดน้อยๆ ท่าทางสมาธิจดจ่อ กลับมีบุคลิกของแม่ทัพใหญ่ที่มองดูการฝึกซ้อมจำลอง

นางวางเม็ดหมากลงตามใจนึก กล่าวช้าๆ ว่า “ก็เพราะข้าน้อยให้ความสำคัญกับฝ่าบาทเกินไป ตำแหน่งสำคัญพวกนั้น คิดว่าฝ่าบาทคงไม่สอดมือเข้ายุ่งเกี่ยวกระมัง”

ไป๋หลี่หลิงเฟิงกำลังข้องใจอยู่ว่าทำไมวิถีหมากของชิวเยี่ยไป๋จึงพิลึกพิลั่น ลงหมากทุกตาล้วนเข้าสู่จุดตาย เขาจะจัดการกับหมากกระดานนี้ง่ายดายมาก แต่ก็สงสัยว่าอีกฝ่ายขุดหลุมพรางหรือไม่ ถึงอย่างไรกลหมากยามอับจนในตำราโบราณล้วนดูแล้วไร้กฎไร้เกณฑ์ แต่พอขยับก้าวเดียวก็กระเทือนทั้งกระดาน

เมื่อได้ยินคำพูดทิ่มแทงของชิวเยี่ยไป๋ มือของเขาจึงชะงักลง ความคิดที่มีอยู่แต่เดิมถูกรบกวน จึงถลึงตาใส่ชิวเยี่ยไป๋อย่างเย็นชา แล้ววางหมากอีกเม็ดครุ่นคิดต่อ

ทุกครั้งที่เขาวางหมากเป็นต้องครุ่นคิดครู่หนึ่ง แต่ชิวเยี่ยไป๋กลับไม่ต้องคิดแม้แต่น้อย ทุกครั้งที่เขาลงเม็ดนางก็จะลงทันที และยังคงไร้กฎเกณฑ์เช่นเดิม แต่ท่าทางกลับมั่นอกมั่นใจจึงทำเอาไป๋หลี่หลิงเฟิงยิ่งระมัดระวังการลงหมากมากกว่าเดิม

ไปมาเช่นนี้พักใหญ่ ทุกครั้งที่ไป๋หลี่หลิงเฟิงจะวางเม็ดหมากต้องขบคิดนานขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนชิวเยี่ยไป๋จะรำคาญ จึงเอ่ยปากถากถางอยู่บ่อยครั้ง และทุกครั้งที่บีบจนไป๋หลี่หลิงเฟิงจะฉีกหน้า นางกลับเลิกราและขออภัย ดึงสมาธิของเขากลับมาบนกระดานหมาก

แต่ถึงอย่างไรไป๋หลี่หลิงเฟิงก็เป็นนักเดินหมากชั้นยอด ต่อให้กลหมากเปลี่ยนแปลงอย่างไร มีแผนตามหลังอย่างไร ยังคงเดินต่อได้ แต่กลับเป็นนางที่จะหาความตายเองทุกตา

เขาทดลองรุกฆาตตรงๆ ก็พบว่าที่แท้อีกฝ่ายทำท่าทำทางเท่านั้นเอง ถูกอุดตายจนหมดทางถอยและไร้แรงต้านทานแม้แต่น้อย ที่พูดว่าไม่เคยพบคู่ปรับในยุทธจักร ก็แค่โม้เท่านั้นเอง

ข้อนี้แม้แต่ผิงหนิงขันทีใหญ่ที่ติดตาม เขามานานปีและพอจะรู้การเดินหมากอยู่บ้างก็ยังดูออก

ในเมื่อเห็นช่องโหว่ของอีกฝ่ายแล้ว ไป๋หลี่หลิงเฟิงจึงไม่เกรงใจอีกต่อไป วางเม็ดหมากรุกอย่างหนักและดุดัน ครู่เดียวหมากดำก็ล้อมหมากขาวไว้หมด เขาพลันเงยหน้าขึ้น แววตาที่จ้องชิวเยี่ยไป๋ยิ่งเย็นชาดูแคลน “คุณชายสี่เย่ เจ้าแพ้แล้ว”

ชิวเยี่ยไป๋คลึงหมากหยกขาวในมือเล่น กำลังมองไปที่กุ้ยฮวาเต็มสวน จิตใจท่องไปสุดขอบฟ้า จู่ๆ ได้ยินคำพูดของไป๋หลี่หลิงเฟิงจึงเหลือบมองกระดานหมากเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน ขมวดคิ้วเล็กน้อยกล่าวอย่างสงสัยว่า “อ้อ ฝ่าบาทแปดท่านแน่ใจหรือ”

ไป๋หลี่หลิงเฟิงแค่นหัวร่อ เผยให้เห็นเม็ดหมากดำที่ปลายนิ้วชี้ไปที่จุดหนึ่งของกระดาน “เม็ดนี้ลงตรงนี้ เจ้าก็หมดทางสู้แล้ว เจ้าแพ้ราบคาบแล้ว และที่แพ้มิใช่แค่เม็ดหรือครึ่งเม็ด หรือเจ้าคิดว่ายังจะพลิกแพลงได้อีก”

เขาแน่ใจมากในหมากกระดานนี้ ชิวเยี่ยไป๋ไม่มีทางพลิกตัวได้โดยเด็ดขาด

เช่นเดียวกับสถานการณ์ของตัวเขาเอง ฝ่ายพระพันปีคิดจะเข่นฆ่าเขาทุกวิถีทาง ตระกูลชิวยอมเข้ากับตระกูลตู้แล้ว เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะยอมต่อต้านพระพันปี เพื่อบุตรคนเดียวที่เกิดจากอนุ แม้ชิวเยี่ยไป๋จะมีฐานะในยุทธจักร แต่รากของเขายังคงอยู่ที่ตระกูล ฐานะชาวยุทธจักรจัดเป็นความลับของเขา และบัดนี้กลับกลายเป็นเครื่องจองจำที่ร้อยรัดเขา

ใต้ฟ้านี้ไม่มีที่ยืนสำหรับชิวเยี่ยไป๋อีกต่อไป ดังนั้นชิวเยี่ยไป๋ต้องให้เขาใช้สอยสถานเดียว

ชิวเยี่ยไป๋ก้มดูกระดานหมาก พลันกล่าวว่า “อืม ข้าดูไม่เข้าใจ”

บรรดาองครักษ์รอบข้างก้าวเข้ามาอย่างไร้สุ้มเสียง ล้อมศาลาเก๋งไว้ มือกุมด้ามดาบโดยพร้อมเพรียงกัน

ดูเหมือนชิวเยี่ยไป๋ไม่เห็นก็มิปาน เงยหน้าขึ้นกล่าวทีละคำว่า “ฝ่าบาทแปด ข้าบอกแล้วว่าข้าเดินหมากไม่เป็นนะ ทำไม ท่านที่เป็นยอดฝีมือหมากล้อมถึงกับดูไม่ออกหรือ”

มือของไป๋หลี่หลิงเฟิงค้างอยู่กลางอากาศ กล่าวอย่างงุนงงว่า “เจ้าว่ากระไร”

ปลายนิ้วของชิวเยี่ยไป๋ตกลงบนกระดานหมากเบาๆ กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ข้าเดินหมากไม่เป็นอยู่แล้ว แต่สามารถทำให้ฝ่าบาทแปดเดินหมากกับข้าได้นานขนาดนี้ ถือว่าช่างเป็นเกียรติอย่างใหญ่หลวงจริงๆ”

คำพูดแดกดันนี้ทำเอาไป๋หลี่หลิงเฟิงโทสะพลุ่งขึ้น สีหน้าบัดเดี๋ยวขาวบัดเดี๋ยวแดง พลันรู้แล้วว่าที่แท้ชิวเยี่ยไป๋อาศัยจุดอ่อนที่เป็นคนรอบคอบระมัดระวังของเขาหลอกเขาเล่นเกือบหนึ่งชั่วยาม

ดวงตาสุกใสของเขาฉายแววโทสะ “สารเลว ถึงกับกล้าหลอกข้าเล่น…”

“แต่ ข้าบอกแล้วว่าข้ายากจะพบคู่ปรับเชิงหมากล้อมในยุทธจักรก็มิใช่มุสา” ชิวเยี่ยไป๋มิได้ปล่อยให้ไป๋หลี่หลิงเฟิงระเบิดโทสะ พลันคล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มกล่าวขัดขึ้น

ถึงอย่างไรไป๋หลี่หลิงเฟิงก็เป็นนักเดินหมาก ในที่สุดก็ข่มความโกรธไว้ได้ มองดูนางด้วยสายตาเกรี้ยวกราด “อย่างนั้นหรือ”

ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้า “ไม่ผิด แต่ท่านก็เอาชนะข้ามิได้”

ไป๋หลี่หลิงเฟิงและผิงหนิงกับพวกมองดูชิวเยี่ยไป๋ด้วยสีหน้าพิกล สายตาก็ตกลงสู่กระดานหมากอย่างไม่รู้ตัว คล้ายไม่เชื่อว่านางซึ่งเป็นคนไม่ประสีประสาอะไรกับการเดินหมากยังจะสามารถพลิกหมากกระดานนี้ได้

“ไม่เชื่อหรือ” ชิวเยี่ยไป๋หัวร่อเบาๆ “ถ้าเช่นนั้นจงดู”

ว่าแล้วนางพลันขยับมือพลิกกระดานหมาก เม็ดหมากทั้งกระดานร่วงกราวลงเกลื่อนพื้นในพริบตา

หมากดำหมากขาวกลิ้งกระจายเต็มพื้น

ทุกคนตัวแข็งแทบไม่กล้าเชื่อฉากที่เห็นนี้ เนื่องจากตกใจจนเกินไป แม้แต่ไป๋หลี่หลิงเฟิงที่อยู่ใกล้กันนิดเดียวก็ยังรู้สึกว่าการกระทำของชิวเยี่ยไป๋อุกอาจเกินไป จนถึงกับตั้งสติไม่ทัน ได้แต่เบิกตามองกระดานหมากที่ตนต้องเป็นผู้กำชัยอย่างแน่นอนสลายไปในพริบตา

“เจ้า…”

“ข้าบอกแล้ว ข้ามิได้มุสาต่อฝ่าบาท ขณะนี้ไม่ วันหลังยังคงไม่” ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มน้อยๆ ตบบ่า

ไป๋หลี่หลิงเฟิง ท่าทางแสนจริงใจและนุ่มนวล