เยี่ยโยวเหยากับคนอื่นๆ เข้ามาด้านในหุบเขาราชันพิษได้สองวันเต็มๆ แล้ว และยังไม่เห็นตำหนักใต้ดินที่เขาทำลายไปก่อนหน้านี้
พวกเขาอยู่ในถ้ำเป็นเวลานาน ทว่าไม่พบร่องรอยขององครักษ์พิษแห่งแคว้นไหวเจียงแม้แต่คนเดียว ต่อมาพวกเขาถูกขังอยู่ภายในห้องลับห้องหนึ่ง และติดอยู่ข้างในนั้น ไม่สามารถออกมาได้
หากในเวลานี้มีซูจิ่นซีอยู่ด้วยคงสามารถใช้อาคมกำไลปี่อั้นฟังเสียงตำแหน่งของกลไก เพื่อเปิดห้องลับออกไป ทว่าพวกเขาทั้งสามคน ไม่มีความสามารถเช่นนี้
เดิมทีอาศัยวรยุทธ์ของทั้งสามคน หากร่วมแรงร่วมใจกันก็สามารถทำลายผนังหินได้แน่นอน ทว่าเยี่ยโยวเหยาได้รับพิษ วรยุทธ์จึงสูญเสียไปกว่าครึ่ง
ทั้งเขายังปฏิเสธยาถอนพิษที่มู่หรงฉีขโมยมาจากจอมวายร้ายไป๋เฉ่า
หากจอมวายร้ายไป๋เฉ่ามอบยาถอนพิษให้เยี่ยโยวเหยาด้วยความเต็มใจคงดีกว่านี้ เพราะเยี่ยโยวเหยาไม่มีทางทำให้ตนเองเสียเกียรติ โดยการกินยาถอนพิษที่ขโมยมาแน่นอน อีกทั้งจอมวายร้ายไป๋เฉ่าเพิ่งทะเลาะกับเยี่ยโยวเหยา เขาไม่มีทางยินยอมมอบยาแก้พิษให้เยี่ยโยวเหยาเป็นแน่
“ข้าว่านะ เจ้าจอมวายร้าย ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่พวกเราจะมาทะเลาะเบาะแว้งกัน มีเรื่องอันใดก็ต้องปล่อยวางเสียบ้าง เรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือ ช่วยกันหาวิธีออกไปจากที่นี่ การช่วยเหลือพระชายาโยวอ๋องสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด”
จอมวายร้ายไป๋เฉ่ากระชากเสียงเย็นชา เชิดหน้าแสดงท่าทางปิดกั้นการเจรจา
มู่หรงฉีหันไปมองเยี่ยโยวเหยาอีกครั้ง เยี่ยโยวเหยานั่งตรงที่เดิมมาหลายชั่วยามแล้ว เขากำลังเดินพลังลมปราณยับยั้งไม่ให้พิษแพร่กระจาย และไม่พูดกับพวกเขาแม้แต่น้อย
เยี่ยโยวเหยากับจอมวายร้ายไป๋เฉ่า ทั้งสองคนต่างร้ายกาจและไม่มีใครคิดยอมอ่อนข้อให้กัน
มู่หรงฉีส่ายศีรษะอย่างเสียไม่ได้
“นอกจากเขาจะมาขอโทษข้าก่อน หาไม่แล้วจะให้ข้ายอมอยู่ฝ่ายเดียวนั้น เลิกคิดได้เลย! ” จอมวายร้ายไป๋เฉ่าพูดขึ้น
มู่หรงฉีขมวดคิ้วเป็นเกลียว คิดจะให้เยี่ยโยวเหยาขอโทษจอมวายร้ายไป๋เฉ่าหรือ?
ชาติหน้าก็อาจเป็นไปได้กระมัง?
นอกจากนั้น แม้จอมวายร้ายไป๋เฉ่าจะยินดี ทว่าเยี่ยโยวเหยาจะยินดีทำหรือไม่ก็ยังไม่แน่!
คิดมาถึงจุดนี้ มู่หรงฉีก็ไม่อยากสนใจเรื่องระหว่างพวกเขาทั้งสองคนอีก เขาลุกขึ้นยืนควานหากลไกที่ซ่อนอยู่ภายในผนังกำแพงที่หนักอึ้งและเย็นเฉียบ ผลลัพธ์คือไม่พบอันใดเหมือนที่เคยทำมาก่อนหน้านี้หลายต่อหลายครั้ง
“จอมวายร้าย สำนักถังเหมินของพวกเจ้าชำนาญด้านค่ายกลอาวุธลับไม่ใช่หรือ? เหตุใดเจ้าถึงหาตำแหน่งของกลไกไม่พบเล่า? ”
ใบหน้าของจอมวายร้ายไป๋เฉ่าเผยถึงความผิดหวัง สองมือก่ายหลังศีรษะต่างหมอน พลางเอนตัวนอนลงบนพื้น พูดว่า “ต่อไปอย่าดึงข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสำนักถังเหมินอะไรนั่นอีก ข้าไม่ได้แซ่ถัง ข้าแซ่อู๋ ชื่อว่า อู๋จุน”
อู๋จุน เป็นชื่อที่จอมวายร้ายไป๋เฉ่าตั้งขึ้นให้กับตนเอง ไม่มีใครทราบว่า เหตุใดจอมวายร้ายไป๋เฉ่าถึงตั้งชื่อให้ตนเอง ทว่าทุกครั้งที่มีคนพูดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสำนักถังเหมิน เขาจะแก้ต่างเช่นนี้ตลอด
มู่หรงฉีไม่อยากพูดกับเขาให้มากความ “เช่นนั้นเจ้าก็ลองหาดูหน่อยสิ”
“ข้าหาไม่พบจริงๆ! ”
แม้เขาจะรู้เรื่องค่ายกลและอาวุธลับอยู่บ้าง ทว่าไม่ค่อยเชี่ยวชาญนัก สิ่งที่เขาชำนาญที่สุดคือวิชายาสมุนไพร
จอมวายร้ายไป๋เฉ่าควานหากลไกหลายรอบแล้ว เรื่องช่วยเหลือแม่นางพิษน้อยนั้น เขาเองก็ใจร้อนไม่น้อยไปกว่าใคร แต่เขาหาไม่พบจริงๆ
มู่หรงฉีไม่เรียกจอมวายร้ายไป๋เฉ่าอีก ทำเพียงควานหากลไกต่อไป
แม้ภายนอกจอมวายร้ายไป๋เฉ่าจะมีท่าทางสบายอารมณ์ ไม่ทุกข์ร้อน ทว่าภายในใจของเขากลับร้อนใจไม่น้อยกว่าใคร
เขาดูเหมือนนอนอยู่บนพื้นด้วยท่าทางผ่อนคลาย ขาข้างหนึ่งพาดกับขาอีกข้าง ทั้งยังกระดิกเท้าไม่หยุด ในสมองนึกถึงภาพเหตุการณ์ครั้งแรกที่ได้พบกับแม่นางพิษน้อย
วันนั้นนางสวมชุดสีชมพูอ่อน รูปร่างไม่สูงนัก ร่างกายบอบบาง ทว่ามีเค้าโครงใบหน้าดั่งเทพธิดาจิ่วเทียนเซวียนหนิ่ว
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาชื่นชอบในตัวนางนั้น หาใช่ใบหน้าที่สวยงาม แต่เป็นตัวของนางเอง
เขาชื่นชอบอันใดในตัวนางกันแน่?
เป็นร่างกายบอบบางของนางที่ยืนอย่างมุ่งมั่นท่ามกลางสายลมหนาวเย็น หรือเป็นนางที่ยืนส่องแสงเจิดจรัสอยู่ข้างกายเยี่ยโยวเหยา หรือเป็นตัวนางที่มีท่าทางแน่วแน่เมื่ออยู่ในอ้อมกอดของเยี่ยโยวเหยา ขณะต่อสู้ประลองพิษกับเขา หรืออาจเป็นนางที่อยู่ในหุบเขาร้อยบุปผาโดยไม่มีท่าทีหวาดกลัวแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรเขาก็ไม่รู้
เหมือนว่าครั้งแรกที่ได้เห็น ภาพของนางได้ประทับเข้ามาภายในจิตใจอย่างน่าอัศจรรย์ จะทำเช่นไรก็ไม่สามารถสลัดหลุดไปได้
แม้เขาจะรู้ดีว่า ในสายตาของแม่นางพิษน้อยมีแต่เยี่ยโยวเหยาเท่านั้น ทั้งนางยังแต่งงานออกเรือนไปแล้ว ทว่าก็อับจนหนทาง เขาชื่นชอบนางไปแล้ว
แม่นางพิษน้อย…
บางครั้งในความคิดของจอมวายร้ายไป๋เฉ่าก็ปรากฏภาพซูจิ่นซี ขณะที่พบกับเขาเป็นครั้งแรก
ไม่!
ไม่ได้!
เขาไม่มีทางยอมให้แม่นางพิษน้อยของเขาต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของกูสือซาน เพียงแม่นางพิษน้อยตกอยู่ในเงื้อมมือของกูสือซานแม้แต่วินาทีเดียว นางก็อาจเกิดอันตรายได้
จู่ๆ ดวงตาทั้งสองของจอมวายร้ายไป๋เฉ่าก็เปล่งประกาย เขากระโดดขึ้นมาจากท่านอนบนพื้น และเริ่มควานหากลไกกับมู่หรงฉีอีกครั้ง
มู่หรงฉีมองท่าทางลุกลี้ลุกลนของจอมวายร้ายไป๋เฉ่า พลางส่ายศีรษะอีกครั้งอย่างเสียไม่ได้
เยี่ยโยวเหยายังคงนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นเช่นเดิม
จอมวายร้ายไป๋เฉ่าเหลือบมองเขาด้วยสายตาขุ่นเคือง และพูดว่า “นั่งวางมาดใหญ่โตเชียว”
เวลาผ่านไปหลายชั่วยาม มู่หรงฉีกับจอมวายร้ายไป๋เฉ่ายังคงหากลไกไม่พบ ในที่สุดพวกเขาก็นั่งทรุดตัวลงบนพื้นอย่างหมดแรง
“พวกเราไม่สามารถออกไปได้แล้วจริงหรือ? ” จอมวายร้ายไป๋เฉ่าพูดด้วยท่าทีสิ้นหวัง
“…”
“จะว่าไป เจ้าฉี เจ้าดูสิว่าเขากำลังทำสิ่งใด? เดินลมปราณยับยั้งพิษนานถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ข้าว่าเขานอนหลับเสียมากกว่า! ”
มู่หรงฉีได้ตรวจสอบอาการของเยี่ยโยวเหยาอยู่พักใหญ่แล้ว เขามองออกถึงสิ่งที่เยี่ยโยวเหยากำลังกระทำ ทว่าเขาไม่อยากบอกจอมวายร้ายไป๋เฉ่า “ในเมื่อทะเลาะกับเขาแล้ว เหตุใดต้องอยากรู้เรื่องของเขาด้วย ในเมื่อมองไม่ออก ก็ไม่ต้องวุ่นวาย”
“ให้ตายเถิด… ข้าอยากจะรู้นัก ข้าเห็นเหมือนเขากำลังเดินพลังภายในอันใดบางอย่าง ทว่าจนป่านนี้แล้ว ภรรยาของตนถูกผู้อื่นจับตัวไป ยังมีอารมณ์ฝึกลมปราณอีก โง่เง่าจริงๆ ”
จอมวายร้ายไป๋เฉ่าพูดพลางยกมือสองข้างก่ายหลังศีรษะต่างหมอน และเอนตัวนอนลงบนพื้นอีกครั้ง
กลไกในห้องลับแห่งนี้ ช่างทำให้คนปวดหัวเสียจริง
หากรู้ตั้งแต่แรกว่าจะต้องมาพบแม่นางพิษน้อย หากรู้ตั้งแต่แรกว่าสักวันหนึ่งจะต้องใช้วิชากลไกพวกนี้เพื่อช่วยชีวิตนาง ในตอนนั้นเขาคงไม่ยอมท้อแท้ เขาจะต้องเรียนรู้ให้มากกว่านี้
ความจริง สิ่งที่จอมวายร้ายไป๋เฉ่าคาดเดานั้นถูกต้องแล้ว เวลานี้เยี่ยโยวเหยากำลังเดินลมปราณภายใน และกำลังฝึกพลังลมปราณขั้นสูงของสำนักกระบี่คุนหลุน นั่นคือพลังลมปราณชิงหลง
พลังภายในของสำนักนี้ ไม่เพียงสามารถยับยั้งพิษในร่างกายได้ชั่วคราวเท่านั้น ทว่าทุกครั้งที่ฝึกสำเร็จ ยังสามารถเพิ่มพลังยุทธ์ได้อีกมาก
อย่างไรก็ตาม การเร่งพลังย่อมมีข้อเสีย ในตอนนั้น ท่านอาจารย์เคยกำชับกับเยี่ยโยวเหยาแล้วว่า นอกเสียจากเขาจะตกอยู่ในสภาวะคับขันเป็นตายเท่ากัน ห้ามมิให้ฝึกพลังลมปราณชิงหลงเป็นอันขาด แน่นอนว่าห้ามเข้าไปยุ่งเกี่ยวดีที่สุด
สำหรับข้อเสียในการฝึกพลังลมปราณชิงหลงนั้น…
นั่นเป็นผลลัพธ์ที่ยากเกินคาดเดา ทั้งยังน่ากลัวยิ่งกว่าผลแห่งการสะท้อนกลับของหมุดกร่อนรักเสียอีก
มู่หรงฉีกับจอมวายร้ายไป๋เฉ่าต่างกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับกลไกของห้องลับอย่างละเอียด เยี่ยโยวเหยายังคงเดินพลังลมปราณเช่นเดิม ทั้งสามต่างไม่มีใครพูดอันใด
ทันใดนั้น จอมวายร้ายไป๋เฉ่าก็รู้สึกว่ามีอันใดบางอย่างผิดปกติ ขาที่กระดิกอยู่พลันหยุดชะงัก เขาหันหน้าไปมองเยี่ยโยวเหยา ในเวลานี้ มู่หรงฉีเองก็มองเยี่ยโยวเหยาเช่นกัน ทั้งแววตายังแสดงถึงความประหลาดใจ
ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ สายตาของมู่หรงฉีกับจอมวายร้ายไป๋เฉ่าปรากฏความตกตะลึง
เกิดอันใดขึ้นกันแน่?