ในเมื่อเขาต้องการจะเปิดม่านการแสดงนัก ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็ต้องเปิดเผยตัวออกมาเพื่อให้แผนสำเร็จ แต่เพื่อนสมัยเรียนของเลขาได้ย้ายไปอยู่ต่างประเทศได้หลายปีแล้ว และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ประเทศไหน จึงไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามติดต่อไป
ดังนั้นลูกพี่ลูกน้องของเลขาจึงกลายเป็นตัวเอกของการแสดงนี้
นี่มันอาจนับได้ว่าการการตอบคำถามของซูอวี๋ก็ได้
คืนนั้นชายคนที่หันซิวเช่อทำร้ายร่างกายถูกส่งเข้าโรงพยาบาล ภรรยาเขาคว้าโอกาสนี้อ้างถึงความบริสุทธิ์ใจของเขาต่อหน้าสื่อ
“แค่เพราะเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉิงไอ้ไม่ได้หมายความว่าเขาควรถูกใส่ร้ายนะคะ เราเป็นแค่ครอบครัวเล็กๆ ธรรมดา ไม่ได้เป็นคนในวงการบันเทิง ซูอวี๋ คุณคิดบ้างหรือเปล่าว่าคำพูดของคุณทำให้สามีของฉันถูกตราหน้าว่าเป็นคนเลว เขาไม่กล้าแม้แต่จะไปทำงาน ลูกชายของฉันก็กลัวที่จะไปโรงเรียนด้วย คุณต้องการอะไรกันแน่คะ
“เพราะคุณ เรื่องร้ายแรงกว่านั้นถึงเกิดขึ้นในวันนี้ อยู่ๆ ก็มีใครบางคนมาทำร้ายร่างกายเขา คุณอยากให้สามีฉันถูกบีบให้ตายถึงจะพอใจเหรอคะ”
สื่อกรูเข้ามาอย่างรวดเร็ว มีความคืบหน้าเรื่องของซูอวี๋อย่างนี้เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะรีบมาทำข่าว
ในห้องคนไข้ ผู้สื่อข่าวเป็นพรวนรายล้อมผู้หญิงคนนั้นไว้ ในขณะที่เธอยอมให้สัมภาษณ์
“ถ้าสามีของคุณไม่ได้เป็นคนผิด ทำไมไม่ออกมาพูดอะไรก่อนหน้านี้เลยล่ะคะ”
“ฉันคิดว่าตระกูลหันคงจัดการเรื่องนี้อยู่น่ะค่ะ และเราคงจะเข้าไปแทรกแซงไม่ได้ แต่นึกไม่ถึงว่าเรื่องจะมาถึงขั้นนี้ที่สามีของฉันถูกทิ้งไว้ในสภาพเกือบตาย!” หลังว่าจบ เธอมองกล้องและเริ่มปล่อยโฮออกมาอย่างหนัก
“แล้วเรื่องจริงคืออะไรล่ะคะ”
“ซูอวี๋กล่าวหาสามีฉันอย่างผิดๆ ทุกคนรู้ว่าสามีฉันรับผิดชอบกับครอบครัวของเขาแม้ว่าเขาจะดูเกียจคร้านไปบ้าง มันต้องเป็นเพราะว่าสามีของฉันเป็นคนซื่อสัตย์จนซูอวี๋ใส่ร้ายเขาอย่างไม่เป็นธรรมแน่ค่ะ
“เธอคงเห็นว่าเราเป็นครอบครัวเล็กๆ และคิดว่าคงสู้เธอไม่ได้ แต่ฉันอยากจะขอร้องให้ซูอวี๋ปล่อยเราไป ฉันไม่รู้ว่าใครคือผู้ชายที่เธอคบชู้ด้วย แต่ไม่ใช่สามีของฉันอย่างแน่นอนค่ะ!”
เหตุผลเดียวที่เธอกล้าพอจะพูดเช่นนี้ออกมา ก็เพราะข่าวเมื่อยี่สิบปีก่อนไม่เคยมีการกล่าวถึงตัวตนของผู้ชายสองคนนั้น อีกทั้งยังไม่มีรูปที่เห็นใบหน้าของพวกเขาอีกด้วย
อย่างไรเสียเลขาก็เป็นคนถ่ายรูปและยังเป็นคนที่วางแผนทุกอย่าง ดังนั้นจึงไม่มีทางที่เธอจะทำให้คนของฝ่ายตัวเองเดือดร้อน
ด้วยเหตุนี้ข่าวเมื่อยี่สิบปีก่อนจึงบอกเพียงว่าซูอวี๋มีชู้กับชายสองคน แต่ตัวตนของชายสองคนนั้นกลับไม่ได้ถูกยกขึ้นมาเป็นประเด็นหลัก เรื่องสำคัญคือการที่ซูอวี๋ทำเรื่องงามหน้าต่างหาก
หันเจี๋ยยืนยันเรื่องนี้ก่อนเขาจะบอกให้เธออ้างความบริสุทธิ์ใจของสามี
นักข่าวเก็บภาพใบหน้าอาบน้ำตาของเธอรัวๆ หนึ่งในคนที่ถูกตั้งคำถามออกมาตอบโต้เช่นนี้ ข่าวจะต้องเป็นที่ฮือฮาอย่างแน่นอน
“คุณมีหลักฐานว่าสามีคุณไม่ได้อยู่ที่บ้านตระกูลหันในคืนเกิดเหตุหรือเปล่าครับ”
“ฉันจะพิสูจน์เรื่องนี้ได้ยังไงล่ะคะ คุณจะรังแกฉันเพราะฉันเป็นผู้หญิงไม่มีทางสู้หรือยังไง ฉันจะพิสูจน์เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบปีก่อนได้ยังไงล่ะคะ ถ้าซูอวี๋ยืนกรานจะให้มีคนต้องเสียสละเพื่อที่จะพ้นจากข้อกล่าวหา เธอช่วยปล่อยสามีฉันไปได้ไหมคะ ฉันจะชดใช้แทนเขาให้เองค่ะ”
พูดจบเธอก็แหวกทางเบียดฝูงชนออกไป กระแทกศีรษะเข้ากับกำแพงก่อนหมดสติไป ชวนให้ทุกคนต่างตกตะลึง
เธอจะใช้ความตายพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของสามีตัวเองหรือ
หลังเกิดเรื่องโกลาหลย่อมๆ ในที่สุดเธอก็ถูกส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉิน แน่นอนว่าหากเธอต้องการกำจัดความกังวลใจเธอต้องยอมทรมานสักหน่อย
‘ภรรยาผู้ถูกกล่าวหาโต้ เลิกเสแสร้งสักที!’
‘ภรรยาผู้ถูกกล่าวหาโผล่ สามีฉันไม่เคยทำร้ายใคร!’
‘ภรรยาผู้ถูกกล่าวหาตอกกลับซูอวี๋ คุณมันจอมปลอมไม่เลิก!’
…
“ดูท่าแล้วหันเจี๋ยคงจะลงมือแล้วสินะ เขางัดกระทั่งลูกไม้โขกกำแพงมาใช้ด้วยซ้ำ เป็นอย่างที่คุณว่าไว้เลยค่ะ” ถังหนิงหัวเราะกับโม่ถิงหลังจากเห็นข่าว ก่อนหน้านี้โม่ถิงคาดการณ์ไว้แล้วว่าหันเจี๋ยคงจะทำตัวน่าสงสารเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของตัวเอง เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์เป็นเช่นนี้จึงไม่ผิดจากที่เขาคิดเอาไว้
“ต่อไปผมมั่นใจว่าผู้หญิงคนนี้จะต้องเอาลูกของเธอมาใช้ด้วยเหมือนกัน ยังไงคนก็มองว่าทั้งผู้หญิงกับเด็กไม่มีทางสู้อยู่แล้ว”
“หลังจากหัวหมุนและคว้าน้ำเหลวมาตั้งหลายครั้ง ทั้งยังงัดลูกเล่นมาใช้สารพัด พวกเขาจะปิดบังความจริงได้สำเร็จจริงๆ เหรอคะ” ถังหนิงส่ายหน้า “ตระกูลหันคงคิดว่าเรื่องเมื่อยี่สิบปีก่อนคงไม่มีทางพิสูจน์ได้ ยิ่งพวกเขารู้ที่มาที่ไปทั้งหมดในวันนั้นและคิดว่าแผนของตัวเองไม่มีช่องโหว่ด้วยแล้ว
“แต่เมื่อบางอย่างเกิดขึ้นแล้วย่อมต้องทิ้งร่องรอยเอาไว้เบื้องหลัง ผู้หญิงคนนี้อาจจะดูสะเทือนใจมาก แต่การแสดงของเธอก็ยังมีจุดบกพร่องอยู่!”
“คุณก็ตามสืบทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้วนี่ครับ” โม่ถิงเอ่ยพลางก้มหน้า เขารู้ระดับฝีมือของภรรยาของเขาแม้จะไม่ได้มองหน้าเธอก็ตาม
หันเจี๋ยต้องการจะปฏิเสธความจริง หากแต่น่าเสียดายที่เขาต้องสู้กับผู้ช่ำชองที่น่าสะพรึงกลัว
และเบื้องหลังผู้ช่ำชองคนนี้ก็คือสุดยอดผู้ยิ่งใหญ่
ดังนั้นต่อให้พวกเขาใช้ความตายพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของพวกเขา การแสดงก็ยังคงดำเนินต่อไป
แน่นอนว่าหลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นฟื้นขึ้นมา เธอร้องไห้อย่างบ้าคลั่งขึ้นอีก ครั้งนี้มีลูกชายของเธอมาสมทบด้วย ยิ่งทำให้สื่อรู้สึกเห็นอกเห็นใจพวกเขา
ทว่าไม่นานซูอวี๋ก็ออกมาตอบโต้
“คุณเซี่ยคะ อย่างที่คุณยอมรับเองว่าสามีของคุณถูกมองว่าเป็นคนเกียจคร้านอยู่บ่อยๆ … มันก็เป็นข้อพิสูจน์ในตัวเองแล้วว่าเขาเป็นคนที่ไร้ความรับผิดชอบนี่คะ แต่คุณยังจะมาอ้างว่าเขาเป็นคนใส่ใจครอบครัวอีก ไม่คิดว่ามันดูย้อนแย้งไปหน่อยเหรอคะ คนขี้เกียจอย่างนั้นจะมามีความรับผิดชอบได้ยังไงกันคะ
“สอง จากที่ฉันรู้มา เพื่อนบ้านของคุณบอกว่าคุณกับสามีทะเลาะกันอยู่เรื่อยๆ เลยนะคะ แล้วคุณทั้งคู่ก็ต่างยอมให้คนรักของตัวเองไปมีชู้ข้างนอก มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่พวกคุณยังอายุน้อยๆ เลยนี่ แล้วคุณจะพิสูจน์ว่าสามีของตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ร้อยปอร์เซ็นต์ได้ยังไงคะ
“เขาไม่ผิดเพราะว่าคุณโขกหัวเข้ากับกำแพงอย่างนั้นเหรอคะ หมายความว่าคนร้ายทุกคนควรทำอย่างนั้นเพื่อให้พ้นผิดเหรอ
“สาม ถ้าคุณบอกนิสัยของสามีของตัวเองกับเราได้ ฉันอาจจะยังเชื่อคุณบ้าง แต่นี่แม้แต่คนรักที่ใกล้ชิดกันที่สุดยังไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลาเลยด้วยซ้ำ แล้วคุณจะมารับรองคำพูดของตัวเองได้ยังไงกันคะ
“คุณแค่พยายามบีบให้ฉันล้มเลิกโดยการโขกหัวกับกำแพงใช่ไหมล่ะคะ ดูสภาพคุณสิ เกือบตายแล้วแท้ๆ ฉันว่าคุณยอมแพ้ไปเถอะค่ะ
“ฉันพนันว่าคุณไม่รู้ว่าสามีตัวเองมีรอยตำหนิตรงไหนด้วยซ้ำ แต่ฉันพูดได้เต็มปากว่าไอ้เวรนั่นมีปานเขียวที่แก้มก้นซ้าย ต่อให้มันจะเป็นการตอกย้ำแผลเก่าก็ตาม
“ดังนั้นมันไม่มีประโยชน์อะไรหรอกค่ะ การโขกหัวกับกำแพงไม่ได้ช่วยอะไร คุณจะไม่มีทางทำให้สามีของตัวเองพ้นผิดไปได้หรอกค่ะ”
การโจมตีของซูอวี๋ทั้งชัดเจนและตรงประเด็น
แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะร้องไห้อย่างน่าสงสารเพียงไหน เธอก็ยังมีช่องโหว่อยู่มาก
เดิมทีเธอคิดว่าจะสามารถคุมสถานการณ์ไว้ได้ หากแต่หลังจากซูอวี๋ออกมาพูด สื่อก็รู้ตัวทันทีว่าตัวเองถูกปั่นหัวด้วยความน่าสงสาร…