มีร่างของคนหลบอยู่ในมุมมุมหนึ่งภายในค่ายซางจิง หนึ่งคนเป็นคนตัวสูงและอีกหนึ่งเตี้ย  พวกเขาค่อยๆขยับตัวไปอย่างเงียบๆท่ามกลางความมืด พวกเขาดูคุ้นเคยกับพื้นที่ในเมืองชั้นในเป็นอย่างดี สามารถหลบเลี่ยงเวรยามและสลับซับซ้อนตำแหน่งเคลื่อนย้ายไปมาได้อย่างคล่องตัว ในที่สุดทั้งสองร่างก็เดินออกมาสู่ถนนที่ห่างไกลออกจากตัวเมือง

 

“เฮ้!” เสียงของเด็กผู้หญิงดังขึ้น น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยพลังและอัดแน่นไปด้วยความตื่นเต้น “พี่ชายชูฮันกลับมาแล้วจริงๆเหรอ? แล้วไปเจอกับเจ้าอ้วนเฉินแล้วก็ไปแล้ว?”

 

“ใช่ คุณหนูถามผมมาแปดร้อยครั้งได้แล้ว!” ชาช่าวหน่านแทบจะร้องไห้ “ผมไม่ไหวแล้ว ผมพอแล้วท่านเลา ผมพอแล้ว!”

 

“เหอะ ฉันพึ่งจะถามนายไปหนึ่งร้อยห้าครั้ง การพูดเกินจริงของนายคือการโกหก!” เลาเสี่ยวเสียวเงยหน้าเล็กๆของเธอขึ้นมา แววตาเป็นประกายจ้า “นายบอกว่าพี่ชายชูฮันของฉันมาซางจิง แน่นอนว่าฉันต้องได้ฉลองปีใหม่กับพี่ชูฮัน ฉันไม่สนใจเฒ่าจิ้งจอกนั้น!”

 

ชาช่าวหน่านไร้พลังจะต่อต้าน แถมการที่เลาเสี่ยวเสียวเรียกเลาหมิงว่าเฒ่าจิ้งจอกยิ่งทำให้เขาอยากจะเป็นลม “แต่เราวิ่งออกมาแบบนี้โดยไร้จุดหมายเนี่ยนะ? เรารู้แค่ว่าพลเอกชูฮันและพลโทเฉินช่าวเย่ไปด้วยกัน แต่ตอนนี้เราไม่รู้เลยว่าพวกเขาอยู่ไหนกันแน่!”

 

“นั้นฉันไม่สนใจ เพราะมันคือหน้าที่ของนาย” เลาเสี่ยวเสียวตอบอย่างเย็นชา “ใช้วิธีการสืบสวนของนายตามหาคนสิ!”

 

ชาช่าวหน่านตกใจ “เทคโนโลยีที่ผมสร้างขึ้นมาอย่างภูมิใจไม่ได้มีเอาไว้มาให้คุณหนูเล่น!”

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า!” ตาคมกริบของเลาเสี่ยวเสียวถูกขว้างใส่ชาช่าวหน่าน “ถ้านายหาไม่ได้ ฉันจะบอกคุณปู่ว่านายลักพาตัวฉัน!”

 

“โอ้ พระเจ้า!” ชาช่าวหน่านแทบจะเป็นลม “ใครเป็นคนลักพาตัวตอนนี้กันแน่?”

 

ทั้งสองคนเดินไปตามถนน มุ่งหน้าไปเรื่อยๆท่ามกลางความมืดมิด วันนี้ทุกคนอยู่แต่ในที่พักของตัวเองรอคอยเฉลิมฉลองปีใหม่ ไม่มีใครออกมาเดินเพ่นผ่านกลางดึกดื่นแบบทั้งคู่

 

อย่างน่าเศร้าทั้งสองคนจึงหลงทางในความมืด

 

2 ชั่วโมงต่อมา น้ำเสียงสั่นๆของเลาเสี่ยวเสียวก็ดังขึ้น “ฉัน—ฉันถามว่านายทำได้มั้ย?”

 

ชาช่าวหน่านเองก็ไม่ต่างกัน เพื่อที่จะไม่ให้เลาเสี่ยวเสียวแข็งตายเขาจำเป็นต้องสละเสื้อคลุมของเขาให้เธอ ในตอนนี้เขาจึงมีเพียงเสื้อเชิ้ตบางๆตัวเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะสมรรถภาพทางกายภาพของวิวัฒนาการเขาคงแข็งตายไปแล้ว

 

“ผมบอกแล้วว่ามันยากที่จะตามหาเขา ค่ายซางจิงมันกว้างใหญ่กว่าที่คุณหนูคิด บ้านเรือนอัดแน่นแถมประชากรก็ล้นจนเป็นเขาวงกต ไม่รู้ว่าต้องไปทางไหน จะไปตามหาเขาได้จากไหนกัน?” ชาชาวหน่านพยายามพูดโน้มน้ามเลาเสี่ยวเสียว “เราเหมือนเดินเป็นวงกลมอยู่แบบนี้ เรากลับกันเถอะ?”

 

“ไม่!” เลาเสี่ยวเสียวยังคงไม่ยอม จากนั้นเธอสูดจมูกพร้อมกับสีหน้าที่แสดงความหลงใหลออกมา “หอมจัง?”

 

“เหมือนเกี๊ยวกำลังร้อนๆราวกับพึ่งออกจากกระทะ” ชาช่าวหน่านเองก็สูดจมูกพลางกลืนน้ำลายอึก

 

“นายหิวมั้ย?” เลาเสี่ยวเสียวเสนอ

 

ชาช่าวหน่านเงียบไปครู่หนึ่งและในที่สุดก็เอ่ยถาม “คุณหนูมีแผนอะไร?”

 

“แผนอะไร ฉันถามว่านายจะกินมั้ย?” เลาเสี่ยวเสียวกำลังมองหาที่มาของกลิ่นเกี๊ยว

 

————

 

“ชูฮัน?” เฉินเสี้ยนกาวหยุดชูฮันที่กำลังจะก้าวออกไป “นายไม่กินเกี๊ยวก่อนเหรอ?”

 

ชูฮันยิ้มและรับเสื้อแจ็กเก็ตที่ติงเซวส่งมาให้ “กินก่อนเลย”

 

“หัวหน้า…” เฉินช่าวเย่รีบผุดลุกขึ้นและยัดอาหารในชามเข้าปากไม่หยุดเพื่อจะตามชูฮันไป

 

ชูฮันทนดูไม่ไหว เขาโบกมือพลางพูดขึ้น “เอาล่ะ แกอยู่ที่นี้ไป ฉันจะไปดูก่อน”

“โอ้” เฉินช่าวเย่นั่งลงและกินอาหารบนโต๊ะต่อทันที

 

หลิวยู่ติงโดนเบียดอัดอยู่ในมุม ทุกครั้งที่เขายื่นตะเกียบออกไปมักจะได้แต่ความว่างเปล่ากลับมา และในตอนนี้เมื่อเห็นชูฮันจากไปคนเดียว ในอกของเขาก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจ เฉินช่าวเย่ที่นั่งข้างเขาไม่สนใจอะไรเลยสักนิด เฉินช่าวเย่ไม่สนใจจะดูแลเพื่อนร่วมกระบวนการเลย ไม่ต้องพูดถึงลูกน้อง แม้แต่กลับแกล้มก็ยังกินไม่เหลือซาก!

 

ใครคือคนพวกนี้กัน? ส่งท้ายปีเก่ามีมื้ออาหารแบบนี้กินด้วยเหรอ?!

 

“เกี๊ยวมาแล้ว!” เสียงของเยวจึดังขึ้นมาพร้อมกับเกี๊ยวร้อนๆที่วางลงบนโต๊ะ ทันใดนั้นบนโต๊ะก็เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงทันที

 

“ปัง!”

 

หลิวยู่ติงผลักเฉินช่าวเย่ที่กำลังจะผลักเขาออกจากโต๊ะเพื่อคว้าเกี๊ยว หลิวยู่ติงลุกขึ้นและแหกปาก “ปล่อยฉัน ฉันจะเอาเกี๊ยว!”

พันตรีหนุ่มที่จบการศึกษามาจากโรงเรียนนายร้อยโดยตรงทนไม่ไหวและระเบิดออกมา

 

ชูฮันยิ้มจากนั้นก็หมุนตัวเดินผ่านประตูออกไป

 

———–

 

“มากินเกี๊ยวกัน” เหอเพ่ยหยวนยิ้มและเดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับจานเกี๊ยว

 

“ตะเกียบ”

จุนจื่อและจุ้ยชูพูดออกคำสองคำออกมาอย่างพร้อมเพรียง ทั้งคู่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร สายตาจับจ้องมาด้านหน้า หากคนที่ไม่รู้จักคงจะคิดว่าพวกเขาฝึกความอดทนอยู่

 

เหอเพ่ยหยวนยกมุมปากพร้อมกับมองลูกชายเขา

 

เหอเฟิงชำเลืองมองจากนั้นก็ลุกขึ้น การเคลื่อนไหวของเขามีระเบียบมาก เขายื่นมือออกไปหาเหอเพ่ยหยวน

 

ปากของเหอเพ่ยหยวนเผยอ จานเกี๊ยวถูกวางลงบนโต๊ะ ตะเกียบทั้งสามคู่ถูกยื่นออกมา “กิน”
เหอเฟิงไม่รู้จะดึงมือกลับมายังไง กระดูกสันหลังของเขาตั้งตรง จากนั้นสมาชิกทั้งสามคนของทีมฮูหยาก็ยื่นมือที่ถือตะเกียบออกมาพร้อมกันอย่างเงียบๆและคีบเกี๊ยวไปกินอย่างไร้เสียง

 

มันไม่มีการสื่อสารใดเลยตลอดกระบวนการ ราวกับทั้งสามคนกำลังปฏิบัติหน้าที่กันอยู่

 

เหอเพ่ยหยวนจำเป็นต้องบอกให้ตัวเองเงียบ เหอเฟิงมักจะกลับมาทานอาหารร่วมกับเขาอยู่บ่อยๆ แต่ลูกชายของเขาเป็นคนที่จิตใจแน่วแน่มากและเรียบง่ายอย่างสุดโต่ง ไม่มีความสนุกสนานหรือยืดหยุ่น เหมือนกับอาหารมื้อนี้ สำหรับเหอเฟิงมันก็เป็นแค่กระบวนการอย่างหนึ่งเพื่อการดำรงชีวิต ส่วนความสนุกสนานบนโต๊ะอาหารหรือการพูดคุยเหอเฟิงไม่เข้าใจหรือมีความสนใจเลยสักนิด

 

และในขณะที่บรรยากาศบนโต๊ะอาหารกำลังกระอักกระอ่วนอยู่นั้น มันก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาทำลายความเงียบ

 

ก๊อก ก๊อก—-

เสียงเคาะประตูสองครั้ง ไม่ดังหรือเบาเกินไป ไม่ช้าหรือรีบเร่งเกินไป

 

สายตาทั้งสามคู่หันเหไปจากเกี๊ยวทันที พวกเขาใช้วิธีการสบตาเพื่อสื่อสารกันจากนั้นก็มองไปที่ประตู พร้อมกับหยุดเคี้ยวอาหารเพื่อไม่ให้เกิดเสียงใดๆทั้งนั้น

 

เหอเพ่ยหยวนที่แทบจะเป็นลมพยายามฝืนตัวเองและลุกขึ้น “ฉันจะไปเปิดประตู”

 

พรึบ!

หลังจากประตูเปิด—–

 

พัฟ!

ทันใดนั้นมันก็มีเสียงของข้าวที่ถูกพ่นออกมา เหอเฟิงพ่นข้าวใส่หน้าจุนจื่อและจุ้ยชูที่นั่งอยู่ตรงข้าม