บทที่ 1361 (3)+(4)

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1361 (3)+(4) Ink Stone_Romance

บทที่ 1361 อันที่จริงเขารีบร้อนยิ่งนักแล้ว… (3)

กู้ซีจิ่วเหล่ตามองนางแวบหนึ่ง ยิ้มมิเชิงยิ้ม “ให้ข้าเริ่มก่อนจริงหรือ?”

“แน่นอน ข้าเกรงว่าถ้าข้าร้องก่อน ท่านจะไม่อยากร้องต่อแล้ว ยากนักที่ท่านจะสมัครใจร้องเอง ทุกคนก็อยากสนุกสนานเฮฮา ข้าไม่อยากขัดความสำราญของทุกคน เจ้าว่าใช่หรือไม่?” หวงซังเซียงตีสีหน้าเหมือนเข้าอกเข้าใจเป็นอย่างดี

กู้ซีจิ่วยิ้มแล้ว “ได้ เช่นนั้นข้าจะเริ่มก่อน!”

กับคนแบบนี้เธอคร้านจะปากต่อคำด้วย แสดงความสามารถสิถึงจะเป็นเส้นทางของราชา!

ชายบรรเลงพิณคนนั้นเอ่ยถามกู้ซีจิ่ว “แม่นางกู้จะร้องเพลงใด? ลองร้องทำนองออกมาก่อนเถิด ข้าจะได้เตรียมตัวให้ดี”

กู้ซีจิ่วนิ่งไปเล็กน้อย ยื่นโน้ตเพลงให้เขาแผ่นหนึ่ง เป็นเพลง ‘โต๊ะหยกเขียว’ นักพิณคนนั้นอ่านดูก่อนรอบหนึ่ง แล้วเข้าจังหวะดูทันทีพลางทอดถอนใจ “เพลงดี!”

นักพิณคนนี้มีความสามารถโดยแท้ เขายื่นนิ้วไปลองดีดดูก่อนสองสามเสียง จากนั้นก็ค่อยๆ จับจังหวะได้ ดีดเป็นท่วงทำนองติงๆ ตังๆ ต่อเนื่องกันอย่างมีชั้นเชิงนัก กู้ซีจิ่วพลันหมุนกาย ร้องไปพลางร่ายรำไปพลาง

ดวงตะวันลับเหลี่ยมฟ้า ณ ขอบเมือง

ธุลีฝันตลบฟุ้งในราตรี

หมู่บ้านเก่าพายุฝนโหมกระหน่ำ

เงาเลือนราง สะท้อนดวงหน้าสั่นไหวในคันฉ่อง…

….

เธอเพิ่งร้องออกมาประโยคเดียว จัตุรัสที่เดิมทีมีเสียงเซ็งแซ่อยู่เล็กน้อยก็เงียบกริบลงทันที

เสียงสวรรค์!

เห็นได้ชัดว่าฝูงชนคาดไม่ถึงว่าเธอจะร้องได้ดีขนาดนี้ แต่ละคนอ้าปากเล็กน้อยมองดูเธอ

ผู้คนที่อยู่ที่นี่ต่อให้ไม่มีสัมผัสทางด้านดนตรีมากนัก ตนเองร้องไม่เป็น แต่ยังคงฟังเป็น! ทุกคนต่างชมชอบเสียงเพลงที่ไพเราะเพราะพริ้ง เสียงเพลงที่ร้องออกมาดั่งเสียงสวรรค์ย่อมทำให้แต่ละคนมัวเมา…

เดิมทีนักพิณผู้นี้เมื่อบรรเลงพิณอยู่ที่นี่นับได้ว่าเป็นยอดฝีมือ ไม่ค่อยบรรเลงประกอบให้ใครง่ายๆ วันนี้ออกหน้าก็เพียงเพราะเห็นแก่คุณงามความดีที่กู้ซีจิ่วสร้างให้ทุกคน ในใจเตรียมการไว้อย่างดีว่าถ้ากู้ซีจิ่วร้องเพี้ยนเขาจะหาทางใช้เสียงพิณลากกลับมา แต่เมื่อกู้ซีจิ่วร้องเพลงออกมา แม้แต่หัวใจของเขาก็เต้นรัวเช่นกัน นัยน์ตาเจิดจ้าทันที!

เสียงเพลงเช่นนี้…

จู่ๆ เขาก้รู้สึกว่าเสียงพิณของตนไม่คู่ควรกับนางเลย ทำให้เขารู้สึกอับอายที่ตนด้อยกว่าผู้อื่นอยู่บ้าง

เริ่มแรกที่เขายังดีดอย่างไม่อนาทรร้อนใจอยู่บ้าง ยามนี้กลับอดไม่ได้ที่จะรวบรวมสมาธิเพื่อบรรเลง…

กู้ซีจิ่วไม่เพียงแต่ร้องเพลงได้ดีเท่านั้น การร่ายรำก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน วันนี้เธอสวมชุดกระโปรงยาวสีครามนภา ยามที่ร่ายรำกรีดกรายดั่งระลอกคลื่นครามใสที่รินไหลอยู่ใต้แสงจันทร์ ดุจบุปผาดอกหนึ่งที่เบ่งบานอยู่ท่ามกลางราตรี…

ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนกลั้นลมหายใจ ด้วยเกรงว่าถ้าหายใจแรงไปจะเป็นการรบกวนคนที่ร้องรำอยู่ผู้นี้ ทำลายความงดงามทั้งหมดนี้ไป

บางคนที่พอเข้าใจศาสตร์ดนตรีถึงขั้นที่รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง การร้องรำเช่นนี้ควรใช้เสียงพิณที่ดีกว่านี้ถึงจะคู่ควร เสียงพิณของนักพิณคนนี้ยังดีดได้ไม่ถึงเข้าขั้นถึงเพียงนั้น…

ยามที่กู้ซีจิ่วร้องถึงประโยคที่ห้า จู่ๆ ก็มีเสียงขลุ่ยสายหนึ่งผสานเข้ามา

เสียงขลุ่ยนี้แผ่วพลิ้วดุจสายลม ราวกับพกพาสายลมจากป่าสนบุกป่าฝ่าดงมาด้วย เพิ่งจะประสานเข้ามาก็กลบเสียงพิณไปจนหมดได้

เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่ามันผสานเข้ามาอย่างฉุกละหุก ทว่าเข้ากับเสียงเพลงได้ดียิ่ง ประหนึ่งว่าเสียงเพลงที่เป็นเสียงสวรรค์เช่นนี้ก็น่าจะคู่ควรกับเสียงขลุ่ยที่เป็นเสียงสวรรค์เช่นกัน เสียงอื่นใดล้วนเป็นเสียงรบกวนทั้งสิ้น

นักพิณคนนั้นฝืนไล่ตามไปอีกสองจังหวะ ตัวเขาก็สัมผัสถึงความผิดปกติได้ จึงหยุดลงอย่างอาลัยอาวรณ์

ผู้ที่สามารถเป่าขลุ่ยได้ขั้นเทพเช่นนี้บนโลกนี้มีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น!

ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอี!

ในที่สุดเขาก็มาแล้ว!

————————————————————–

บทที่ 1361 อันที่จริงเขารีบร้อนยิ่งนักแล้ว… (4)

หัวใจกู้ซีจิ่วสั่นไหวเล็กน้อย ทว่าไม่ได้แสดงสีหน้าใดออกมา ยังคงร้องรำต่อไป

แสงจันทราดั่งหิมะแรกอรุณ

เมฆาแดงฉานกล่าวอำลา

ประพันธ์บทเพลงด้วยรักและน้ำตา

ความซับซ้อนอันหลายหลาก สรวงสวรรค์แดนมนุษย์ต่างแบ่งแยก นับแต่นี้ไร้ซึ่งคนรู้ใจ…

เสียงขลุ่ย เสียงเพลง การร่ายรำที่อ่อนช้อย สามสิ่งผสมผสานกัน ราวกับทำให้ฟ้าดินเงียบสงัดลงได้ สายลมก็โบกโชยอย่างอ่อนโยนขึ้นมา

เมื่อบทเพลงสิ้นสุด เสียงดนตรียังคงอ้อยอิ่ง คงอยู่อีกเนิ่นนาน

จวบจนเสียงดนตรีสลายไป ฝูงชนถึงได้ตื่นจากภวังค์เสียงเพลง

จากนั้นเสียงปรบมือดังกึกก้องก็แว่วขึ้น!

ฝ่ามือของทุกคนปรบจนแทบจะแดงไปหมดแล้ว

ในชีวิตนี้พวกเขายังไม่เคยฟังบทเพลงที่ไพเราะถึงเพียงนี้ ไม่เคยเห็นการร่ายรำที่น่าชมถึงเพียงนี้มาก่อนเลย!

กู้ซีจิ่วกลับไปนั่งที่เดิม เหลือบมองหวงซังเซียงแวบหนึ่ง “ข้าโยนกระเบื้องออกไปแล้ว แม่นางหวงสามารถนำหยกออกมาได้แล้ว เชิญ!”

หวงซังเซียงพูดอะไรไม่ออกแล้ว

ฝูงชนพากันส่ายหน้า เมื่อเทียบกับการร้องรำของแม่นางกู้แล้ว การร้องรำของหวงซังเซียงก็เหมือนเด็กน้อยเล่นขายของ ทนมองทนฟังไม่ได้เลย

หวงซังเซียงทึ่มทื่อปานไก่ไม้ สีหน้าซีดเขียว นั่งอยู่ตรงนั้นไม่มีความกล้าที่จะลุกขึ้นมา อยากแทรกแผ่นดินหนีอย่างยิ่ง

แต่เมื่อครู่คุยโวโอ้อวดออกไปแล้ว ยามนี้คิดจะกลับลำก็ไม่ได้แล้ว ขณะที่กำลังยุ่งเหยิงวุ่นวายอยู่ นางพลันเงยหน้าขึ้น มองเห็นตี้ฝูอีร่อนลงมาจากบนต้นไม้ มือข้างหนึ่งของเขาถือขลุ่ยไว้ มืออีกข้างถือถังไว้ ถึงแม้จะเป็นภาพที่ค่อนข้างประหลาด แต่ท่าทางเช่นนี้ไม่ได้ทำให้บุคลิกที่ดูสูงส่งดั่งต้นอวี้ของเขาลดลงเลยสักนิด

“ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ในที่สุดท่านก็มาแล้ว”

“ใช่แล้ว สามวันนี้ไม่เห็นท่านเลย…”

“ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายบรรเลงขลุ่ยได้ยอดเยี่ยมโดยแท้! เข้ากับเสียงร้องของแม่นางกู้ได้ปานเสียงสวรรค์…”

ระยะนี้ความนิยมของตี้ฝูอีไม่เลวเลย ทุกคนพากันเอ่ยทักทายเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เห็นได้ชัดว่านับเขาเป็นพวกเดียวกันแล้ว

มุมปากของตี้ฝูอีหยักขึ้นบางๆ ดูคล้ายเกียจคร้าน ทว่าสายตากลับตกลงบนร่างของกู้ซีจิ่ว ลึกล้ำยิ่งกว่ารัตติกาล พร่างพราวยิ่งกว่าแสงดารา

กู้ซีจิ่วนั่งกอดอกอยู่ตรงนั้น สบตาเขาโดยไม่หลบเลี่ยงเลยสักนิด เธอยกยิ้มแวบหนึ่ง ผงกศีรษะให้เขา พลางหันไปคุยกับคนที่อยู่ด้านข้าง ไม่มองเขาอีก

แววตาตี้ฝูอีพลันมืดมนลง ดูเหมือนสาวน้อยกำลังโกรธอยู่…

เพราะเหตุใดกัน?

หรือรังเกียจที่เขาเคลื่อนไหวช้าไป?

อันที่จริงเขารีบร้อนยิ่งนักแล้ว…

ฝูงชนมองดูถังในมือเขา ในถังมีเสียงน้ำดังขึ้นเป็นครั้งคราว บางคนยืดคอมองเข้าไปแวบหนึ่งด้วยความอยากรู้ พบว่าถังมีปลาตัวหนึ่งว่ายอยู่

ปลาตัวนั้นหน้าตาประหลาดยิ่ง ครึ่งแดงครึ่งเงิน เสมือนปลาไนอวบอ้วน มองๆ แล้วค่อนข้างน่าเอ็นดู

“เอ๋ นี่มิใช่ปลาไนดิ้นเงินหรอกหรือ? นี่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไปตกปลามารึ?”

“ปลาชนิดนี้มีไหวพริบยิ่งนัก ตกไม่ง่ายเลย! ไม่น่าเชื่อว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจะตกตัวนี้มาได้ เห็นทีว่าทักษะการตกปลาของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจะไม่เลวเลย”

“ปลานี้ถึงแม้จะตกยาก แต่กลับอุดมสารอาหารนัก รสชาติก็ล้ำเลิศยิ่ง ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตกปลาตัวนี้กลับมาคิดจะมอบให้ผู้ใดหรือ?”

ฝูงชนพูดจาหยอกเอินอย่างเจ้าคำข้าคำ

หัวใจกู้ซีจิ่วสั่นไหวเล็กน้อย ดูเหมือนน้ำแกงปลาที่เธอตุ๋นให้ไป๋หลี่เช่อเมื่อวันก่อนก็เป็นปลาชนิดนี้เหมือนกัน ได้ยินว่าต่อมาถูกทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายแย่งไป ทำให้ไป๋หลี่เช่อขุ่นเคืองอยู่เนิ่นนาน

ขณะที่เธอใคร่ครวญอยู่ ข้างกายพลันสลัวลง มีกลิ่นหอมอ่อนจางโชยเข้าสู่จมูก

ตี้ฝูอีเดินมาถึงข้างกายเธอแล้ว ไม่ได้พูดกับเธอโดยตรง แต่ใช้น้ำเสียงสุภาพกล่าวกับสตรีนางหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านซ้ายของกู้ซีจิ่ว “แม่นางสละที่ให้ได้หรือไม่?”

สตรีนางนั้นย่อมตามีแววเช่นกัน อีกอย่างยามที่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายใช้น้ำเสียงสุภาพพูดกับผู้อื่น ก็ไม่มีใครปฏิเสธได้โดยไม่ละอายใจ ดังนั้นนางลุกออกไปหาที่อื่นนั่งทันที

จากนั้นตี้ฝูอีก็นั่งลงข้างกายกู้ซีจิ่วอย่างสง่าผ่าเผย

————————————————————–