สีหน้าหลิ่วกุ้ยเฟยเปลี่ยนไป ดูโหดร้ายและไม่สู้ดีนัก ถึงแม้นางจะไม่รู้ว่าสถานที่ที่ชื่อว่าหอชิงเฟิงนั้นจะเป็นสถานที่เช่นไร แต่ก็ไม่เป็นปัญหาต่อความเข้าใจในคำพูดของนาง นี่นางถึงขั้นเปรียบเทียบตนกับสตรีที่กระหายในความใคร่เหล่านั้นเชียวหรือ! นางกล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร!
“เยี่ยหลี! นังสาร…”
หลิ่วกุ้ยเฟยพูดยังไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงกระทึบเท้าทีหนึ่ง แล้วร่างสีขาวที่มีรอยเลือดเปื้อนอยู่ก็ลอยออกไปทันที กระเด็นออกนอกประตูห้องโถงใหญ่ไปตกอยู่บนพื้นหินในสวนดอกไม้ที่ด้านนอก
ครานี้หาได้มีความปราณีเลยแม้แต่น้อย ยามที่หลิ่วกุ้ยเฟยตัวตกลงสู่พื้น มีเสียงกระแทกที่ไม่เบานักดังขึ้น องครักษ์ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกพากันก้มหน้าก้มตา แต่ในใจกลับนึกเสียวฟันขึ้นมาทันที เสียงที่พวกเขาได้ยินเมื่อครู่เป็นเสียงกระดูกหักหรือเปล่านะ
พอตกถึงพื้น หลิ่วกุ้ยเฟยก็กระอักเลือดออกมาทันที ดวงตาที่เคยเรียบเย็น เบิกโพลงมองบุรุษในชุดสีขาวที่ค่อยๆ ก้าวเดินออกมา ประหนึ่งไม่เคยรู้จักคนผู้นี้มาก่อน
ม่อซิวเหยาเดินมาหยุดตรงหน้านาง กดสายตาลงมองสตรีที่กองอยู่กับพื้นด้วยสภาพย่ำแย่ นัยน์ตากลับดูไม่มีแวววูบไหวหรือสงสารเลยแม้แต่น้อย
“ผู้ใดใช้ให้เจ้ากล้าเอ่ยด่านาง” น้ำเสียงของม่อซิวเหยาเย็นเยียบประหนึ่งน้ำแข็ง สายตาที่มองหลิ่วกุ้ยเฟยทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
“ม่อซิวเหยา…เจ้าช่างโหดร้าย!” หลิ่วกุ้ยเฟยใช้มือข้างหนึ่งพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น ส่วนมืออีกข้างห้อยต่องแต่งอยู่ข้างกาย เห็นได้ชัดว่าตอนที่นางตกกระแทกพื้นเมื่อครู่ ทำให้มือข้างที่ลงพื้นก่อนกระดูกหัก
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย มองสตรีที่แววตาเต็มไปด้วยความโกรธตรงหน้าอย่างเห็นขันยิ่งนัก “เจ้าคิดว่าเมื่อปีนั้นเจ้าช่วยข้าไว้หนหนึ่ง ข้าก็จะต้องอดทดกับเจ้าเป็นพิเศษหรือ ถึงขั้นยอมปล่อยให้เจ้ากล่าววาจาดูหมิ่นภรรยาข้า”
ตำหนักติ้งอ๋องมิได้ติดหนี้อันใดนาง ปีนั้นหลิ่วกุ้ยเฟยเคยช่วยเขาไว้ ถูกต้อง แต่ตำหนักติ้งอ๋องก็ตอบแทนนางไปแล้ว กล่าวได้ว่าต่างคนต่างได้สิ่งที่ต้องการ ยามนี้หากเอาเรื่องนี้มาพูด มีแต่จะเห็นเป็นเรื่องน่าขัน
“สตรีนางนั้น…สตรีนางนั้นสำคัญกับเจ้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ เพื่อนางแล้ว…แม้แต่พื้นที่ทางตอนเหนือที่สามารถได้มาโดยง่าย เจ้าก็ยินดีที่จะละทิ้งอย่างนั้นหรือ” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยถามอย่างทรมาน
ม่อซิวเหยายิ้มเย็น “หรือว่าที่อาหลีพูดยังไม่ชัดเจนพอ อีกอย่าง…เพื่อนางแล้วอย่าว่าแต่ของที่ยังไม่ได้มาอยู่ในมือเลย ต่อให้เป็นแผ่นดินทั้งใต้หล้า ข้าก็สามารถละทิ้งได้”
“เจ้า?!” หลิ่วกุ้ยเฟยจ้องบุรุษในชุดขาวตรงหน้าด้วยความตื่นตระหนก
ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเบาๆ ทีหนึ่ง ประหนึ่งรำคาญสตรีที่ทั้งตัวมีแค่รอยเลือดเสียเต็มประดา
โบกมือพลางหันไปเอ่ยสั่งกับองครักษ์ที่อยู่ด้านข้างว่า “โยนออกไป!”
“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง” องครักษ์ที่รอรับคำสั่งอยู่ ไม่กล้ารั้งรอ รีบเข้าไปพาตัวหลิ่วกุ้ยเฟยเดินออกไปทันที
หลิ่วกุ้ยเฟยที่ได้รับบาดเจ็บหนัก เมื่อถูกคนมาใช้กำลังจับไว้เช่นนี้ยิ่งขยับเขยื้อนขัดขืนไม่ได้ ทำได้เพียงหันไปถลึงตาดุใส่ม่อซิวเหยาพลางสาปแช่งว่า “ม่อซิวเหยา เจ้าจะต้องเสียใจ!”
ม่อซิวเหยาเพียงยิ้มเยาะ มิได้สนใจอันใด
หลิ่วกุ้ยเฟยถูกคนลากออกไปถึงหน้าตำหนักติ้งอ๋อง ก่อนจะโอยนออกไปอย่างไร้ความเกรงใจ
เมื่อร่างกระทบเข้ากับพื้นที่ด้านนอกบันไดตำหนักติ้งอ๋อง การกระแทกอย่างหนักทำให้นางต้องส่งเสียงร้องออกมา เห็นได้ชัดว่าคงได้รับบาดเจ็บขึ้นอีกครั้ง
คนที่มาตำหนักติ้งอ๋องพร้อบกับนางรีบกรูกันเข้ามาจะพยุงนางขึ้น มือไม้ของหลายๆ คนที่ยื่นเข้ามาทำให้นางเจ็บปวดจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ จนต้องตะโกนออกมาด้วยความโกรธว่า “ไสหัวออกไป!”
ทุกคนต่างพากันตกใจ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่า พระสนมกุ้ยเฟยที่เข้าไปในตำหนักติ้งอ๋อง เหตุใดถึงกลับออกมาด้วยสภพนี้ โชคดีที่บริเวณที่ตำหนักติ้งอ๋องตั้งอยู่ เป็นส่วนที่ลูกหลานท่านอ๋องและชนชั้นสูงอยู่กัน ยามนี้บนท้องถนนจึงมิได้มีผู้คนเดินผ่านไปมา มิเช่นนั้นแล้วเชื้อพระวงศ์คงได้เสียหน้ากันจนสิ้น
กว่าหลิ่วกุ้ยเฟยจะตะเกียดตะกายลุกขึ้นมาจากพื้นได้ก็ไม่ง่าย แต่ก็ต้องมานิ่งอึ้งไป เมื่อเห็นว่าตรงมุมถนนที่อยู่ห่างไปไม่ไกล มีเด็กหนุ่มในชุดผ้าไหมอายุสิบสองสิบสามปียืนมองนางอยู่เงียบๆ ด้วยสีหน้าราบเรียบประหนึ่งผิวน้ำ
“พระสนม เป็นฉินอ๋อง…” นางกำนัลที่อยู่ข้างกายเอ่ยเตือนขึ้น
“ลูก…” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยเรียกขึ้นเบาๆ
ฉินอ๋องมองหลิ่วกุ้ยเฟยเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนหมุนตัวเดินหายไปจากมุมถนน
หลิ่วกุ้ยเฟยยืนมองถนนที่ว่างเปล่าอย่างเหม่อลอย ความรู้สึกไม่สบายใจบางอย่างค่อยๆ เข้ามาครอบคลุมจิตใจ
ในตำหนักติ้งอ๋อง
เมื่อเฟิ่งหวายถิงกับฮองเฮาได้เห็นสภาพของเฟิ่งจือเหยาก็พากันตกใจ แต่กลับไม่มีผู้ใดเอ่ยถามออกมา เมื่อเห็นบรรยากาศดูแปลกๆ เยี่ยหลีจึงจำต้องเอ่ยปากถามเองว่า “เฟิ่งซาน บาดแผลไม่เป็นอันใดมากกระมัง”
เฟิ่งจือเหยาดูเหมือนจะมองเยี่ยหลีด้วยความซาบซึ้งใจ ยิ้มเอ่ยว่า “ขอบพระคุณพระชายาที่เป็นห่วง แค่บาดแผลเล็กน้อยภายนอก ไม่เป็นอันใดมาก”
ด้านข้าง เฟิ่งหวายถิงกับฮองเฮาถึงได้ลอบเบาใจ
ม่อซิวเหยาที่นั่งอยู่ เคาะนิ้วเล่นอยู่บนที่เท้าแขนเก้าอี้ เอ่ยกับเฟิ่งจือเหยาด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งว่า “เฟิ่งซาน เจ้ามีอันใดจะพูดหรือไม่”
เฟิ่งจือเหยาหน้าม่อยลงทันที เอ่ยด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยว่า “ยินดีให้ท่านอ๋องลงโทษพ่ะย่ะค่ะ”
“ดีมาก” ม่อซิวเหยายิ้มพลางปรบมือ “ในเมื่อเจ้ายินดีที่จะรับโทษ เช่นนั้น…ไปรับโทษที่ฉินเฟิงนั่นดีหรือไม่ สองสามเดือนนี้ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า”
เฟิ่งจือเหยาเบิกตาโพลงด้วยความคาดไม่ถึง ยังไม่เข้าใจว่าท่านอ๋องคิดจะทำสิ่งใด ไปรับโทษที่ฉินเฟิง? ดูเหมือนที่ฉินเฟิงนั่นจะไม่มีตำแหน่งนี้กระมัง ที่สำคัญที่สุดคือ ม่อซิวเหยาถึงขั้นตัดใจไม่ใช้งานเขาถึงสองสามเดือนอีกด้วย
ความคาดไม่ถึงในสายตาของคนสองคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ กลับทำให้คิดไปว่า ม่อซิวเหยาจะทำการลงโทษเขาอย่างหนัก สีหน้าจึงดูย่ำแย่ขึ้นมาทันที
ครู่ใหญ่ เฟิ่งจือเหยาถึงได้รับคำสั่งของม่อซิวเหยาด้วยสีหน้าประดักประเดิด “ข้าน้อยรับบัญชา”
ไม่ว่าม่อซิวเหยาคิดจะทรมานทรกรรมอันใดเขา ถึงอย่างไรก็คงหลบเลี่ยงไม่พ้น เช่นนั้นสู้ทำใจเผชิญหน้าไปเลยเสียจังดีกว่า
“ท่านอ๋อง…” มีเสียงสองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน เฟิ่งหวายถิงกับฮองเฮาหันมองหน้ากันโดยไม่รู้ตัว
สุดท้ายเป็นเฟิ่งหวายถิงที่เอ่ยปากขึ้นว่า “ท่านอ๋อง เรื่องในครานี้ทั้งหมด เกิดขึ้นเพราะข้า ขอท่านอ๋องเห็นแก่หน้าอันเล็กน้อยของข้า ช่วยละเว้นด้วยเถิด”
เฟิ่งจือเหยาหันมองเฟิ่งหวายถิงที่มีสีหน้านิ่งขรึม คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างคาดไม่ถึง เห็นได้ชัดว่า คาดไม่ถึงว่าเฟิ่งหวายถิงจะเอ่ยขอร้องแทนเขา
ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “นายท่านเฟิ่งกล่าวเกินไปแล้ว เรื่องเหล่านี้เฟิ่งซานเป็นคนก่อขึ้น จะโทษนายท่านเฟิ่งได้อย่างไร อีกอย่าง แต่ไหนแต่ไรมาข้าทำอันใดก็มักแยกแยะการตบรางวัลและการให้โทษอย่างชัดเจน เฟิ่งซานก่อเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้น หากไม่ลงโทษเลยจะคุมคนจำนวนมากได้อย่างไร”
เฟิ่งหวายถิงเองก็เป็นนายคน ย่อมรู้ถึงความสำคัญของการตบรางวัลและการลงโทษ
แต่ประโยคสุดท้ายที่ม่อซิวเหยาเอ่ยเรื่อยๆ ตามมา กลับทำให้ใจเขาหนักอึ้ง “วางใจเถิด…ข้าจะไว้ชีวิตเขา”
“ท่านอ๋อง…จะไม่หนักไม่หน่อยหรือ” เห็นได้ชัดว่าความเข้าใจของม่อซิวเหยากับเฟิ่งหวายถิงแตกต่างกันอย่างรุนแรง
ม่อซิวเหยาไม่เคยคิดที่จะเอาชีวิตเฟิ่งจือเหยามาก่อน ย่อมต้องไว้ชีวิตเขาอยู่แล้ว ส่วนเฟิ่งหวายถิงกลับคิดว่า ความหมายของม่อซิวเหยาคือขอเพียงยังเหลือลมหายใจอยู่ ยังไม่ตายเป็นใช้ได้
เฟิ่งหวายถิงสูดหายใจเขาลึกๆ ทีหนึ่ง ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ท่านอ๋อง ไม่ว่าอย่างไรเฟิ่งจือเหยาก็เป็นบุตรชายของข้า ยามนี้เมื่อเขาทำผิด คนที่พ่ออย่างข้าก็ควรได้รับโทษด้วย”
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้นด้วยความตกใจ เอ่ยกับเฟิ่งหวายถิงว่า “ข้าจำได้ว่าตระกูลเฟิ่งขับไล่เฟิ่งซานออกจากตระกูลแล้วนี่”
“ชื่อบนทะเบียนตระกูลยังได้ไม่ลบออก” เฟิ่งหวายถิงเอ่ยอย่างแน่วแน่ ขอเพียงบนทะเบียนตระกูลยังมีชื่อของเฟิ่งจือเหยา เฟิ่งจือเหยาก็จะเป็นลูกหลานของตระกูลเฟิ่งตลอดไป
ม่อซิวเหยานิ่งไปครู่หนึ่ง ส่ายหน้าเอ่ยว่า “อย่างนั้นก็ไม่ได้ เฟิ่งจือเหยาอายุสามสิบปีแล้ว สามารถรับผิดชอบการกระทำของตนเองได้นานแล้ว อีกอย่าง เรื่องครานี้เป็นเรื่องส่วนตัวมิใช่เรื่องของตระกูล ย่อมต้องให้ข้าเป็นคนจัดการ เฟิ่งซาน เจ้ามีอันใดจะพูดหรือไม่”
เฟิ่งจือเหยานิ่งอึ้งไปตั้งแต่ที่เฟิ่งหวายถิงเอ่ยขอร้องแทนเขาแล้ว ไฉนเลยจะยังมีอันใดให้พูดอีก จึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างอึ้งๆ
ม่อซิวเหยาหันไปเอ่ยกับเฟิ่งหวายถิงอย่างอารมณ์ดีว่า “ท่านดูสิ ตัวเฟิ่งซานเองก็มิได้มีความเห็นอันใด”
เฟิ่งหวายถิงกัดฟัน เอ่ยว่า “ข้าสั่งสอนบุตรไม่ได้ความ ข้ายินดีรับโทษแทนเขา ขอท่านอ๋องได้โปรดเห็นใจด้วย”
ม่อซิวเหยามองเฟิ่งหวายถิงนิ่ง เอ่ยเรียบๆ ว่า “นายท่านเฟิ่งคิดดีแล้วหรือ การลงโทษของตำหนักติ้งอ๋องแต่ไหนแต่ไรมาก็โหดร้ายมาตลอด อย่าว่าแต่ท่าน นายท่านเฟิ่งที่อายุมากและร่างกายอ่อนแอเลย แม้แต่คนหนุ่มที่ผ่านการฝึกพิเศษมา ก็มีทนได้อยู่เพียงไม่กี่คน รับโทษแทนผู้อื่น ต้องรับโทษเป็นสองเท่านะ”
เฟิ่งหวายถิงเอ่ยอย่างแน่วแน่ว่า “เลี้ยงแต่ไม่สั่งสอน เป็นความผิดของบิดา นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรได้รับ ขอท่านอ๋องได้โปรดช่วยให้ข้าสมหวังด้วย”
รอยยิ้มบนใบหน้าม่อซิวเหยายิ่งดูกว้างมากขึ้น “เฟิ่งซาน เจ้าว่าอย่างไร”
เฟิ่งจือเหยาตั้งสติกลับมาได้แล้ว ขมวดคิ้วเอ่ยเสียงเย็นว่า “เรื่องที่ข้ากล้าทำก็กล้ารับ ผู้ใดต้องการให้เขามารับโทษแทนกัน ข้าไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับเขา!”
ม่อซิวเหยามองเฟิ่งหวายถิงด้วยความลำบากใจ “นายท่านเฟิ่ง ท่านดูสิ” เยี่ยหลีลอบดึงแขนเสื้อเขาไว้ เป็นการบอกว่าให้จบเรื่องนี้ได้แล้ว
เฟิ่งหวายถิงกวาดตามองเฟิ่งจือเหยาทีหนึ่ง ก่อนกันไปเอ่ยกับม่อซิวเหยาว่า “ขอเพียงเขายังแซ่เฟิ่งอยู่ เขาก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ ท่านอ๋องได้โปรดให้ข้าสมหวังด้วย”
“ดี!” ม่อซิวเหยาหันไปส่งยิ้มให้เยี่ยหลีให้นางวางใจ “ใครก็ได้! พาตัวนายท่านเฟิ่งออกไปรับโทษที”
“ท่านอ๋อง!” เฟิ่งจือเหยาโกรธจนกระทืบเท้า เขาย่อมรู้ดีว่า ม่อซิวเหยาไม่มีทางจับเขาโยนเข้าสู่ความตาย แต่การลงโทษที่อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ของเขา มิได้หมายความว่า บิดาของเขาที่เป็นชายชราอายุกว่าหกสิบปีจะสามารถรับได้
องครักษ์ด้านนอกเข้ามาจับตัวเฟิ่งหวายถิงออกไป เฟิ่งจือเหยารีบสาวเท้ายาวๆ จะตามออกไป
แต่แล้วก็มีลมเย็นๆ หอบหนึ่งพัดมา เฟิ่งจือเหยาเพียงรู้สึกชาที่ขา ก่อนจะล้มลงคุกเข่ากับพื้น ทำได้เพียงมองเฟิ่งหวายถิงถูกคนพาตัวออกไป
“วิ่งทำไม ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าเลยนะ” ม่อซิวเหยาอมยิ้มมองเฟิ่งจือเหยาที่ขาข้างหนึ่งคุกเข่าอยู่กับพื้น
เฟิ่งจือเหยาเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “ท่านอ๋อง ตาเฒ่านั่นอายุจะหกสิบปีแล้วนะ ท่านคงไม่ได้คิดจะเอาเขาถึงตายจริงๆ กระมัง”
ม่อซิวเหยาปรายตามองเขาทีหนึ่ง “ข้าทำเขาตาย ก็มิได้เป็นได้ตามที่เจ้าหวังไว้หรือ เจ้าไม่ได้โกรธเคืองเขาจนจะตายกันไปข้างหนึ่งหรอกหรือ”
เฟิ่งจือเหยากัดฟัน “เขาเป็นบิดาของข้า!” ต่อให้ไม่พอใจที่ตาเฒ่านั่นลำเอียงเพียงใด แต่เขาก็ไม่มีทางคิดอยากให้บิดาของตนตายหรอก
“ข้าจำได้ว่าเมื่อครู่ยังมีคนบอกข้าว่า ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเขานี่ เหตุใดครานี้ถึงได้กลายเป็นบิดาเจ้าไปเสียได้”
“ท่านอ๋อง…” เฟิ่งจือเหยาร้อนใจจนแทบอยากร้องไห้ หวังเพียงว่าพี่น้องผู้ใต้บังคับบัญชาจะไม่ลงมือรวดเร็วจนเกินไปนัก ด้วยความเร็วของความโชคร้ายที่หลิ่วกุ้ยเฟยต้องเผชิญเมื่อครู่ หากเสียเวลาเพียงนิด ไม่แน่ว่าอาจลงโทษเสร็จแล้วก็เป็นได้ “ท่านอ๋อง ข้าผิดไปแล้ว ท่านคิดจะเอาอย่างไรกันแน่ ข้าถวายชีวิตให้ท่านจนตัวตายยังไม่พออีกหรือ”
ม่อซิวเหยาเอ่ยอย่างดูแคลนว่า “เดิมทีเจ้าก็ต้องถวายชีวิตให้ข้าจนตัวตายอยู่แล้ว”
“เช่นนั้นท่านคิดจะทำเช่นไร”
“ให้บิดาของเจ้ากลับซีเป่ยไปกับพวกเรา”
“ไม่มีปัญ…อ๋า?” เฟิ่งจือเหยานิ่งอึ้งไปทันที เหตุใดเขาถึงไม่รู้ว่าม่อซิวเหยาไปหมายตาบิดาเขาไว้ตั้งแต่เมื่อใด
“ไม่เห็นด้วย?” ม่อซิวเหยาหรี่ตาลงอย่างอันตราย
“เห็นด้วย! เห็นด้วย!” เฟิ่งจือเหยาพยักหน้าติดๆ กัน “เพียงแต่…เกรงว่าพ่อข้าคงไม่เห็นด้วย”
ม่อซิวเหยาปรบมือพร้อมยิ้มด้วยท่าทีสบายๆ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าแล้ว อา เจ้าจะบอกเขาก็ได้ว่า หากเขาไม่เห็นด้วยข้าก็จะฆ่าเจ้าเสีย ไปเถิด…”
ม่อซิวเหยาโบกมือ ไล่เฟิ่งจือเหยาออกไปด้วยความพอใจ
เมื่อหันไปเห็นเยี่ยหลีกับฮองเฮาที่กลั้นยิ้มกันอยู่ เฟิ่งจือเหยาถึงได้เข้าใจว่า ตนถูกหลอกเข้าให้เสียแล้ว
เฟิ่งจือเหยาได้แต่ก้มหน้าลงด้วยความจนใจ ก่อนเดินออกไปตามหาตัวบิดา