ตอนที่ 338 เหนือฟ้ายังมีฟ้า

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 338 เหนือฟ้ายังมีฟ้า

ณ ชางฮ่าย

ท้องทะเลราวกับว่าเหนื่อยล้าจากการซัดสาดคลื่นเมื่อตอนกลางวัน เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม ดวงดาวจึงปรากฏขึ้น ท้องทะเลสงบลงราวกับกระจกใส

เรือลำเล็ก ๆ ล่องลอยอยู่บนกระจกบานนี้ มีโคมไฟหนึ่งดวง โต๊ะเล็ก ๆ หนึ่งโต๊ะ และมีคนสองคน สุราสองขวดและถั่วลิสงสองจานวางอยู่บนโต๊ะ

จัวตงหลายรินสุราให้แก่เป่ยหวังฉวนหนึ่งจอก

“เรื่องราวเป็นเช่นนี้ ทำให้ท่านลำบากเสียทีเดียว ท่านปู่กล่าวว่าคืนนี้เมื่อไปถึง เขาจะขอโทษท่านด้วยตนเอง”

ความสงสัยในแววตาของเป่ยหวังฉวนยังมิจางหายไป เขาเอ่ยถามขึ้นมาอีกว่า “ฟู่เสี่ยวกวนคือบุตรนอกสมรสของฝ่าบาทจริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

จัวตงหลายยิ้มเบา ๆ “คาดว่ามิผิดเพี้ยนเป็นแน่ บัดนี้บันทึกในสามปีนั้นได้หายไป แม้จะมีคนกล่าวว่าอยู่ในมือของไทเฮา แต่ประโยคนี้ไทเฮาทรงตรัสออกมาด้วยตนเอง มิมีผู้ใดพบเห็นบันทึกนั้น อีกทั้งฟู่เสี่ยวกวนกำเนิดมาจากสวี่หยุนชิงจริง ๆ แม้ว่าสวี่หยุนชิงจะแต่งงานกับฟู่ต้ากวน แต่จากที่ท่านปู่มองดูแล้ว เกรงว่าฟู่ต้ากวนจะเป็นคนของฝ่าบาท”

เป่ยหวังฉวนตกตะลึงมากยิ่งนัก เขามิรู้จักฟู่ต้ากวนมาก่อน แต่รู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างไร้สาระสิ้นดี

จัวตงหลายได้อธิบายต่อไปว่า “ท่านลองคิดดูเถิดว่า เดิมทีฟู่ต้ากวนเป็นเพียงแค่จวี่เหริน แม้บรรพบุรุษจะมีที่นาในเมืองหลินเจียงบ้าง แต่ก็มิได้ใหญ่โตเฉกเช่นบัดนี้ ท่านปู่ได้ตรวจสอบฟู่ต้ากวน พบว่าในรัชสมัยไท่เหอปีที่ 41 นั้นเขาได้ซื้อที่ดินจำนวนมาก นี่หมายความว่าเยี่ยงไร ? ที่ดินมากมายเพียงนั้นต้องใช้เงินมหาศาลเลยมิใช่หรือ ? ”

“บรรพบุรุษตระกูลฟู่มิได้มีเงินทองมากมายถึงเพียงนั้น ดังนั้น…ที่มาของเงิน เกรงว่าจะเป็นฝ่าบาทที่ประทานให้ จุดประสงค์เพื่อให้สวี่หยุนชิงมีชีวิตที่ดี และหวังว่าบุตรนอกสมรสผู้นั้นมีชีวิตที่ดีด้วยเช่นกัน”

ในฐานะนักบู๊ เป่ยหวังฉวนมิได้เข้าใจในเรื่องเหล่านี้เท่าใดนัก แต่เขาก็เอ่ยถามว่า “ในเมื่อฝ่าบาททรงรับรู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนคือบุตรชายของตนตั้งนานมาแล้ว เหตุใดจึงมิรับฟู่เสี่ยวกวนกลับมาที่เมืองกวนหยุนกัน ? ”

“หลังจากฝ่าบาททรงอภิเษกกับจักรพรรดินีเซียว ในตอนนั้นคาดว่าทรงตั้งใจจะรับสวี่หยุนชิงและฟู่เสี่ยวกวนกลับมา แต่เนื่องจากตอนนั้นยังมิได้ทรงแต่งตั้งจักรพรรดินี คาดว่าจะมอบตำแหน่งนี้ให้แก่สวี่หยุนชิง แต่คาดมิถึงว่าสวี่หยุนชิงจะป่วยแล้วจากไปเสียก่อน จึงทำให้แผนการของฝ่าบาทล้มเหลว จากนั้นจึงแต่งตั้งจักรพรรดินีเซียวขึ้นมาแทน”

“ฝ่าบาททรงทราบว่าหากองค์ชายในวัยเด็กมิมีมารดาคอยดูแล อีกทั้งในหลังวังเต็มไปด้วยภยันตราย จึงได้ละทิ้งความคิดที่จะรับฟู่เสี่ยวกวนกลับมาทิ้งไปเสีย อีกทั้งในตอนนั้นฟู่เสี่ยวกวนมีชื่อเสียงที่มิดีเท่าใดนัก ฝ่าบาทจึงทรงตั้งใจให้เขาได้ใช้ชีวิตเป็นพ่อค้าที่ดินแสนมั่งคั่งอย่างมีความสุขที่เมืองหลินเจียง แต่คาดมิถึงว่าต่อมาเขาจะมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้าเช่นนี้”

เป่ยหวังฉวนเอ่ยแทรกขึ้นมาว่า “ดังนั้นฝ่าบาทจึงทรงอยากพบฟู่เสี่ยวกวน และด้วยเรื่องนี้ จึงได้ทรงจัดงานชุมนุมวรรณกรรมขึ้นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เป็นเช่นนั้น ราชวงศ์อู๋นั้นให้ความสำคัญกับการต่อสู้ มิเคยจัดงานชุมนุมวรรณกรรมเลยสักครา”

เป่ยหวังฉวนสูดหายใจเข้าลึก ๆ การลอบสังหารฟู่เสี่ยวกวนที่เมืองเปียนเฉิง จัวอี้สิงให้เขาเป็นคนลงมือ แต่ผู้อยู่เบื้องหลังจัวอี้สิงคือองค์ชายสี่แห่งราชวงศ์หยู

เรื่องที่ว่าองค์ชายสี่ต้องการให้ฟู่เสี่ยวกวนตาย เขาเองก็เคยได้ยินมาบ้าง เนื่องจากฟู่เสี่ยวกวนทำให้ผู้คนมากมายในเมืองจินหลิงต้องขุ่นเคือง

บัดนี้เมื่อตัวตนของฟู่เสี่ยวกวนเปลี่ยนไป กลายเป็นองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋…เช่นนั้นคนในราชวงศ์อู๋ที่อยากให้ฟู่เสี่ยวกวนตายคงมากมายเสียทีเดียว หนึ่งในนั้นต้องมีจักรพรรดินีเซียวเป็นแน่

จัวอี้สิงในฐานะอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวา เหตุใดเขาจึงได้ช่วยจักรพรรดินีในการหลอกล่อผู้คุ้มกันของฟู่เสี่ยวกวนออกไปกัน ? จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์นี่คิดสิ่งใดอยู่ ? ”

ศิษย์ทั้งเจ็ดแห่งสำนักเต๋าจะมาที่นี่ หากมิใช่เพราะอาการบาดเจ็บที่หัวไหล่ หากมิไม่ใช่เพราะสุ่ยหยุนเจียนกล่าวว่าเขามิอาจยกคันธนูได้เป็นเวลาหนึ่งปีล่ะก็ เขาก็อยากจะประลองกับพวกเขาเสียจริง

น่าเสียดายยิ่ง พวกเขามาเสียเที่ยว เมื่อกลับไปที่คฤหาสน์จิ้งหูก็เกรงว่าศพของฟู่เสี่ยวกวนคงจะเย็นชืดเสียแล้ว

เขาตกตะลึงขึ้นมาทันใด ในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนเป็นโอรสขององค์จักรพรรดิ ส่วนตนนั้นได้ลอบสังหารเขาที่เมืองเปียนเฉิง หากว่าฝ่าบาททรงเอ่ยถามขึ้น…มิได้ ฟู่เสี่ยวกวนจะตายมิได้ !

เขาดื่มสุราเข้าไปหนึ่งจอก นิ้วของเขาชี้มาทางจัวตงหลาย จัวตงหลายผงะทันพลัน เป่ยหวังฉวนพายเรือด้วยมือข้างเดียว เรือน้อยจึงแล่นเข้าสู่ท่าเทียบเรืออย่างรวดเร็ว

……

……

ณ พระราชวัง เมืองกวนหยุน

ตำหนักหยางซิน

หนานกงอี้หยู่ร้อนรนดั่งไฟ แต่ทว่าฝ่าบาททรงรับสั่งให้เขานั่งลง

“หากช้ากว่านี้คาดว่าจะสายเกินไป ! ”

จักรพรรดิเหวินยิ้มขึ้นแล้วหันหลังไปตรัสกับขันทีเสี่ยวว่า “เสี่ยวหลีจื่อ จงไปยังห้องหนังสือแล้วนำหมากรุกของข้ามา”

ขันทีเสี่ยวโค้งรับคำ หนานกงอี้หยู่ตกตะลึง “ฝ่าบาท…”

“มิได้เล่นหมากรุกกับเจ้ามานานโข ค่ำคืนนี้ท้องฟ้าช่างงดงามยิ่ง หมอกปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง คาดว่าวันรุ่งขึ้นจะได้มองเห็นเมืองกวนหยุนมีเมฆลอยไปทั่วทั้งเมือง อย่าได้กังวลไป พรุ่งนี้เช้าไปชมทะเลหมอกที่กวนหยุนถายด้วยกันเถิด”

หนานกงอี้หยู่มองไปยังจักรพรรดิเหวิน แม้จักรพรรดิเหวินจะดูสงบนิ่ง แต่คิ้วที่ขมวดเข้าหากันนั้นแฝงถึงความกังวล

สถานการณ์เช่นนี้คาดว่าฝ่าบาทจะทรงมีแผนการรับมือไว้แล้ว แต่เกรงว่าแผนการของเขาจะเปรียบเสมือนเรื่องที่ได้นั่งครองบัลลังก์มาสิบกว่าปีนี้ ช่างมิมั่นคง !

เสี่ยวหลีจื่อนำหมากรุกที่ใช้หยกทำเป็นตัวเดินหมากเข้ามา เมื่อหนานกงอี้หยู่วางหมาก จักรพรรดิเหวินก็ได้เลือกหมากสีดำ

เขาเดินหมากพลางพึมพำกับตนเองว่า “ข้าครองบัลลังก์มาสิบปี เจ้าบอกว่าข้ามิมั่นคง…ข้ามิได้จะตำหนิเจ้า แต่ข้าจะขอแก้ไขความคิดเห็นเจ้าเสียหน่อย หากเป็นห้าปีแรกนั้นข้ายอมรับ แต่ทว่าห้าปีให้หลัง ข้าได้กลับตัวกลับใจทำหน้าที่จักรพรรดิที่ดีแล้ว เจ้าเข้าใจข้าผิดไปถึง 5 ปี ! ”

สายตาของหนานกงอี้หยู่มองไปที่ตารางหมากรุก เขามิได้เกรงกลัวประโยคที่จักรพรรดิเหวินกล่าวมาเมื่อครู่ และยังคงวางหมากและกินหมากของจักรพรรดิเหวินถึงสามตัวได้สำเร็จ

“ในตัวของฟู่เสี่ยวกวนมีสายเลือดของฝ่าบาทไหลเวียนอยู่ สิ่งที่ฝ่าบาทควรทำคือการประกาศในการประชุมใหญ่แก่ขุนนางทั้งหลาย เช่นนี้ตำแหน่งของฟู่เสี่ยวกวนจึงจะมั่นคงได้ ในวันบวงสรวงสู่สวรรค์ก็เขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วประกาศไปทั่วหล้า เลือกวันเวลาที่เหมาะสมแล้วพาเขาไปยังวัดไท่เมี่ยว ก็จะเป็นการจบเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดายมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ”

หนานกงอี้หยู่เงยหน้ามองดูจักรพรรดิเหวิน “แต่ฝ่าบาททรงนำเรื่องส่วนตัวเหล่านี้ไปบอกแก่…จักรพรรดินี ฝ่าบาททรงรู้อยู่แก่ใจว่าจักรพรรดินีเซียวจับจ้องเรื่องราวเหล่านั้นอยู่ ที่ฟู่เสี่ยวกวนถูกลอบสังหารในเมืองเปียนเฉิง เป็นเป่ยหวังฉวนที่ลงมือ กระหม่อมคิดว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังนี้ต้องมีเงาของจักรพรรดินีอยู่เป็นแน่ การที่ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการเติมฟืนให้ไฟ ดีมิดีอาจเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาก็ได้พ่ะย่ะค่ะ ! ท่านคิดว่ามั่นคงจริง ๆ แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ในตอนท้ายเขาใช้คำว่าท่านในการเรียกองค์จักรพรรดิ แต่จักรพรรดิเหวินมิได้ใส่ใจ กลับหัวเราะออกมาแล้ววางหมากลงไปกินหมากของหนานกงอี้หยู่ถึงห้าตัว

เขาเก็บหมากห้าตัวนั้นแล้วกล่าวว่า “สิบปีมานี้ข้าเป็นจักรพรรดิที่มิได้เรื่องเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

องค์จักรพรรดิทรงนั่งหลังตรงแล้วกล่าวออกมาอย่างช้า ๆ ว่า “ข้ามีเรื่องคับข้องใจอยู่หนึ่งเรื่อง คงทำได้เพียงแค่ระบายกับเจ้าเท่านั้น ! ”

หนานกงอี้หยู่ตกตะลึง เขารีบยืดตัวตรงเช่นกัน “กระหม่อม กังวลยิ่ง”

“เจ้าจะกังวลสิ่งใดกัน ! ทั่วราชวงศ์อู๋นี้ มีเพียงเจ้าที่กล้าเอ่ยกับข้าอย่างจริงใจ…การจากไปของสวี่หยุนชิง มิใช่เพราะเจ็บป่วย แต่เป็นยาพิษ ! ”

สีหน้าของหนานกงอี้หยู่เปลี่ยนไปในฉับพลัน !