ตอนที่ 301 คำเตือน (2)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

“ฝ่าบาทแปดขอรับ” ผิงหนิงมองไปรอบๆ เห็นทุกคนก้มหน้ากันหมด ไม่มีใครกล้ามองหน้าเจ้านาย ผิงหนิงจนใจจึงได้แต่ร้องเรียกเบาๆ คำหนึ่ง

“เป็นการแก้แค้นของเขา” ดูเหมือนไป๋หลี่หลิงเฟิงจู่ๆ ก็เข้าใจอะไรบางอย่าง แค่นเสียงเบาๆ

ผิงหนิงมิรู้ว่าจู่ๆ เจ้านายก็หลุดคำนี้ออกมาหมายความว่าอย่างไร จึงได้แต่พยุงเจ้านายนั่งลง แล้วมองดูเขาอย่างมึนงง “หือ”

ไป๋หลี่หลิงเฟิงหรี่ตาลงราวกับแสงตะวันแยงตา กล่าวอย่างถากถางว่า “ชิวเยี่ยไป๋กำลังล้างแค้นข้า ดูไม่ออกอีกหรือ เริ่มตั้งแต่นางได้รับจดหมายที่ข้าให้คนของสามสิบหกลุ่มน้ำทิ้งไว้ให้เขา เขาก็เริ่มวางแผนแก้แค้นข้าแล้ว ไม่ น่าจะบอกว่าตั้งแต่ข้าให้มั่วเสียนลงมือต่อเขา หรือจะก่อนหน้านั่นอีกตั้งแต่ให้เขาพัวพันกับคดีไหวหนาน ในใจของเขาก็ไม่คิดจะให้ข้ารอดตัวอยู่แล้ว”

นี่เป็นเล่ห์ร้าย คนผู้นั้นมาในวันนี้แล้วจากไป ยิ่งเหมือนการประกาศอย่างหนึ่ง ประกาศว่าเขามิใช่คนตอแยได้ง่าย ใครที่คิดจะลองดีกับเจ้าสำนักหอซ่อนกระบี่ต้องทดแทนด้วยคุณค่ามหาศาล

ผิงหนิงได้ยินเจ้านายของตนเปลี่ยนคำเรียกหาก็รู้สึกโล่งใจ ยามปกติเจ้านายของตนที่อยู่ในกองทัพไม่เคยถือตนว่าเป็นราชโอรสหรือเจ้าแห่งตำหนักหนึ่งเลย กินนอนร่วมกับเหล่าทหาร วันนี้แพ้พ่ายเช่นนี้ ฝ่าบาทเรียกตัวเองเช่นนี้ แสดงว่าฝ่าบาทมิได้มีโทสะรุนแรงเหมือนที่พวกเขาคิด

“ฝ่าบาท เจ้าชิวเยี่ยไป๋คนนี้น่าชังยิ่งนัก ในซือหลี่เจียนก็มีคนของเรา จะให้…” ผิงหนิงทำท่ามีดปาดคอ กล่าวอย่างเคียดแค้น

ไป๋หลี่หลิงเฟิงกลับส่ายหน้า ดวงตาสุกใสฉายแววอึมครึม เผยรอยยิ้มบางๆ กลับคืนสู่ท่าทางสดใสสว่างเช่นยามปกติ “ไม่ วางแผนก่อนค่อยเคลื่อนไหว ครานี้ข้าเดินหมากผิดไปก้าวหนึ่ง แพ้ก็คือแพ้ คนผู้นี้กล้าเหิมเกริมปราศจากความกริ่งเกรงเช่นนี้ คิดว่าคนที่จะเอาชีวิตเขาย่อมมิใช่มีเพียงเจ้ากับข้า อย่าว่าแต่วันข้างหน้าเขายังอาจใช้ประโยชน์ได้ด้วย”

ครั้งนี้เขาดูแคลนศัตรู ดูเบาคนผู้นี้ แต่ในเมื่อวันนี้สถานการณ์แข็งตัว ว่ากันตามสติปัญญาและนิสัยของคนผู้นี้แล้ว ต่อให้ไม่ตายก็คงไม่อาจเป็นใหญ่เป็นโตในวันข้างหน้าได้

“แต่ฝ่าบาท ถ้าเกิดคนผู้นี้ยอมสวามิภักดิ์ต่อพระพันปี…” ผิงหนิงกังวลอยู่บ้าง

ไป๋หลี่หลิงเฟิงเอนลงบนเก้าอี้ กล่าวอย่างมีความหมายลึกซึ้งว่า “คิดจะได้ของจากตัวเจ้าสำนักหอซ่อนกระบี่ ย่อมต้องทดแทนด้วยคุณค่าที่ประมาณมิได้ ค่าทดแทนนี้คือทำให้ข้าสูญเสียโอกาสได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋อง ข้าอยากรู้จริงๆ ว่า พระพันปีจะต้องสูญเสียอะไรบ้าง”

เจ้าคนในยุทธจักรอย่างชิวเยี่ยไป๋ มิใช่คนที่พระพันปีจะใช้สอยได้โดยเด็ดขาด ไม่มีเหตุผลที่เขาจะลิ้มรสความทุกข์แต่ผู้เดียวโดยพระพันปีสุขกายสบายใจกระมัง

ถึงอย่างไรการปลิดตำแหน่งอ๋องของเขาโดยตรงที่สุด ทำเอาความพากเพียรที่ทำมาหลายปีจนมีโอกาสพ้นจากวังตั้งตัวเป็นอ๋องสูญเปล่า ยังคงเป็นฝีมือของพระอัยยิกาที่เคารพ

คราวนี้ผิงหนิงฟังเข้าใจแล้ว ฝ่าบาทแปดคิดจะยืมมือชิวเยี่ยไป๋เพิ่มความยุ่งยากให้พระพันปี ทว่า…

“แต่ถ้าเจ้าชิวเยี่ยไป๋ตายไปเล่า” ผิงหนิงยังคงรู้สึกว่าองค์พระพันปีถึงอย่างไรก็หมกมุ่นในวังมานานปี สามารถเดินมาถึงวันนี้ แม้ตระกูลตู้จะมีความชอบอย่างปฏิเสธมิได้ แต่นางย่อมไม่ธรรมดา มิรู้ว่ามือเปื้อนเลือดของญาติสนิทและชีวิตไปมากน้อยเท่าใด สมดังที่กล่าวว่าพิษร้ายที่สุดคือจิตใจของอิสตรี ถ้าสตรีโหดขึ้นมาและใช้เล่ห์กล จะแตกต่างกับดาบและทวนที่เปิดเผยของบุรุษอย่างสิ้นเชิง

ไป๋หลี่หลิงเฟิงยกชากุ้ยฮวาสีเหลืองทองขึ้นก้มจิบเบาๆ โดยมินำพาว่าน้ำชานั้นเย็นแล้ว พลางกล่าวเนือยๆ ว่า “เช่นนั้นก็ตายไปเถิด สวะที่ไร้ความสามารถและเหิมเกริมเช่นนี้ อยู่หรือตายไปโลกนี้มิได้เพิ่มขึ้นคนหนึ่งหรือลดน้อยไปคนหนึ่งหรอก”

คนที่ก่อกวนจนพระราชวังปั่นป่วนไปกว่าครึ่ง ยามนี้กำลังเดินช้าๆ อย่างสบายอารมณ์ ท่ามกลางคนห้อมล้อมตรงไปยังหกวังทางตะวันตก สีหน้าเรียบเฉย ราวกับมิรู้สึกรู้สาว่าคลื่นใต้น้ำกำลังกระหน่ำในเมืองวัง

บรรดาองครักษ์เน่ยเจียนก็มิรู้ว่าเพราะคนผู้นี้เคยเป็นเพื่อนร่วมงานในซือหลี่เจียนที่พอจะมีฐานะอยู่บ้างหรืออย่างไร จึงมิได้ใส่เครื่องจองจำและตีตรวนชิวเยี่ยไป๋ เพียงมือถือดาบล้อมนางไว้ตรงกลางอย่างตื่นตัว ดังนั้นมองดูแต่ไกลกลับเหมือนบรรดาองครักษ์เน่ยเจียนกำลังอารักขานางกระนั้น

ชิวเยี่ยไป๋เองก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีและให้หน้าเพื่อนร่วมงานเก่ามาก มิได้มีอากัปกริยาจะขัดขืนดิ้นรน เพียงเดินไปแต่โดยดี

แต่หากมีผู้มีวิทยายุทธ์สูงล้ำสังเกตสักหน่อย ก็จะพบว่าแม้สีหน้าท่าทางของชิวเยี่ยไป๋จะดูนิ่งๆ แต่ริมฝีปากกลับเผยอขยับเล็กน้อย นี่คือการใช้วิชาส่งเสียงด้วยพลังลมปราณของชาวยุทธจักร

และข้างกายของนางมีขันทีองครักษ์เน่ยเจียนที่เดินหน้าด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกเช่นองครักษ์อื่นๆ แต่ริมฝีปากเผยอเป็นครั้งคราว

“คุณชายสี่ ท่านเสี่ยงเกินไป”

เป๋าเป่ายื่นมือดึงคอเสื้อของตนเอง แม้ชุดปลาบินนี้จะน่าดูและสง่าอาจอง แต่ยามนี้เป็นหน้าร้อน สวมใส่เช่นนี้ไม่สบายอย่างยิ่ง

ชิวเยี่ยไป๋กล่าวเนือยๆ ว่า “เจ้าคิดว่าข้าอยากเสี่ยงนักหรือ ภายในของเรามีไส้ศึก และที่เรียกว่าความลับถูกคนที่สองล่วงรู้ไปแล้วย่อมไม่ลับอีกต่อไป ในเมื่อไป๋หลี่หลิงเฟิงสามารถรู้ว่าข้าเป็นเจ้าสำนักหอซ่อนกระบี่อย่างนั้นก็ต้องคำนึงถึงตาร้ายที่สุด…ทุกคนรู้กันหมดแล้วถึงฐานะแท้จริงของข้า”

เดิมทีนางวางแผนจะเข้าราชธานีก่อน ค่อยหาโอกาสที่เหมาะสมใช้พวกคนที่หมายปองราชบัลลังก์ช่วยตนพลิกคดี และนี่เป็นความคิดเดิมที่นางจะร่วมมือกับไป๋หลี่หลิงเฟิงหรือคนที่อยู่เบื้องหลังเขา คนในกองคั่นเฟิงที่ใช้ประโยชน์ทุกวันนี้คือหมากที่เปิดเผย แต่เงื่อนไขแรกคือในมือนางต้องมีกำลังขุมหนึ่งในทางลับ เพื่อป้องกันมิให้พวกคนอย่างไป๋หลี่หลิงเฟิงฉีกหน้าไร้ไมตรี

ถึงอย่างไรการชิงอำนาจในหมู่ราชวงศ์ แม้แต่ญาติสนิทก็ยังฆ่าได้ สำมะหาอะไรกับนางที่เป็นแค่ราษฎรคนสามัญ

แต่บัดนี้ไป๋หลี่หลิงเฟิงล่วงรู้ฐานะที่แท้จริงของนางแล้ว ฐานะเจ้าสำนักหอซ่อนกระบี่จึงเป็นสิ่งที่นางเป็นห่วง แม้จะไม่ปรารถนายอมรับ…แต่เพราะเหตุนี้บ้านตระกูลชิวจึงเป็นส่วนที่นางต้องคำนึงถึงในแผนการ เพราะถึงอย่างไรมารดาก็อยู่ที่บ้าน

อนึ่ง ตัวของไป๋หลี่หลิงเฟิงเองก็เหมือนกับ ‘ฝ่าบาทองค์หญิง’ จิตวิปริตองค์นั้น มีนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์ของราชนิกุลไป๋หลี่ที่ได้คืบจะเอาศอก เปี่ยมด้วยการคุกคามและจู่โจม จึงทำให้เขาส่งเทียบ ‘เชิญ’ ฉบับนั้นให้นางโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือหนังสือแสดงความคุกคาม

หนังสือบีบบังคับนี้ ทำให้การคาดเดาซึ่งเดิมทีคิดอยู่แล้วว่าผู้อยู่เบื้องหลังมั่วเสียนมีฐานะเป็นราชโอรสผู้ทรงอำนาจคนใดคนหนึ่งได้รับการยืนยัน จึงทำให้นางกำหนดเป้าหมายอย่างรวดเร็ว

ดังนั้นขณะนางอยู่บนเรือที่แล่นออกจากไหวหนานกลับราชธานี จึงให้คนไปสืบเสาะภูมิหลังของไป๋หลี่หลิงเฟิง ขณะเดียวกันก็ไตร่ตรองจนสุดท้ายกำหนดแผนการเสี่ยงอันตรายเป็นที่สุดนี้

เทียบกับการถูกไป๋หลี่หลิงเฟิงที่จะใช้สอยนางเป็นปืน หลังใช้สอยแล้วพอวิหคหายสิ้นก็เก็บเกาทัณฑ์ นางจึงเข้าที่ศูนย์กลางลมพายุอย่างโอ่อ่าเสียเลย เพื่อเปิดให้ทุกคนได้เห็นปืนไฟกระบอกใหญ่ที่สดใสตระการตา ใครเห็นใครก็ชอบและอยากได้ นางจึงจะกลายเป็นของล้ำค่าที่ต่อรองกับใครก็ได้

“แต่คุณชายสี่ ท่านจำเป็นนักหรือที่ต้องกระตุ้นโทสะของไป๋หลี่หลิงเฟิง” เป๋าเป่าไม่เข้าใจอยู่บ้าง เขารับผิดชอบ ‘การรายงานลับว่าผู้ต้องหาอาญาแผ่นดินจะพบกับฝ่าบาทแปดลับๆ’ ต่อซือหลี่เจียน ซึ่งตอนแรกยังวิตกอยู่ว่าคนของซือหลี่เจียนจะมาไม่ทันเอา และฝ่าบาทแปดพอบันดาลโทสะขึ้นมาอาจทำร้ายคุณชายสี่จริงก็ได้ แม้เขาจะเชื่อมั่นในวิทยายุทธ์ของชิวเยี่ยไป๋ แต่ถึงอย่างไรตำหนักผิงอวิ๋นก็เป็นถิ่นขององค์ชายแปด