“เราสองคนมาหาไม่ผิดคนจริงๆ พี่หาน เจ้าฟังให้ดีล่ะ!” เหยียนลี่ได้ยินหานลี่ตอบกลับเช่นนี้ก็เผยสีหน้ายินดีออกมา ริมฝีปากขยับเล็กน้อยพลางถ่ายทอดเสียงมา

 

 

หานลี่รวบรวมสมาธิตั้งใจฟัง ใบหน้าเผยสีหน้าขบคิดออกมา

 

 

ส่วนหยวนเหยานั้นแค่ยืนนิ่งอยู่ด้านข้าง เมื่อสายตากวาดมาบนใบหน้าของหานลี่ ดวงตาพลันเผยแววสดใสไม่แน่นอน

 

 

“วิธีนี้ก็ใช้ได้จริงๆ ทว่าเกรงว่าจะมีเพียงแค่สหายสองคนร่วมมือกันถึงจะทำเรื่องนี้ได้ในแม่น้ำอเวจี” หลังจากที่หานลี่ฟังคำถ่ายทอดเสียงจบ พลันถอนหายใจยาวออกมาเฮือกหนึ่ง

 

 

“พี่หานพูดถูก ไอทมิฬของแม่น้ำอเวจี มีเพียงต้องใช้ไอทมิฬบริสุทธิ์ในร่างของข้าและศิษย์น้องหญิงถึงจะรู้สึกร่วมกันได้ แน่นอนว่าแม่เฒ่าภูตเองก็ทำได้ แต่นางไม่มีทางลบผนึกที่ตนเองลงไว้แน่” เหยียนลี่ฉีกยิ้มเบิกบาน

 

 

“ได้ แต่ไม่ทราบว่าสหายทั้งสองอยากให้ข้าช่วยพวกเจ้าอย่างไร” หานลี่พยักหน้าขณะเอ่ยถาม

 

 

“ให้แม่เฒ่าภูตยกเลิกความคิดที่มีต่อพวกเรา เดาว่าคงไม่ได้ แต่หากยืดเวลาที่จะลงมือกับพวกเราออกไป กลับอาจจะเป็นไปได้ ขอแค่ยืดไปจนถึงวันที่เข้าไปในแม่น้ำอเวจี พวกเราสามคนก็จะมีโอกาสหนีจากควบคุมของพวกเขา” หยวนเหยาเอ่ยอย่างแช่มช้า

 

 

หานลี่พลันเลิกคิ้วไม่ได้เอ่ยตอบอะไร รู้ว่าจากนี้สตรีทั้งสองจะเอ่ยอย่างละเอียด

 

 

เหยียนลี่พลันเอ่ยตอบทันทีดังคาด

 

 

“ตอนนี้แม่เฒ่าภูตและพวกอยากให้สหายช่วย ขอแค่พวกเราสองคนเผยไปว่าพี่หานและพวกเราสองคนเป็นสหายเก่าแก่กัน และยิ่งไปกว่านั้นยังมีสัมพันธ์ลึกซึ้ง ส่วนพี่หานเองก็ไปชื่นชมน้องหญิงหยวนต่อหน้าแม่เฒ่าภูต เช่นนี้ต่อให้นางสงสัยอะไร ก็จะไม่ลงมือทำร้ายพวกเราชั่วคราวแน่”

 

 

“ชื่นชมแม่หญิงหยวน!” หานลี่พลันตกตะลึง กลอกตาไปตกอยู่บนใบหน้าบอบบางของหยวนเหยา

 

 

แม้ว่าหยวนเหยาจะฝึกบำเพ็ญเพียรมาหลายปี เมื่อได้ยินคำพูดของเหยียนลี่ ใบหน้าก็เผยสีแดงระเรื่อออกมา ทำให้นางยิ่งดูงดงามมากยิ่งขึ้น ช่างน่าเย้ายวนใจนัก

 

 

“หากแค่พูด ผู้แซ่หานย่อมทำได้ ทว่าที่แม่เฒ่าภูตและมู่ชิงทำข้อตกลงอะไรกันไว้นั้นเป็นความจริงหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่พูดยาก” หานลี่เอ่ยเตือน

 

 

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย?” เหยียนลี่หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็หัวเราะอย่างขมขื่นออกมา

 

 

“หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ล่ะก็ ก็เสี่ยงไปหน่อย ทว่านอกจากวิธีนี้แล้ว เราสองคนก็ไม่มีวิธีที่ดีกว่าแล้ว ทำได้เพียงรอดูฟ้าลิขิตแล้วว่าแม่เฒ่าภูตและพวกให้ความสำคัญกับพี่หานหรือไม่” หยวนเหยาหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ขณะหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา

 

 

“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน สหายหานแค่ยืนยันคำพูดของพวกเรา โดยลองพูดเรื่องสำคัญหน่อยก็ได้ ทำให้แม่เฒ่าภูตคิดว่าพี่หานหลงรักศิษย์น้องหญิงหยวนเป็นอย่างมาก เช่นนั้นแม่เฒ่าภูตก็น่าจะคำนึงถึงสามส่วน กว่าครึ่งคงไม่กล้าลงมือทำร้าย นอกจากนี้ประวัติของข้าและหยวนเหยา แม่เฒ่าภูตก็พอรออยู่บ้าง ที่สหายปลอมตัวเป็นคนของเผ่าวิญญาณเหาะเหิน เกรงว่าคงไม่อาจปกปิดได้” เหยียนลี่ขบคิดแล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

 

 

“ปลอมเป็นคนของวิญญาณเหาะเหินเดิมทีก็เป็นแค่เรื่องที่กุขึ้นมาเท่านั้น ไม่ว่าแม่เฒ่าภูตจะรู้หรือไม่ ก็ไม่มีผลอะไรกับข้ามากนัก พวกเขาไม่ได้สนใจฐานะคนเผ่าวิญญาณเหาะเหินของผู้แซ่หาน แต่สนใจที่ควบคุมอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายได้เท่านั้น” หานลี่สั่นศีรษะอย่างไม่ใส่ใจ

 

 

“พี่หานกล่าวเช่นนี้ เราสองคนก็วางใจ รอช้าไม่ได้แล้ว หากแม่เฒ่าภูตออกมาพวกเราก็จะดำเนินการตามแผน แล้วสหายก็เข้ามาร่วมมือด้วยทันทีก็พอแล้ว ขอแค่ไม่กระทบต่อแผนการหลักของพวกเรา แม้กระทั่งรายละเอียดในแดนมนุษย์ สหายก็บอกแม่เฒ่าภูตไปก็ได้ ถึงอย่างไรเสียก็มีทั้งเรื่องจริงและเรื่องหลอกลวงอยู่ถึงจะทำให้นางเชื่อถือได้มากยิ่งขึ้น” เหยียนลี่เอ่ยชี้แนะ

 

 

“ได้ ตกลง ผู้แซ่หานจะร่วมมือกับสหายทั้งสองอย่างเต็มที่” หานลี่ก้มหน้าลงขบคิดรอบหนึ่ง รู้สึกว่าไม่มีปัญหาอะไรมากนัก จึงเอ่ยอย่างแน่วแน่

 

 

หยวนเหยา เหยียนลี่ได้ยิน พลันรู้สึกผ่อนคลายลงไปเปาะหนึ่ง สายตาที่มองมายังหานลี่อดที่จะมีความรู้สึกสนิทสนมขึ้นสองส่วนไม่ได้

 

 

ทันใดนั้นทั้งสามคนก็กล่าวถึงรายละเอียดกันอีกเล็กน้อย ในที่สุดสตรีทั้งสองก็ขอตัวกล่าวลา

 

 

แม้ว่าแม่เฒ่าภูตจะกำลังกักตนอยู่ สตรีทั้งสองก็ไม่กล้าประมาทเลยสักนิด จำต้องรีบกลับไปยังชั้นลึกของเหวพสุธา

 

 

หานลี่มองไปยังพายุทมิฬของสตรีทั้งสอง ชั่วพรบิตาก็หายวับไปจากขอบฟ้า แล้วสะบัดแขนเสื้อทันที

 

 

หลังจากนั้นลำแสงพลันสว่างวาบขึ้นบนเรือนร่าง กลายเป็นนกยูงยักษ์ขนาดสองสามจั้งตัวหนึ่ง ขนนกสวยสดงดงาม

 

 

ปีกทั้งสองกระพือออก หมอกลำแสงนับหมื่นสายทำให้แม้กระทั่งบรรยากาศรอบๆ เริ่มมีเสียงคำรามต่ำๆ ขึ้น

 

 

ลำแสงห้าสีม้วนวน ร่างของนกยูงเลือนราง กลายเป็นม่านลำแสงหมุนวนบินไปไกล ตรงไปยังใจกลางของเทือกเขา

 

 

หลังจากนั้นไม่นานร่างของหานลี่ก็มาปรากฎตัวในถ้ำพำนัก และเข้าไปในห้องลับ ปิดประตูห้องลับลงอีกครั้ง…

 

 

สองเดือนต่อมา พายุทมิฬสีดำกลุ่มหนึ่งพุ่งจากขอบฟ้าเข้าไปหาถ้ำพำนักของหานลี่ จากนั้นก็ร่อนลงมาด้านล่างอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด แล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับว่าจมหายเข้าไปในสันเขาอย่างไรอย่างนั้น

 

 

เขตอาคมที่หานลี่วางเอาไว้ คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีผลต่อเขาเลยสักนิด

 

 

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยามเต็มๆ ประตูถ้ำพำนักของหานลี่ก็เปิดออก พายุทมิฬสีดำบินโฉบออกมาอีกครั้ง ตรงไปยังท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไป แล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

 

 

ในเวลาเดียวกันประตูถ้ำพำนักก็ค่อยๆ ปิดลงอย่างเชื่องช้า

 

 

เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป หลังจากที่เทือกเขาถูกหิมะสีขาวปกคลุมไว้เป็นชั้นๆ เวลาสองปีก็ผ่านไปในชั่วพริบตา

 

 

……

 

 

เหวพสุธาทั้งหมดแบ่งออกเป็นเจ็ดชั้น ชั้นที่เจ็ดคือชั้นที่มีไอทมิฬรวมตัวกันอย่างหนาแน่นที่สุด

 

 

ในนั้นมีปีศาจที่แข็งแกร่งซึ่งยังไม่เบิกเนตรของเหวพสุธาอาศัยอยู่ แม้กระทั่งราชันย์ปีศาจทั้งสี่ต่างก็หวาดกลัวอยู่หลายส่วน

 

 

ดังนั้นแม้ว่าสตรีผู้งดงามเรือนผมสีขาวจะชื่นชอบไอทมิฬมากที่สุด แต่ก็ไม่อยากนำวังพสุธาแห่งการฝึกฝนมาไว้ที่ชั้นนี้ จึงสร้างเอาไว้ที่ชั้นหกเท่านั้น

 

 

แต่วันนี้ที่ชั้นเจ็ดกลางทะเลทรายสีเทาที่เย็นยะเยือกกลับมีเงาร่างปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฎขึ้น จำนวนมากกว่าสองสามหมื่นตน

 

 

กว่าครึ่งล้วนเป็นปีศาจรระดับต่ำธรรมดาๆ นอกจากนี้ยังมีที่แปลกประหลาดอยู่บ้างเล็กน้อย

 

 

ส่วนหนึ่งถูกพายุทมิฬสีดำปกคลุมเอาไว้ เงาร่างภูตจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฎขึ้นลางๆ และมีเสียงกรีดร้องโหยหวยดังออกมาท่ามกลางพายุ ทำให้ปีศาจอื่นๆ ต่างหลีกหนีหาย ไม่กล้าเข้าใกล้เลยสักนิด

 

 

ด้านบนพายุทมิฬสตรีผมขาวลอยตัวอยู่ตรงนั้น ด้านหลังมีเงาร่างสีดำอยู่อีกแปดสาย

 

 

ทุกตนมีความสูงสองสามจั้ง ล้วนสูงเกราะสงครามดุดันเอาไว้ บ้างก็ถืออาวุธมีด บ้างกลับมือเปล่า มองไปที่ใบหน้ากลับลางเลือน ไม่อาจมองให้ชัดเจนได้เลยัสกนิด

 

 

ไกลจากเงาสีดำทั้งแปดออกไป สตรีผู้งดงามสองคนก็ลอยตัวอยู่กลางอากาศเช่นกัน

 

 

นั่นก็คือหยวนเหยาและเหยียนลี่

 

 

ห่างจากพายุสีดำไปไม่ไกลนัก คือหุ่นเชิดรูปร่างต่างๆ ที่มีความสูงต่ำไม่เท่ากัน กำลังยืนนิ่งอยู่

 

 

ส่วนใหญ่ล้วนเป็นหุ่นเชิดโคลนถล่ม สูงสองสามจั้ง ร่างกายเปล่งแสงสีเทาขาวบ้างก็สีน้ำตาลออกมา แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นการหลอมหยาบๆ ส่วนน้อยเป็นหุ่นเชิดไม้สีดำเขียวและหุ่นเชิดธาตุทองที่เปล่งแสงสีดำมะเมื่อมออกมาจากร่า

 

 

หุ่นเชิดเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบที่ใช้หรืออักขระอาคมที่อยู่บนผิวหนังนั้น ล้วนวิจิตรงดงามอย่างเห็นได้ชัด

 

 

ทว่าท่ามกลางหุ่นเชิดเหล่านี้ ตัวที่สะดุดตาที่สุดล้วนเป็นตัวที่อยู่ตรงกลางของหุ่นเชิดทั้งหมด สูงสามสิบจั้ง เป็นหุ่นเชิดสีม่วงแดงหกตา

 

 

นั่นก็คือหุ่นเชิดโลหิตม่วงขนาดใหญ่ราวกับภูเขาที่ตัวประหลาดพสุธาโลหิตหลอมขึ้นใต้วังเปลวโลหิต

 

 

ทว่าครานี้ร่างกายของหุ่นเชิดตนนี้หดเล็กลงหลายสิบเท่า แม้ว่าจะยังคงสูงใหญ่มาก แต่กลับไม่น่าตกใจเท่ากับตอนแรก

 

 

ตรงบ่าทั้งสองของหุ่นเชิดโลหิตม่วงมีคนสวมชุดสีโลหิตสองคนยืนอยู่ ต่างเอามือทั้งสองข้างไพล่หลัง

 

 

ตรงหน้าสุดของหุ่นเชิดและเหล่าปีศาจ มีคนอีกสองสามคนยืนอยู่สูงมาก

 

 

คนหนึ่งสวมผ้าคลุมสีดำปกปิดร่างกายเอาไว้อย่างมิดชิด กลับเป็นผู้ที่ลึกลับที่สุดในบรรดาสี่ราชันย์ปีศาจ ลิ่วจู๋ สิ่งที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงก็คือ เหนือศีรษะของลิ่วจู๋ มีลูกตายักษ์ขนาดสองสามจั้งลอยอยู่ดวงหนึ่ง เปล่งแสงสีเทาประหลาดๆ ออกมา

 

 

ห่างจากลิ่วจู๋ไปไม่ไกลนัก กลับมีดอกไม้ยักษ์สีทองดอกหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ

 

 

มู่ชิงยืนอยู่บนดอกไม้ เงยหน้ามองท้องฟ้า

 

 

วานรสีทองตนหนึ่งยืนอยู่ด้านข้าง แผ่นหลังสะพายดาบคู่ ดวงตาฉายแววเย็นชา

 

 

ด้านล่างทั้งสองมีปีศาจระดับสูงที่แปลงกายเป็นครึ่งปีศาจร้อยกว่าตนยืนอยู่ ทุกตนล้วนมีสีหน้าดุดัน

 

 

ด้านข้างวานรสีเหลืองชายหนุ่มสวมชุดสีเขียวคนหนึ่งเอามือกอดอกอยู่เงียบๆ ไม่ปริปาก ใบหน้าไร้ความรู้สึก

 

 

นั่นก็คือผู้ที่ฝึกฝนอยู่ลำพังมาสองสามปี และถูกราชันย์ปีศาจทั้งหมดบังคับเรียกตัวมาอย่างหานลี่

 

 

เขาในครานี้สายตากวาดไปบนเรือนร่างของปีศาจหุ่นเชิดด้านล่างเป็นบางครั้ง ใบหน้าไร้ซึ่งความประลหาดใจ แต่ในใจกลับรู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อย

 

 

ปีศาจระดับต่ำจำนวนมากขนาดนี้ เกรงว่าที่นี่คงมีกำลังกว่าครึ่งที่สี่ราชันย์ปีศาจควบคุมอยู่ในเหวพสุธาแล้ว

 

 

ต่อให้ไม่เอ่ยถึงปีศาจเหล่านั้น ทหารภูตรรวมทั้งหุ่นจำนวนนับไม่ถ้วนในพายุสีดำเหล่านั้น ก็เป็นกำลังอำนาจสองกลุ่มที่แข็งแกร่งมากแล้ว

 

 

ของเหล่านี้น่าจะเป็นสิ่งที่ราชันย์ปีศาจเหล่านี้ร่วมมือกันมาหลายร้อยปี ถึงได้รวบรวมขึ้นมาได้ในจำนวนที่น่าตกตะลึงเช่นนี้

 

 

พวกเขาทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างไม่เสียดายขนาดนี้ ดูแล้วแม่น้ำอเวจีคงสำคัญมาก แต่ไม่รู้ว่าในแม่น้ำอเวจีมีสิ่งใดกันแน่ ถึงทำให้พวกเราเทหมดหน้าตักขนาดนี้

 

 

หัวใจของหานลี่เต้นระรัวไม่แน่นอน ร่างของลิ่วจู๋ที่อยู่เบื้องหน้าพลันขยับ ปากพลันออกคำสั่งอย่างเย็นชา

 

 

“เซียนมู่ ถึงเวลาอันสมควรแล้ว รีบถวายโลหิต เข้าสู่การบวงสรวงสุดท้าย”

 

 

มู่ชิงได้ยินคำนี้พลันพยักหน้า มือหนึ่งกวักไปด้านล่าง

 

 

ชั่วขณะนั้นปีศาจระดับสูงด้านล่างพลันบินออกมาสิบกว่าตน ทุกตนล้วนมือเปล่า แต่ตรงเอวต่างเหน็บถุงหนังสีแดงโลหิตเอาไว้

 

 

คนเหล่านี้ล้วนไม่พูดอะไร ชั่วพริบตาก็บินไปยังกลางอากาศสูง จากนั้นก็ตะปบไปที่ถุงหนังที่เอวพร้อมกัน สะบัดปากถุงไปทางเดียวกัน

 

 

เสียง “สวบๆ” ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบ ของเหลวสีแดงสดสิบกว่ากลุ่มกลายเป็นแม่น้ำโลหิตสิบกว่าสายพุ่งออกมาจากถุงหนัง

 

 

ชั่วขณะนั้นกลิ่นคาวเลือดพลันคละคลุ้งแผ่ไปรอบๆ ด้าน จนปรากฎเต็มทั่วท้องฟ้า

 

 

แม่น้ำโลหิตเหล่านี้รวมตัวกันอยู่กลางอากาศ คาดไม่ถึงว่าจะรวมตัวกันราวกับมีชีวิต กลายเป็นลูกบอลโลหิตเส้นผ่าศูนย์กลางสามสิบสี่สิบจั้ง

 

 

ครานี้มู่ชิงพลันตบเท้าไปบนดอดกไม้สีทอง เขตอาคมลำแสงสีดำเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นบนดอกไม้ ชั่วขณะนั้นร่างกายพลันเปล่งแสงสว่างวาบหายวับไป

 

 

ครู่ต่อมา ลูกบอลโลหิตยักษ์เบื้องหน้าพลันเปล่งแสงสีดำสว่างวาบ ร่างของมู่ชิงปรากฎขึ้นอีกครั้ง

 

 

นางมีสีหน้าเคร่งขรึม มือหนึ่งยกขึ้น ชั่วขณะนั้นขวดสีดำพลันปรากฎขึ้นในมือ ทันใดนั้นพลันพลิ้วไหวและพวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ ไปถึงลูกบอลโลหิตด้านบน

 

 

มู่ชิงพลันร่ายอาคม ขวดสีดำพลันหมุนติ้วๆ ชั่วขณะนั้นฝาขวดพลันบินออกไป

 

 

ตรงปากขวดมีของสีดำแดงขนาดเท่ากำปั้นสองสามกำปั้นเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วจมหายเข้าไปในลูกบอลโลหิตอย่างไร้ร่องรอย