ตอนที่ 843 เหลือบมองฟ้า

Elixir Supplier

“ไม่ใช่เสี่ยวรุ่ยบอกว่ามันได้ผลเหรอ?” ชายที่อ่อนกว่าถาม

“มันได้ผม แต่มันก็อาจจะแค่ชั่วคราวเท่านั้นหรืออาจจะเป็นแค่สิ่งลวงตาก็ได้”ชายที่แก่กว่าพูด“ลองคิดดูสิยาแบบไหนกันที่มีราคาถึงหนึ่งแสนหยวนน่ะ?”

“การรักษามะเร็งด้วยยาgleevecก็แพงแบบนี้เหมือนกัน” ชายที่อ่อนกว่าพูด

(Gleevec หรือ ยาimatinip เป็นยาที่ใช้รักษามะเร็งชนิดหนึ่ง)

“อย่ามาเถียงฉัน นั่นเป็นยานําเข้า มันไม่สามารถผลิตในประเทศของเราได้ ของที่หาได้ยากก็ต้องราคาแพงอยู่แล้ว”ชายที่แก่กว่าเริ่มโมโหมากขึ้น“กลับไปกับฉันแล้วขอเงินคืนมาเราจะถูกเขาหลอกง่ายๆแบบนี้ไม่ได้”

ฝ่ายหญิงยืนมองพวกเขาทะเลาะกันด้วยสีหน้าขมขื่นเธอรู้สึกว่ายานั้นได้ผลเวลาเพิ่งผ่านไปไม่ถึงชั่วโมงแต่เธอกลับรู้สึกดีขึ้นแล้ว มันแสดงให้เห็นว่าประสิทธิภาพของตัวยานั้นวิเศษมากแค่ไหน เรื่องอื่นอาจหลอกเธอได้แต่ร่างกายของตัวเองคงไม่หลอกเธอ

“ไม่ใช่ว่าคลินิกก็อยู่ที่นี่เหรอ? ลองกลับเอายาไปกินดูก่อนดีกว่า ถ้ามันไม่ได้ผลจริงๆเราค่อยกลับมาก็ได้ ตัวเขาหนีไปได้แจ่คลินิกของเขาจะย้ายไปไหนได้”

“นายคิดจะรอให้ยาไม่ได้ผลก่อนค่อยกลับมางั้นเหรอ?แล้วใครจะชดใช้ให้เรา?แม้แต่ใบเสร็จค่าซื้อยาเขาก็ยังไม่มีให้ถึงเราจะบอกคนอื่นก็คงไม่มีใครเชื่อยิ่งไปกว่านั้นพวกเราไม่ใช่คนพื้นที่ มันง่ายนักเหรอที่จะจัดการคนอื่นในที่ของเขาน่ะ?นายเป็นเจ้าของกิจการที่ฉลาดแต่ทําไมพอมาที่นี่แล้วนายถึงได้โง่แบบนี้?”

“พอได้แล้ว! ฉันยินดีจ่ายเงิน ถึงมันจะไม่ได้ผลก็ตาม!” ชายที่อ่อนกว่าอดตะคอกกลับไม่ได้

“ทําไมเราไม่เอายากลับไปคืนเขาล่ะ?” ฝ่ายหญิงเสนอเสียงเบา

“ดสิ ขนาดเสี่ยวรุ่ยก็ยังคิดเหมือนกัน” ชายแก่กว่าพูด

เธอรู้สึกได้ว่าตัวยาใช้ได้ผลกับร่างกายและมันก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆน่าเสียดายที่ราคายาแพงเกินไปเธอไม่คิดว่ามันจะคุ้มค่าขนาดนั้นถ้าหากประสิทธิภาพของมันมีแค่ชั่วคราวและรักษาอาการป่วยของเธอไม่ได้ขึ้นมาล่ะ? เงินหนึ่งแสนหยวนที่เสียไปจะไม่เสียเปล่าหรอกเหรอ? และนั่นก็ทําให้เธอเสนอออกไปแบบนั้นอีกอย่างถึงเธอจะทุกข์ทนด้วยโรคนี้แต่เธอก็รู้สึกว่ามันไม่ได้อันตรายถึงชีวิต

“เสียวรุ่ย บอกความจริงกับฉันมา ยามันได้ผลรึเปล่า?” ชายอ่อนกว่าถาม

“พอได้มากินยาที่นี่ ฉันก็รู้สึกดีขึ้น” เธอตอบ

“ถ้ามันได้ผล นั่นก็คือทั้งหมดที่เราต้องการ กลับกันเถอะไม่สิหาที่พักอยู่ที่นี่กันสักสามวันแล้วหลังจากกินยาหมดก็ค่อยกลับมาที่นี่ใหม่”

“เราไม่เอายาไปคืนเหรอ?” เธอถาม

“ไม่ ไปกันเถอะ” ชายอ่อนกว่าพูด

“ดี ถ้านายไม่ฟังฉัน ไม่ช้าก็เร็วนายจะต้องเสียใจ” ชายที่แก่กว่าพูด

ชายคนหนึ่งเดินผ่านหน้าพวกเขาไป เขาคาบบุหรี่เอาไว้ในปากและหัวเราะออกมา“เขาไม่มีทางเสียใจหรอก”

ชายที่แก่กว่าหันหน้าไปมองเขาและถามอย่างไม่พอใจว่า“คุณเป็นใคร?”เขากำลังพยายามอดกลั้นความโกรธอยู่ทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่สนิทชิดเชื้อกันกับเขา เขาจึงระบายความโกรธใส่พวกเขาไม่ได้แต่ชายที่อยู่ๆก็โผล่มาคนนี้เป็นใครกัน?

เขาเป็นตัวอะไร?

“ฮาฮา สายตาแบบนั้นมันหมายความว่ายังไง?” ชายที่แก่กว่าขมวดคิ้วเล็กน้อยเขารู้สึกว่าสายตาที่อีกฝ่ายมองมาคล้ายกับกําลังคนที่มองคนโง่อยู่

“ไม่มีอะไรนี่ คุณคิดว่าความหมายมันคือแบบไหนก็เป็นแบบนั้นแหละ” เจียจื้อจายที่ยังคงคาบบุหรี่เอาไว้ในปากเดินตรงไปทางเนินเขาตงชานปล่อยให้ทั้งสามอยู่กับความสับสนมันงง

“เขาเป็นบ้าเปล่า?”

“เฮ้อ คนสมัยนี้โงกันจริงๆ” เจี้ยจื้อจายพิมพ์ในขณะที่เดินจากไป

“พวกเขาใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อสร้อยทอง, ขายไตเพื่อซื้อโทรศัพท์มือถือ, และยืมเงินคนอื่นเพื่อซื้อข้าวของหรูหรา แต่พวกเขากลับไม่ยินดีจ่ายเงินเพื่อรักษาสุขภาพร่างกายของตนเองๆ พวกเขาไม่สนใจร่างกายตัวเองเลยสักนิด!”

ทั้งสามขับรถออกจากหมู่บ้าน แต่พวกเขาไม่ได้ไปไหนไกล พวกเขาเข้าไปในตัวเมืองเหลียนชานเพื่อหาโรงแรมพัก

“เราจะอยู่ที่นี่กันจริงๆเหรอ?”

“จริงสิ เราจะอยู่ที่นี่ อย่างน้อยก็จนกว่ายาขวดนี้จะหมด” ชายที่อ่อนกว่าพูด “เราจะรอดูผลของยา แล้วค่อยกลับ”

“ได้ ถ้ามันไม่ได้ผล เราจะกลับไปเอาเรื่องเขา!”

ในหมู่บ้านกลางเขา เจียจื้อจายเดินไปตามเส้นทางที่รายล้อมด้วยภูเขาในมือของเขาคืบบุหรี่เอาไว้มวนหนึ่งพื้นที่สําหรับเพาะปลูกส่วนใหญ่ถูกทิ้งให้รกร้างชาวบ้านเกินครึ่งได้ย้ายเข้าไปอยู่ในตัวเมืองและบ้านของพวกเขาในหมู่บ้านนี้ก็ถูกโอนสิทธิ์ให้คนอื่นไปแล้วและที่ดินเพาะปลูกก็ถูกโอนสิทธิ์ไปด้วยเช่นกันตอนนี้ที่ดินส่วนใหญ่ในหมู่บ้านตกเป็นของหวังเย้าแต่เขาไม่สามารถดูแลทั้งหมดได้ด้วยตัวเองเขายังได้ปลูกต้นไม้ตามจุดต่างๆเท่าที่จะเป็นไปได้

ถึงมันจะเป็นฤดูใบไม้ร่วงต้นไม้ส่วนใหญ่กลับมีใบสีเขียวโดยเฉพาะต้นที่อยู่ใกล้กับเนินเขาหนานชานยิ่งใกล้เท่าไหร่ก็ยิ่งเขียวเท่านั้นมันดูไม่ต่างไปจากฤดูร้อนเลยสักนิด

“จๆๆ เฮ้อ สภาพแวดล้อมที่นี่ดีจริงๆ!”

“ที่นี่ที่ไหน?” เขาเดินขึ้นไปบนเนินเขาตงชานตามทางเดินและเลี้ยวไปทางทิศใต้หลังจากเดินมาได้สักพักเขาก็เห็นชายคนหนึ่งกําลังนั่งอยู่ตรงเขตเชื่อมต่อระหว่างเนินเขาตงชานและเนินเขาหนานชานเขาดูเหมือนกําลังนั่งสมาธิอยู่

“ฮ เจอเขาแล้ว”

เจี้ยจื้อจายค่อยๆเดินเข้าไปหาเขา

“ศิษย์พี่กาลังฝึกการบ่มเพาะอยู่เหรอ?”

ฮั… จงหลิวชวนหายใจออกอย่างช้าๆ เขาลืมตาขึ้นและมองไปที่ใบหน้ายิ้มแย้มของเจี่ยจื้อจาย

“อย่าสูบบุหรี่บนเขา”

“อ้อ ได้ได้” เจี้ยจื้อจายรีบดับบุหรี่และเก็บมันเอาไว้ในกระเป๋า

“ที่นี่ดีมากเลยไม่แปลกใจที่ศิษย์พี่มาที่นี่ทุกวัน”

“ฉันไม่ใช่ศิษย์พี่ของนาย อย่ามาทําตัวตีสนิทกับฉัน” จงหลิวชวนพูดในขณะที่เขาลุกขึ้นยืน

“นายมาหาฉันทําไม?”

“ไม่มีอะไร ฉันแค่ออกมาเดินเล่นดูที่นี่ก็เท่านั้น”

“อ่อ นายอย่าขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานล่ะ” จงหลิวชวนพูด

“ได้”

ในหมู่บ้านกลางเขาเล็กๆแห่งนี้มีกฎอยู่มากมาย เขาไม่สามารถขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานเพราะที่นั่นเป็นที่ที่หวังเย้าใช้ปลูกสมุนไพรและฝึกฝนทางทิศเหนือของเนินเขาซีชานถูกปิดเอาไว้เพราะมีสถานที่แห่งความตายอยู่ที่นั่นมีเพียงเนินเขาตงชานเท่านั้นที่สามารถขึ้นไปได้อย่างอิสระส่วนภูเขาทางทิศเหนือของหมู่บ้านเป็นหินมากกว่า 90% มันค่อนข้างพิเศษหากไม่มีอะไรทํา ก็สามารถไปเดินสํารวจตรงๆนั้นได้

“ช่วงสองสามวันมานี้ อารมณ์ของเชียนเชิงเป็นยังไงบ้าง?”

“ก็ดี” จงหลิวชวนตอบ

ทุกเช้าและเย็น หวังเย้าจะขึ้นเขามาฝึกกับจงหลิวชวน เจี้ยจื้อจายรู้เรื่องนั้นเขาจึงขึ้นมาบนเขาเพื่อถามเกี่ยวกับหวังเย้า

“ฉันอยากรู้ว่า เชียนเชิงยังโกรธเรื่องนั้นอยู่รึเปล่า?”

“คงไม่โกรธหรอก หมอพิษก็ถูกพาตัวมาที่นี่แล้ว เขายังไม่ตายใช่ไหม?”

“ยังไม่ตาย เขายังเหลือลมหายใจอยู่ แต่ถึงเขาอยากตายเขาก็ตายไม่ได้พอคิดดูแล้วมันคงทรมานน่าดู”เจี้ยจื้อจายถอนหายใจ

“เขาทําเรื่องทั่วเอาไว้มาก และสมควรที่จะได้รับโทษนั้นแล้ว” จงหลิวชวนพูด

“แล้วพวกเราล่ะ?”

“พวกเราเปลี่ยนเป็นคนใหม่และเริ่มต้นชีวิตใหม่แล้ว” จงหลิวชวนพูดอย่างสงบ

เฮ้อ เจียจื้อจายนั่งลงที่พื้นหญ้าและเหยียดแขน

“ฟ้าใสจริงๆ!”

เมื่อมองท้องฟ้าในฤดูใบไม้ร่วง มันดูสดใสและสดชื่น ทําให้อารมณ์ดีขึ้นได้ง่าย

“ฉันถามอะไรหน่อยได้ไหม?” เจี่ยซื้อจายถาม

“พูดมา”

“พูดเรื่องดีดีของฉันต่อหน้าเชียนเชิงให้หน่อยสิ” เจี่ยจื้อจายขอร้อง

จงหลิวชวนไม่ตอบ เขาทําเพียงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเงียบๆ

หลังจากนั้นสักพัก เขาก็พูดขึ้นมาว่า “ความจริง เชียนเชิงรู้เรื่องนี้ดี”

“บอกตามตรง ฉันอยากเรียนกับเชียนเชิงจริงๆ”

“รออีกหน่อย”

“อืม!”

ก้อนเมฆสีขาวแสนเกียจคร้านลอยละล่องอยู่บนท้องฟ้า

เขากําลังนอนอยู่ที่พื้น ต้องการขยับตัวเพื่อมองดูท้องฟ้า แต่เขากลับรู้สึกว่าร่างกายของเขาหนักอึ้งจนเขาไม่สามารถสั่งการอะไรได้

เขามีเวลาสามวัน วันนี้ควรเป็นวันสุดท้ายของเขา เขาจะได้เห็นพระอาทิตย์ของวันพรุ่งนี้หรือไม่ก็สุดรู้เขาอยากออกไปมองดูด้านนอกสัมผัสสายลมและเงยหน้ามองท้องฟ้าและดวงตะวันดูเหมือนอยู่ๆเรื่องธรรมดาเหล่านี้กลายเป็นสิ่งล้ําค่าขึ้นมาเสียอย่างนั้น

บนท้องฟ้า พระอาทิตย์เริ่มโรยตัวลง เมื่อมันหายลับไปด้านหลังภูเขาอากาศก็เริ่มเย็นลง

ในโรงแรมที่ตัวเมืองเหลียนชาน

“เสี่ยวรุ่ย เป็นยังไงบ้าง?”

“บอกตามตรง ฉันรู้สึกดีขึ้นมาก” เธอพูด ใบหน้าของเธอเริ่มมีสีสันขึ้นมาเล็กน้อยเธอดูต่างจากสภาพในตอนเช้าอย่างมาก
“แสดงว่ายาได้ผล

“มันได้ผล แต่มันแพงเกินไป”

“ขอแค่เรารักษาอาการป่วยของเธอได้ ฉันก็ยินดีจ่าย เทียบกับสุขภาพแล้วเรื่องเงินถือเป็นเรื่องรอง”
ค่ําคืนมาถึง

ลมพัดแรงจนฟังดูคล้ายเสียงโหยหวยตลอดทั้งคืน

เช้าวันต่อมา ใบไม้เปลี่ยนสีภายในค่าคืนเดียว อากาศเย็นลงยิ่งกว่าเดิม

จงหลิวชวนตื่นแต่เช้า เขาขึ้นเขาเพื่อฝึกฝนกับหวังเย้าเป็นประจําทุกวัน