ตอนที่ 314 อันที่จริงฉันอยากให้นายเป็นทหาร / ตอนที่ 315 กระตุ้นความเจ็บปวด

[นิยายวาย] เมื่อบุหรี่ตกหลุมรักไม้ขีดไฟ

ตอนที่ 314 อันที่จริงฉันอยากให้นายเป็นทหาร

หลังจากที่ถูกแบ่งมาตลาดเฮยหลงเจียง พวกเขาไม่กี่คนก็ถูกหนึ่งในคนกลุ่มเสื้อเชิ้ตสีขาวเดินนำไป

พวกเขายังต้องรอคอยการฝึกอบรมรอบต่อไป แต่ละตลาดมีจุดเน้นความสำคัญแตกต่างกันไป แน่นอนว่าต้องมีระบบการฝึกอบรมที่แตกต่างกันด้วย

ยิ่งไปกว่านั้นพนักงานรับโทรศัพท์และพนักงานหลังการขายต้องแตกต่างกันด้วย

สคริปต์บางออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือการขายและอีกส่วนหนึ่งคือการขายต่ออีกครั้ง

คนที่มาพร้อมกับครูฝึกอบรมคือผู้จัดการแผนกตรวจสอบคุณภาพของตลาดเฮยหลงเจียงและยังได้บอกให้พวกเขาฟังถึงข้อผิดพลาดมากมายที่ไม่สามารถให้เกิดขึ้นในตลาดเฮยหลงเจียง

‘ดูเหมือนว่าบริษัทนี้จะหาเงินได้ไม่ง่ายเลยจริงๆ’

อย่างไรก็ตามวันนี้พวกเขาก็ได้รับข่าวดีหนึ่งเรื่อง ซึ่งก็คือนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพวกเขาจะได้รับค่าตอบแทนในการฝึกอบรม ถึงแม้ว่าการฝึกอบรมของวันนี้จะเริ่มในช่วงบ่าย แต่ก็จะนับเป็นหนึ่งวันเต็ม

เหมือนว่าบริษัทนี้จะมีเงินมากจริงๆ เพราะตลอดระยะเวลาในการฝึกอบรมนั้นไม่ได้สร้างมูลค่าใดๆ ให้กับบริษัทเลย แต่ก็สามารถเริ่มสร้างรายได้ให้กับตัวเองได้แล้ว

หลังจากที่ผู้จัดการตรวจสอบคุณภาพออกไป ครูฝึกอบรมคนนั้นก็พาพวกเขาไปที่ห้องประชุมเล็ก จากนั้นก็เริ่มการฝึกอบรมที่เป็นระบบมากขึ้น

สิ่งที่อบรมคือสาเหตุของโรคทั่วไป นอกจากนั้นเป็นการโน้มน้าวลูกค้าอย่างไรให้เชื่อว่าผลิตภัณฑ์ของพวกเขานั้นมีประโยชน์ต่อร่างกาย

ชุยหังอยู่ทางฝั่งด้านเถี่ยผีเฟิงโต่ว[1]ของเฮยเจียงเย่ว์ ดังนั้นจึงเกี่ยวข้องกับเถี่ยผีสือหู[2]

ความจริงแล้วเรื่องเหล่านี้ชุยหังไม่เคยรู้มาก่อน แต่หลังจากที่ได้ฟังที่คุณครูเล่าแล้ว เขาก็เพิ่งรู้ว่าในสมัยก่อนมีแต่ราชวงศ์เท่านั้นที่ได้กิน และยังได้ขึ้นว่าเป็นราชาแห่งยาบำรุงอีกด้วย

คนทั่วไปไม่สามารถหากินได้ และในอดีตยังเคยมีค่ามากกว่าทองคำอีกด้วย

ชุยหังพลางคิดว่ายกโทษให้กับความโง่เขลาของเขาด้วย หลังจากนั้นเขาก็ตั้งใจฟังคุณครูอธิบาย

สิ่งที่คุณครูได้พูดในช่วงบ่ายนั้นถือว่าเป็นเรื่องไม่ยาก ซึ่งเน้นเกี่ยวกับส่วนต่างๆ ของตา หู ปาก จมูกและลิ้น รวมถึงสภาวะที่สะท้อนถึงสภาพร่างกายโดยมีการแบ่งประเภทไว้ ถ้ามีเวลาเพียงพอก็จะสามารถอธิบายเกี่ยวกับโรคกระดูกและข้อได้บ้างเล็กน้อย

ชุยหังรู้สึกว่าถ้าตัวเองออกไปจากที่นี่ เขาก็สามารถหลอกคนได้มากมาย

เพียงแค่ใช้ทฤษฎีและคำศัพท์เฉพาะเหล่านี้ก็ทำให้คนอื่นคิดว่าเขาเป็นมืออาชีพได้แล้ว

แต่เขาไม่ต้องการแสดงออกเพื่อเป็นการโอ้อวดเพราะไม่อยากให้ผู้อื่นมาหัวเราะเยาะ

ถ้าหากไม่ได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ให้ดีก็มีโอกาสผิดพลาดได้อย่างง่ายดาย

เนื่องจากโรคบางโรคมีอาการคล้ายกันมาก แต่ถ้าไม่ถามอาการอย่างละเอียดก็จะไม่สามารถรู้ความแตกต่างได้เลย

เมื่อเห็นว่าตัวเองจดบันทึกได้มากแล้ว ชุยหังเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดจึงต้องใช้เวลาเรียนมากกว่าสาขาอื่นถึงหนึ่งหรือสองปี เพราะเวลาสามปีครึ่งถึงสี่ปีไม่สามารถศึกษาเนื้อหาทั้งหมดให้ละเอียดได้

เมื่อชุยหังทำให้ตัวเองยุ่ง เขาจึงไม่มีเวลาคิดมากเกี่ยวกับเรื่องระหว่างเขากับหลูจื้อ

อย่างไรก็ตามทั้งสองคนต่างก็มีเรื่องของตัวเองที่ต้องทำ เพียงแค่นึกถึงกันและกันบ้างก็เพียงพอแล้ว สำหรับด้านการเงินนั้น ชุยหังไม่สามารถเทียบเท่ากับหลูจื้อได้ แต่อย่างน้อยตอนนี้ทำให้เขารู้สึกมั่นใจขึ้นบ้างเล็กน้อย

ขณะที่นั่งกลับบนรถรับส่ง ชุยหังได้รับโทรศัพท์จากซ่งไข่

“ได้ยินว่านายไปทำงานแล้วเหรอ” ซ่งไข่เอ่ยถาม

ชุยหังเอ่ยตอบ “อืม แต่ตอนนี้ยังฝึกอบรมอยู่ ไม่รู้ว่าสุดท้ายจะเป็นยังไงเลยครับ”

“ฝึกอบรมเหรอ ดูเป็นทางการดี อันที่จริงนายไม่ต้องไปทำงานก็ได้นะแล้วมาเป็นทหาร” ซ่งไข่เอ่ยบอก

‘เป็นทหาร?’ ความคิดนี้ไม่เคยมีภาพในสายตาของชุยหังเลย

“เดาว่าหลูจื้อคงไม่เห็นด้วยหรอก ตอนที่นายเพิ่งจะพักการเรียน ความสัมพันธ์ระหว่างนายกับหลูจื้อค่อนข้างซับซ้อน ฉันก็ไม่ได้จะพูดอะไรมากหรอก แต่ถ้ามีทางเลือกหลายทางก็เป็นเรื่องที่ดีนะ ถ้าตอนนี้นายคิดว่าไปทำงานดีแล้ว ก็ตั้งใจทำงานเถอะ ฉันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอก” ซ่งไข่เอ่ยบอก

“อืม พูดกันตามจริงผมไปทำงานดีกว่า ไม่งั้นถ้าไปกองทัพหลูจื้อน่าจะถลกหนังของผมออก”

[1] เฟิงโต่ว คือเถี่ยผีถูกนำมาม้วนเป็นลูกกลมๆ เล็กๆ หรือม้วนเป็นวง

[2] สือหู เป็นยาสมุนไพรจีนชนิดหนึ่ง เป็นก้านของพืชวงศ์กล้วยไม้ สกุลหวาย (Dendrobium) ตามเภสัชตำรับของจีนใช้ก้านของหวาย 5 สายพันธุ์เท่านั้นมาเข้ายาเป็นสือหูได้ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือสายพันธุ์เถี่ยผีสือหู สือหูในทางการแพทย์แผนจีนจัดอยู่ในหมวดยาบำรุงยิน ฤทธิ์เย็นค่อนข้างมาก ก็เลยทำให้กินสือหูแล้วช่วยลดความร้อนในร่างกายลงได้

ตอนที่ 315 กระตุ้นความเจ็บปวด

“ไม่น่าจะเป็นไปได้ วันนั้นพวกเราคุยกันเรื่องนี้ ดูเหมือนว่าหลูจื้อจะไม่อยากให้นายไปทำงานเช้าๆ แบบนั้น” ซ่งไข่เอ่ยบอก

ชุยหังไม่รู้ว่าสองคนนี้จะมีท่าทีอย่างไรตอนที่พวกเขาพูดถึงตัวเอง

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเขาต้องรักษาขีดจำกัดนี้ไว้ โดยเฉพาะหลูจื้อที่รู้ว่าซ่งไข่เคยเป็นเพื่อนทางอินเทอร์เน็ตกับตัวเองมาก่อน

แม้ว่าต่อหน้าหลูจื้อจะไม่เคยพูดอะไร แต่ชุยหังก็ยังกังวลว่าเขาจะคิดมาก

“ผมไม่อยากอยู่อย่างแห้งเหี่ยวแบบนี้มันไม่มีประโยชน์เลยสักนิด แล้วก็เป็นการเพิ่มภาระให้กับเขาด้วย ผมออกมาทำงานก็ถือว่าได้ออกกำลังกายไปด้วย”

“นายพูดถูก คิดแบบนี้ก็ดีแล้ว ตั้งใจทำงานนะ ช่วงสองวันนี้ที่กองทัพจะค่อนข้างยุ่ง หลูจื้ออาจจะไม่ได้กลับไป เหมือนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นคราวก่อนจะทำให้ครอบครัวของเขาไม่วางใจแล้วก็ยังโกรธอยู่” ซ่งไข่เอ่ยบอก

แน่นอนว่าชุยหังรู้เรื่องที่เขากำลังพูดถึงซึ่งเป็นเรื่องที่หลูจื้อทิ้งผู้หญิงคนนั้นเพื่อตัวเอง และยังบอกกับครอบครัวของเขาเรื่องที่เขาชอบผู้ชายด้วย

สำหรับครอบครัวของเขาคงไม่มีทางที่จะเข้าใจคำพูดแบบนี้ได้หรอก

‘แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงๆ เหรอ’

พวกเขาต้องหาวิธีเพื่อให้หลูจื้อเปลี่ยนใจอย่างแน่นอน

ช่วงนี้ยังไม่มีอาการอะไร พวกเขาแค่ยังจำไม่ได้เพราะกำลังตกใจกับคำพูดของหลูจื้อก็เท่านั้น

เมื่อการตอบสนองของพวกเขากลับมาแล้วคงต้องใช้มาตรการหลายอย่าง

ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยอ่านนิยายหรือดูภาพยนตร์ต้องห้ามเหล่านั้นมาก่อน

โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับการนองเลือด

“ถึงผมจะรู้เรื่องนี้ แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้หรอกครับ” ชุยหังเอ่ยตอบ

“นายก็ไม่ต้องทำอะไรหรอก เรื่องพวกนี้หลูจื้อน่าจะจัดการอยู่แล้ว ความจริงเรื่องพวกนี้ควรให้เขาเป็นคนจัดการ ปัญหาอะไรก็ทิ้งให้นายจัดการแบบนี้เรียกว่าเป็นลูกผู้ชายเหรอ ถ้าไม่รับผิดชอบเรื่องนี้ก็เป็นทหารอย่างเปล่าประโยชน์แล้ว” ซ่งไข่เอ่ยบอก

ชุยหังเอ่ยตอบ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเป็นทหารหรือไม่เป็นทหารสักหน่อย เป็นทหารแล้วไม่ต้องการพ่อแม่ก็ไม่ได้นี่”

“ฉันไม่ได้หมายถึงว่าให้เขาไม่ต้องสนใจพ่อแม่ แต่เรื่องของพวกนายสองคนนั้นพอจะเป็นฝ่ายรับผิดชอบเองมากขึ้นสักหน่อยได้ อย่างนี้ถึงจะเป็นการกระทำของสุภาพบุรุษ เรื่องอะไรก็ทำให้นายทุกข์ใจได้ทั้งนั้น นั่นไม่ใช่สิ่งที่ลูกผู้ชายควรทำ” ซ่งไข่อธิบาย

ชุยหังถอนหายใจพร้อมเอ่ยตอบ “ไม่มีอะไรหรอกครับ ตอนนี้ก็ไม่รู้อนาคตจะเป็นยังไง ถ้าวันหนึ่งเขากลับมาเป็นผู้ชายแท้ๆ อีกครั้งล่ะ”

“นายคิดให้ดีๆ หน่อย อย่าไปคิดเรื่องวุ่นวายทุกวันเลย ถ้าหลูจื้อรู้ขึ้นมา เขาต้องมาจัดการกับนายแน่ๆ” ซ่งไข่เอ่ยเตือน

ชุยหังหัวเราะพร้อมกับเอ่ยตอบ “ผมก็พูดไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้คิดเป็นอย่างอื่น”

“ฉันรู้ว่านายก็พูดไปเรื่อย แต่ว่านายพูดตามใจแบบนี้ มันก็ดูไม่ใส่ใจเกินไปนะ”

“อือ ครั้งหน้าผมจะระวังมากขึ้นครับ”

เพราะว่าชุยหังกำลังนั่งอยู่บนรถ ดังนั้นเขาจึงตั้งใจลดเสียงพูดให้เบาลงและไม่ได้พูดอะไรให้ชัดเจน

หลังจากที่ชุยหังคุยกับซ่งไข่จบ เขาก็เห็นว่าไม่ได้มีใครให้ความสนใจเขา

ทุกคนต่างก็ใช้ชีวิตของตัวเอง ต่างคนต่างเล่นมือถือของตัวเอง ดังนั้นจึงไม่มีใครสนใจว่าเกิดอะไรขึ้นในชีวิตของเขา

แม้ว่าทุกคนจะนั่งอยู่บนรถรับส่งคันเดียวกัน แต่พวกเขาก็ยังเป็นคนแปลกหน้าอยู่ดี

คำพูดของซ่งไข่ได้กระตุ้นความเจ็บปวดที่ชุยหังซ่อนไว้ในใจมาตลอด

เพราะทัศนคติของครอบครัวหลูจื้อและความกดที่พวกเขาต้องเผชิญในอนาคต

แม้ว่าพวกเขาสองคนจะอยู่ด้วยกัน แต่จะไม่คิดอะไรเลยก็เป็นไปไม่ได้

หลูจื้อกล้าที่จะเปิดเผยกับครอบครัวของเขาเพื่อตัวเอง แล้วตัวเขาเองสามารถทำอะไรเพื่อหลูจื้อได้บ้าง