ตอนที่ 16 ครั้งนี้จะยกเว้นให้
ณ โถงใหญ่บรรพชนตระกูลเหวิน
“พี่ใหญ่ ข้าทราบข่าวมาว่าเจ้าขยะซูอี้ถูกคนของตระกูลหวงลากไปที่ภัตตาคารรวมเซียน”
เหวินฉางชิงรีบเดินเข้าไปในโถง ใบหน้ายิ้มแย้ม “หากไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมายใดเกิดขึ้น เจ้าเด็กนั่นจะต้องถูกทุบตีจนตายเป็นแน่!”
ใบหน้าของเขาขาวสะอาดไร้หนวดเครา ดวงตาดำขลับ นี่คือลุงรองของเหวินหลิงเสวี่ย
“ไม่กี่วันก่อน เขาสร้างเรื่องมากมายให้นายน้อยเว่ยเจิงหยางขุ่นเคือง ดังนั้นนับว่าเขาสมควรจะถูกสั่งสอนสักครั้ง!”
สีหน้าของผู้นำตระกูลเหวินฉางจิ้งเย็นชา “ผู้ใดจะคาดคิดว่าก่อนที่เราจะลงมือ เจ้าเด็กนี่กลับไปหาเรื่องหวงเฉียนจวินตัวปัญหานั่นก่อน ช่างรนหาที่ตายโดยแท้!”
เหวินฉางชิงขมวดคิ้วก่อนจะกล่าวตอบ “แต่ข้าไม่เข้าใจบางอย่าง ไม่ใช่ว่าซูอี้สูญเสียตันเถียนไปเมื่อปีก่อนงั้นหรือ? แล้วเช่นนี้เขาจะสามารถกำราบหวงเฉียนจวินและเหล่าผู้คุมกันได้อย่างไร?”
เหวินฉางจิ้งส่ายศีรษะก่อนจะกล่าวตอบ “ขณะเกิดเหตุเราไม่ได้อยู่ที่ภัตตาคารรวมเซียน ทั้งหมดเป็นเรื่องราวจากเหวินเสวี่ย ดังนั้นย่อมพิสูจน์สิ่งใดไม่ได้”
เขาหยุดพูดชั่วขณะ ก่อนจะเผยสีหน้าเยาะเย้ย “อย่างไรเสีย ข้าก็ไม่คิดเชื่อถือว่าเจ้าขยะนั่นจะทำอันใดได้”
เหวินฉางชิงหัวเราะด้วยเช่นกัน “ข้าก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
เมื่อครั้งซูอี้อยู่ในสำนักดาบชิงเหอ เขาบรรลุขั้นสาม ‘ขัดเกลาเส้นเอ็น’ ในขอบเขตโคจรโลหิต
แต่ด้วยเหตุใดไม่มีใครทราบ เขากลับสูญเสียพื้นฐานการบ่มเพาะไป ปราณและโลหิตอ่อนแอ ความแข็งแกร่งพื้นฐานของร่างกายพังพินาศ คราวนั้นผู้ใหญ่หลายคนในสำนักดาบชิงเหอต่างยื่นมือช่วยเหลือ ทว่ากลับไร้ประโยชน์
นับแต่นั้นมา ซูอี้ก็ถูกเรียกขานว่าเป็นคนไร้น้ำยา และถูกสำนักดาบชิงเหอทอดทิ้ง
ไม่เพียงแต่เหวินฉางจิ้งและเหวินฉางชิงเท่านั้นที่ทราบเรื่องนี้ แต่คนทั้งเมืองกว่างหลิงเองก็ทราบด้วยเช่นกัน
ด้วยสถานการณ์เหล่านี้ เหวินฉางจิ้งจึงไม่ปักใจเชื่อว่าซูอี้จะยังสามารถบ่มเพาะได้อีก
“อย่าพูดถึงเจ้าเด็กนั่นเลย พรุ่งนี้ในงานวันเกิดของท่านหญิงผู้เฒ่า หวงอวิ๋นชงซึ่งเป็นผู้นำตระกูลหวงเองก็น่าจะมาร่วมฉลองด้วย หากเราถามเขาตอนนั้น เราคงจะรู้ความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นที่ภัตตาคารรวมเซียน” เหวินฉางชิงกล่าวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ก็แค่ลูกเขยที่ไม่สลักสำคัญคนหนึ่ง ไม่มีค่าพอที่จะให้พวกเขาสนใจ!
“พูดถึงงานเลี้ยงวันเกิดพรุ่งนี้ ฉางชิง เจ้าเตรียมพร้อมหรือยัง?” เหวินฉางจิ้งถาม
เหวินฉางชิงพยักหน้า “บางตระกูลกับกลุ่มอิทธิพลอื่นที่ใกล้ชิดกับตระกูลเหวินของเราบอกไว้ว่าพวกเขาจะเข้าร่วมงานเลี้ยงของเราพรุ่งนี้ด้วย แต่ว่า…”
เขาลังเลไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดด้วยเสียงต่ำ ๆ “พี่ใหญ่ อย่างที่ท่านรู้ว่าในช่วงไม่กี่ปีมานี้ สถานการณ์ของตระกูลเราไม่ดีเหมือนแต่ก่อนนัก ในบรรดาสามตระกูลใหญ่ของเมืองกว่างหลิง เรารั้งตำแหน่งล่างสุดแล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การเชิญบุคคลสำคัญหรือมีอำนาจมาในงานเลี้ยงคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก”
เหวินฉางจิ้งขมวดคิ้วทันทีก่อนจะพูด “แล้วตอนนี้ปัญหามันอยู่ที่ใด?”
เหวินฉางชิงกล่าวตอบอย่างกล้ำกลืน “จวนท่านเจ้าเมือง”
จวนท่านเจ้าเมือง!
เหวินฉางจิ้งใจเสีย และกำลังตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหานี้
หลายปีมานี้ อำนาจของตระกูลเหวินลดลงและไม่ดีเหมือนแต่ก่อน
ในทางกลับกัน เป็นตระกูลหวงที่เป็นอีกหนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งเมืองกว่างหลิง กับตระกูลหลี่ซึ่งเรืองอำนาจขึ้นเรื่อย ๆ
การเปรียบเทียบเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้คนตระกูลเหวินไม่อาจทนได้
ในช่วงนี้มีข่าวลือมากมายภายในเมืองกว่างหลิง ที่ว่าภายในสิบปีหลังจากนี้ตระกูลเหวินอาจถูกตัดออกจาก ‘สามตระกูลใหญ่แห่งเมืองกว่างหลิง’!
เรื่องนี้เป็นปัญหาที่อยู่ในใจของบรรดาผู้อาวุโสตระกูลเหวิน
ดังนั้นวันเกิดปีที่แปดสิบของนายหญิงเฒ่าแห่งตระกูลเหวินนี้จึงนับว่าเป็นเรื่องสำคัญลำดับสูงสุดของตระกูลเหวิน
จุดประสงค์ก็คือเพื่อใช้งานเลี้ยงวันเกิดนี้แสดงให้ผู้คนภายนอกเห็นว่าขนบธรรมเนียมประเพณีและอิทธิพลอำนาจของคนตระกูลเหวินยังคงอยู่และไม่อาจถูกทำลายได้!
ยิ่งมีเหล่าผู้ยิ่งใหญ่มางานเลี้ยงวันเกิดมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งพิสูจน์ได้มากเท่านั้น
กล่าวโดยสรุป นี่คือการเชิญชวนเหล่าผู้ยิ่งใหญ่มาช่วยกอบกู้ใบหน้าตระกูลเหวิน… ‘ให้เป็นที่เชิดหน้าชูตา’
ตามแผนของตระกูลเหวินแล้ว หากเชิญเจ้าเมือง ‘ฟู่ซาน’ มายังงานเลี้ยงวันเกิดในวันพรุ่งนี้ได้ ก็เหมือนกับเชิญเสาหลักที่สามารถค้ำจุนภาพลักษณ์ของตระกูลเหวินได้
หากข่าวนี้แพร่ออกไป ใครหน้าไหนจะกล้าพูดว่าตระกูลเหวินไม่ทรงอำนาจเหมือนแต่ก่อนอีก?
“หากท่านเจ้าเมืองฟู่ไม่มา ผู้หลักผู้ใหญ่ที่มางานเลี้ยงวันเกิดคงจะคิดว่าบัดนี้ตระกูลเหวินของเรา… ไม่อาจเชิญกระทั่งท่านเจ้าเมืองฟู่คนสำคัญได้…”
ใบหน้าของเหวินฉางจิ้งหมองหม่นเล็กน้อย
ทันใดนั้น เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจ้องไปที่เหวินฉางชิงและกล่าวต่อ
“เช่นนั้นเจ้าจงไปที่จวนของท่านเจ้าเมืองอีกที ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเชิญท่านเจ้าเมืองฟู่เข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดพรุ่งนี้ให้ได้!”
เหวินฉางชิงยืนทื่อ ริมฝีปากส่งเสียงกระซิบ “พี่ใหญ่ ก่อนหน้านี้ข้าไปเยี่ยมจวนท่านเจ้าเมืองเป็นการส่วนตัวสามครั้งแล้ว และทุกครั้งที่ไป ข้าก็ไม่เคยได้พบหน้าท่านเจ้าเมืองสักครั้ง…”
เหวินฉางจิ้งกัดฟันก่อนพูด “หากเจ้าไปอีกครั้งและท่านเจ้าเมืองฟู่ยังไม่ออกมาพบ เจ้าก็รอเขาอยู่ที่นั่น ด้วยมิตรภาพระหว่างตระกูลเหวินกับเขาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะยืนหยัดปฏิเสธได้นาน!”
เหวินฉางชิงแสดงสีหน้าหนักใจก่อนพยักหน้า “หากนายหญิงเฒ่ายังคงอยู่ในเมืองอวี้จิง ผู้ใดจะกล้าสบประมาทตระกูลเหวินแห่งเมืองกว่างหลิงของเรากัน?”
เหวินฉางจิ้งเงียบ จิตใจของเขาสั่นคลอน
ทันใดนั้น คนรับใช้คนหนึ่งรีบเข้ามาและรายงานเหตุบางอย่าง
ซูอี้กลับมาที่จวนตระกูลเหวินแล้ว!
“เขาไม่บาดเจ็บเลยงั้นหรือ? เจ้าแน่ใจแล้วหรือไม่?”
เหวินฉางชิงถามออกไปอย่างประหลาดใจ
คนรับใช้ผู้นั้นคิดทบทวนอย่างจริงจังก่อนจะตอบว่า “มองจากภายนอกแล้ว เขาดูไม่ได้รับบาดเจ็บเลยขอรับ!”
เหวินฉางชิงตกตะลึง เรื่องแบบนี้เป็นไปได้อย่างไร?
หวงเฉียนจวินย่อมต้องรู้สึกขายหน้ามากจากเหตุการณ์คราวที่แล้ว แต่ตอนนี้คนตระกูลหวงกลับปล่อยซูอี้มาง่าย ๆ ได้อย่างไร?
ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลกับเรื่องนี้แน่!
“พี่ใหญ่ ท่านคิดว่าอย่างไร?” เหวินฉางชิงอดมองไปยังเหวินฉางจิ้งไม่ได้
เหวินฉางจิ้งกล่าวด้วยความเหลืออด “หากเทียบกับงานเลี้ยงวันเกิดนายหญิงเฒ่าพรุ่งนี้แล้ว ซูอี้จะเป็นหรือตายก็ช่างมันสิ!”
เหวินฉางชิงพูดไม่ออก
…
แสงอาทิตย์ยามบ่ายส่องผ่านบานเกล็ดหน้าต่างเข้ามา ก่อเกิดเป็นจุดแสงบนพื้นห้อง
ร่างของซูอี้ยังแช่อยู่ในถังไม้ ดวงตาที่หลับอยู่พลางค่อย ๆ เปิดออก ใบหน้าสะอาดสะอ้านของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความสงบ
“ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ต้องเปลี่ยนสูตรยาในอ่างแล้ว”
หลังเวลาผ่านไปนาน ซูอี้ก็ถอนใจยาว บัดนี้ ระดับการบ่มเพาะของเขาได้บรรลุขอบเขตโคจรโลหิตถึงขั้นที่หนึ่ง หรือ ‘ขัดเกลาภายนอก’ อย่างสมบูรณ์แล้ว!
ขั้นต่อไปคือขั้นที่สอง หรือก็คือ ‘ขัดเกลาภายใน’!
การขัดเกลาภายใน หมายถึงการทำให้กล้ามเนื้อและโลหิตดียิ่งขึ้น กระตุ้นศักยภาพของร่างกายและเสริมสร้างพละกำลังร่างกายอย่างยิ่งยวด
หากฝึกขั้นพลังนี้จนถึงขั้นสูงสุด ในยามที่เลือดและกล้ามเนื้อผ่อนคลาย มันจะอ่อนราวกับหยก แต่เมื่อไหร่ที่เกร็งแน่นมันจะแข็งแกร่งราวกับโลหะ ซึ่งสามารถทนต่อการเกิดบาดแผลจากอาวุธทั่วไปได้!
“เมื่อขัดเกลาภายนอก มูลค่าของส่วนผสมยาที่ต้องใช้ในการอาบน้ำต่อวันก็คือห้าร้อยตำลึงเงิน”
“แต่เมื่อขัดเกลาภายใน ก็จำเป็นต้องใช้เงินราวพันห้าร้อยตำลึงเงินซื้อส่วนผสมยาในทุก ๆ วัน ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่ข้าจะสามารถบ่มเพาะเคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่องได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้ข้าสามารถขัดเกลาให้เลือดและกล้ามเนื้อแข็งแกร่งที่สุดได้…”
ซูอี้ลุกขึ้นจากถัง ก่อนสวมเสื้อผ้าและนั่งลงข้างหน้าต่างแล้วเข้าสู่ห้วงความคิด
ผ่านไปเพียงหกวันนับแต่ที่เริ่มบ่มเพาะใหม่ แม้ตอนนี้เขาจะบรรลุขั้นขัดเกลาภายนอกได้แล้ว แต่เขาก็ใช้เงินไปแล้วถึงสามพันตำลึงเงิน!
บัดนี้เงินหมื่นตำลึงเงินที่จื่อจิ่นมอบให้นั้นเหลือเพียงเจ็ดพันตำลึงเงินเท่านั้น!
จากการประเมินของซูอี้ หากเริ่มฝึกในขั้นขัดเกลาภายใน เงินเจ็ดพันอาจอยู่ได้เพียงสี่หรือห้าวันเท่านั้น!
คนสามัญย่อมไม่อาจจ่ายราคาอันน่าเหลือเชื่อเช่นนี้ได้
‘หากเดินทางไปที่เขาเมฆาครามและได้พบสมุนไพรวิญญาณก็คงจะดีไม่น้อย’ ซูอี้คิดในใจ
สมุนไพรวิญญาณแตกต่างจากสมุนไพรทั่วไปคือมันเติบโตจากการดูดซับพลังวิญญาณเข้าไป
ในเก้ามหาแดนดิน นอกจากสมุนไพรวิญญาณชั้น ‘สมบัติสวรรค์ประทาน’ สมุนไพรวิญญาณประเภทอื่นหรือชั้นอื่น ๆ ก็ยังหาซื้อได้อย่างง่ายดาย
แต่ในเขตแดนของอาณาจักรโจว ไม่จำเป็นต้องพูดถึงสมุนไพรวิญญาณชั้น ‘สมบัติสวรรค์ประทาน’ แค่สมุนไพรวิญญาณชั้นธรรมดาก็เรียกได้ว่า ‘หายากมาก’ แล้ว ซึ่งแต่ละอย่างก็มีค่ามากและยากต่อการหาของแลกเปลี่ยนได้
แต่สำหรับซูอี้ หากไม่มีพวกมันก็ไม่ถึงตาย
ในขอบเขตโคจรโลหิต ต่อให้ไม่มีสมุนไพรวิญญาณ ก็อาจทดแทนได้โดยใช้ตัวยาทั่วไปที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าการใช้เวลาและเงินที่มากขึ้น
…
เช้าวันรุ่งขึ้น
ก่อนฟ้าสาง ตระกูลเหวินเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง
วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบแปดสิบปีของนายหญิงเฒ่า ซึ่งจะมีผู้ยิ่งใหญ่เข้าร่วมมากมาย ข่าวงานนี้แพร่ไปทั่วเมืองกว่างหลิง และได้รับความสนใจเป็นอันมาก ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าเมินเฉยต่องานนี้
เพียงแต่ความตื่นเต้นทั้งหมดนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับซูอี้เลย
ในตระกูลเหวิน เขาเป็นเพียงลูกเขยที่ไม่สลักสำคัญอะไร
ขณะที่คนอื่นกำลังยุ่ง เขาเดินออกไปจากบ้านเหมือนเคย เดินไปนอกเมืองอย่างสบาย ๆ ที่ริมแม่น้ำต้าฉาง
จากระยะไกล ซูอี้เห็นร่างคนสองคนกำลังยืนอยู่ใกล้ป่าหม่อน
สองคนนั้นคือเซียวเทียนเชวี่ยกับจื่อจิ่น
“ข้าขอคารวะคุณชายซู!”
เมื่อเห็นซูอี้ เซียวเทียนเชวี่ยก็ยิ่งรู้สึกสดชื่นขึ้น เขาก้าวมาข้างหน้าพร้อมหัวเราะเสียงดัง ๆ และทำท่าเคารพ
เทียบกับครั้งแรกที่พบหน้า ผิวพรรณของเขาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“จื่อจิ่นคารวะคุณชายซู!” จื่อจิ่นก้าวมาข้างหน้าด้วยกิริยานอบน้อมเช่นกัน
วันนี้นางสวมชุดสีเขียวน้ำทะเล ผิวพรรณนางนั้นดีกว่าปุยหิมะ คิ้วและดวงตาเรียวงามของนางเป็นประกายสวยงามและมีกิริยาที่โดดเด่น
“พวกเจ้าสองคนน่าจะรู้ถึงตัวตนของข้าแล้ว พวกเจ้าไม่คิดจะสงสัยสักนิดเลยหรือ?” ซูอี้ถามด้วยความใคร่รู้
เซียวเทียนเชวี่ยกล่าวอย่างจริงจัง “ผู้คนในโลกมักตัดสินผู้คนอื่นจากรูปลักษณ์และสถานะเพียงอย่างเดียว แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่าตัวตนของท่านซูคือยอดฝีมือที่แท้จริง!”
ซูอี้ยิ้มและส่ายหน้า “เจ้ากล่าวชมข้าเกินไปแล้ว”
จื่อจิ่นลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวขอโทษ “คุณชายซู ข้าเคยส่งคนไปสืบถามถึงตัวตนของท่านมาก่อน และให้คนตามดูความเคลื่อนไหวของท่านลับ ๆ แต่ข้ากล้าสาบานต่อสวรรค์ว่าข้าไม่คิดเป็นอื่น หากว่าข้าล่วงเกินท่านก็หวังว่าจะได้ชดใช้” ขณะกล่าวเช่นนั้น นางก้มศีรษะคำนับ
“ครั้งนี้ข้าจะยกเว้นให้” ซูอี้พยักหน้า
จื่อจิ่นถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนที่นางจะผ่อนคลายจิตใจลง
“คุณชายซู โปรดดูอาการบาดเจ็บของข้าที…” เซียวเทียนเชวี่ยอดกล่าวไม่ได้
“รอก่อน หลังจากข้าฝึกเสร็จสิ้นแล้ว ข้าจะรักษาเจ้า” ขณะที่ซูอี้พูด เขาเดินไปตรงจุดเดินที่เขาบ่มเพาะเป็นประจำ ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกก่อนจะผ่อนคลายจิตใจ และจึงเริ่มปฏิบัติเคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่องอย่างช้า ๆ
เขาไม่คิดสนใจสิ่งแวดล้อมโดยรอบ แม้จะมีดวงตาสองคู่กำลังเฝ้ามองก็ตาม