ตอนที่ 535 ลางแห่งมหาพิภพ โดย ProjectZyphon
จูเหล่าซานกลับมาแล้ว!
เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อหลินสวินตื่นจากสมาธิก็ตื่นตระหนกกับข่าวดังกล่าว เขาเดินออกจากตำหนักชำระจิตก็เห็นจูเหล่าซานกลับมาแล้วจริงๆ
เพียงแต่แตกต่างจากที่ผ่านมา จูเหล่าซานราวกับถอดรูปแปลงร่าง ร่างกายของเขายังคงสูงใหญ่กำยำราวกับภูผา แต่รูปลักษณ์ของเขาดูอ่อนเยาว์ขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะกล้ามเนื้อที่แข็งราวกับหินเต็มไปด้วยพลังอันงดงามที่ยากจะบรรยาย
เขายืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางสบายๆ ก็สามารถพาให้คนรู้สึกถึงกลิ่นอายความแข็งแกร่งที่เชื่อมต่อกับฟ้า กดข่มจักรวาล กวาดมองอย่างเย็นชากระชากวิญญาณ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลังจากฝึกปราณหลายเดือนในหอคอยกระบวนแปรจุติที่อยู่ส่วนลึกของวังหลวง ในที่สุดเขาก็ทลายกำแพงและบรรลุสู่ระดับกระบวนแปรจุติ
เดิมทีจูเหล่าซานเหลืออายุขัยเพียงไม่กี่ปี แต่เพราะการบรรลุปราณของเขาในครั้งนี้ อายุขัยจึงยืดออกไป อย่างน้อยภายในห้าร้อยปีก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการเกิดแก่เจ็บตาย
หลินสวินปลื้มใจมาก การกลับมาของจูเหล่าซานทำให้ภูเขาชำระจิตได้มหายุทธ์ระดับสำคัญเพิ่มมาอีกคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย!
“ขอบคุณมาก!”
จูเหล่าซานประสานหมัด โค้งคำนับให้หลินสวินด้วยท่าทีเคร่งขรึมจริงจังอย่างที่น้อยครั้งนักจะได้เห็น
หากไม่ได้การแนะนำและช่วยเหลือจากหลินสวิน เขาคงไม่สามารถเข้าไปฝึกปราณในหอคอยกระบวนแปรจุติที่อยู่ในส่วนลึกของวังหลวงได้แน่ สำหรับเขา การบรรลุครั้งนี้ไม่ใช่เพียงพลังที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือ เขาไม่ต้องกังวลกับปัญหาอายุขัยอีกต่อไป เหมือนกับการได้เกิดใหม่!
นี่ถือเป็นบุญคุณครั้งใหญ่!
“กลับมาก็ดีแล้ว”
หลินสวินยิ้มสดใสมาก
ในวันเดียวกันเขาได้จัดประชุมตระกูลเป็นครั้งแรกที่ตำหนักชำระจิต ในฐานะผู้นำตระกูลหลิน!
ผู้เข้าร่วมประชุมได้แก่ผู้อาวุโสหลินเป่ยกวงแห่งแสงอุดร หลินไหวหย่วนแห่งแสงอุดร และบุคคลสำคัญหลายคนของตระกูลหลินแห่งแสงอุดร
นอกจากนี้ยังมีหลินจง พญาแร้ง จูเหล่าซาน ชื่อเซวี่ย หยางหลิง ผู้เฒ่าเตียวเป็นต้น
แม้แต่เซียวเทียนเริ่นจากหมู่บ้านเฟยอวิ๋นก็ถูกเชิญมาด้วย
บรรยากาศของห้องโถงดูจริงจัง หลินสวินนั่งอยู่บนที่นั่งหลัก แม้ว่าเขาจะดูเด็ก แต่หลังจากผ่านการเคี่ยวกรำและขัดเกลามานานปี ทำให้เขามีพลังอำนาจหนักแน่นที่ไร้รูปร่างสายหนึ่ง
ปฐมาจารย์สลักวิญญาณวัยเยาว์ อาจารย์สำนักศึกษามฤคมรกต นักสลักวิญญาณพิเศษในภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณและสำนักเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ… ฐานะและเกียรติภูมิแต่ละอย่างทำให้หลินสวินยิ่งดูโดดเด่นอย่างไม่ต้องสงสัย
อย่างน้อยยามนี้ในนครต้องห้าม ไม่ว่าคนในรุ่นราวคราวเดียวกันหรือเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถเรียกลมเรียกฝนได้ ต่างไม่กล้าดูถูกหลินสวิน!
เวลานี้ทุกสายตามารวมกันอยู่ที่หลินสวิน ไม่มีใครกล้าเผยความดูแคลนและหย่อนยานแม้แต่เสี้ยวเดียว
ในวันนี้ หลินสวินมีคุณสมบัติที่เป็นผู้นำตระกูลหลิน รวมถึงครอบครองและควบคุมทุกภูเขาชำระจิตทั้งหมดอย่างไม่ต้องสงสัย!
ในการประชุมครั้งนี้ หลินสวินได้กล่าวอย่างรวบรัดและกระชับ โดยแต่งตั้งให้พญาแร้งเป็นผู้ดูแลอาวุโสต่างสกุล วางแผนควบคุมทุกเรื่องในภูเขาชำระจิต
แต่งตั้งให้เสี่ยวเคอเป็นผู้ดูแลใหญ่ของภูเขาชำระจิต รับคำสั่งจากพญาแร้งโดยตรง
แต่งตั้งจูเหล่าซานและหลินจงให้เป็นผู้คุ้มกันของตระกูล ทำงานรับคำสั่งจากหลินสวินโดยตรง
ในขณะเดียวกัน หลินสวินได้จัดแจงเหล่าคนสำคัญของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรในตำแหน่งที่เหมาะสม และไม่มีการคัดค้านตั้งแต่ต้นจนจบ
นี่คือสิ่งที่หลินสวินหารือกับพญาแร้งเมื่อคืน ด้วยการฟื้นตัวของภูเขาชำระจิต ถึงเวลาที่จะประกาศใช้กฎและข้อบังคับใหม่แล้ว
แม้แต่เซียวเทียนเริ่นก็ได้รับการแต่งตั้งจากหลินสวินให้เป็นผู้ดูแลคนหนึ่ง รับผิดชอบเรื่องราวต่างๆ ของชาวบ้านในหมู่บ้านเฟยอวิ๋นโดยเฉพาะ
……
“ปู่สี่ของเจ้าเขา…”
หลังการประชุม ผู้อาวุโสเป่ยกวงไปหาหลินสวินตามลำพัง สีหน้าสับสน “แม้ว่าเขาจะทำผิด แต่เจ้าก็อย่าคิดแค้นคนในตระกูลของเขามากเกินไปเลย… อย่างไรพวกเขาก็เป็นลูกหลานตระกูลหลินของเรา”
ปู่สี่ของหลินสวินก็คือหลินเฟยเฟิง ญาติที่ใช้เสามังกรจตุลักษณ์ขังหลินสวินเอาไว้ หมายจะเอาชีวิตเขา
“ท่านปู่ห้าไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ทำเกินเลย แต่ว่าความผิดที่พวกเขาก่อไว้จะต้องถูกสะสาง มิฉะนั้นก็เป็นการยากที่จะทำให้ทุกคนเชื่อถือได้”
หลินสวินพยักหน้า
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว เช่นนั้นก็ดี”
ผู้อาวุโสเป่ยกวงถอนหายใจแล้วหมุนตัวเดินออกไป คล้ายว่าการตายของหลินเฟยเฟิงจะทำให้เขาดูโดดเดี่ยวและหดหู่ไม่น้อย
แต่หลินสวินก็ช่วยไม่ได้ ตอนนั้นเขาเกือบจะถูก ‘ท่านปู่สี่’ คนนั้นของตนฆ่าแล้ว!
……
ในวันเดียวกัน หลินสวินได้พาซย่าจื้อออกจากภูเขาชำระจิตและกลับไปสำนักศึกษามฤคมรกต
เรื่องบนภูเขาชำระจิตจัดการเข้าที่เข้าทางแล้ว มีจูเหล่าซาน หลิงจง พญาแร้ง ผู้อาวุโสเป่ยกวงและหลินไหวหย่วนนั่งบัญชาการ ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรอีก
รออีกสองปีให้หลัง เมื่อรวมสามสายรองอย่างธารประจิม คานเมฆาและยอดวายุเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ตระกูลหลินทั้งตระกูลจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่อีกครั้งอย่างแน่นอน!
ยิ่งไปกว่านั้นหลินสวินยังทิ้งอาสัญสลายไว้ที่ภูเขาชำระจิต ให้อยู่ในความดูแลของหลินจงแต่เพียงผู้เดียว นี่เป็นอาวุธล้ำค่าในโลกที่สามารถเปลี่ยนขุมกำลังของฝ่ายหนึ่งได้ เชื่อว่าในอนาคตขอเพียงหลินจงใช้งานได้อย่างดี ก็สามารถทำให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดได้
การกลับมาสำนักศึกษามฤคมรกตในครั้งนี้ หลินสวินมีเป้าหมายที่ชัดเจนมาก นั่นคือเขาต้องการไปฝึกตนที่ภูผาบันไดสวรรค์ เพื่อหยั่งรู้พลังแห่งสัจวิถีธาตุน้ำขึ้นไปอีก เตรียมพร้อมสำหรับการบรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะ!
แต่แล้วแผนที่วางเอาไว้ก็ตามการเปลี่ยนแปลงไม่ทัน ในวันที่หลินสวินกลับสำนักศึกษามฤคมรกต จ้าวจิ่งเซวียนก็มาเยือน
“ทำไมหรือ หรือกระถางสมบัติเก้ามังกรมีปัญหาอะไร”
หลินสวินฉงนใจ
วันนี้จ้าวจิ่งเซวียนยังคงปลอมเป็นชาย สวมชุดคลุมสีม่วงทั้งตัว ดวงตากระจ่างฟันขาวประกาย ท่าทางสง่ากระฉับกระเฉง งดงามสะดุดตาอย่างเป็นเอกลักษณ์
นางยิ้มเล็กน้อยเผยให้เห็นฟันขาวเป็นประกาย เสียงใสราวกับน้ำพุ “ไม่ใช่แบบนั้น ข้ามาเพื่อแสดงความขอบคุณด้วยตนเอง ความลึกลับของสมบัติชิ้นนี้เกินความคาดหมายของข้าอย่างสิ้นเชิง อาศัยมัน ทำให้ข้ามีความมั่นใจในการเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติขั้นต้นได้”
“ยอดเยี่ยม!”
หลินสวินชื่นชมจากใจจริง
เขาได้ยินเรื่องนี้จากจ้าวไท่ไหลแล้ว ด้วยพลังและพรสวรรค์ของจ้าวจิ่งเซวียนแข็งแกร่งและน่าสะพรึงกลัวเกินไป จึงถูกจักรพรรดิองค์ปัจจุบันสะกดข่มระดับปราณเป็นเวลาสิบปีเต็ม ปัจจุบันพลังปราณจึงยังอยู่ในระดับหยั่งสัจจะขั้นต้นเท่านั้น
แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น นางกลับกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่าเพราะกระถางสมบัติเก้ามังกร นางจึงสามารถข้ามระดับไปเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติได้ นี่ดูน่าตกใจอย่างไม่ต้องสงสัย
จ้าวจิ่งเซวียนกะพริบตาปริบๆ ยิ้มพูด “ฝีมือเจ้าก็ไม่ได้แย่ ข้าจำได้ว่าตอนที่ข้าอยู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นสมบูรณ์ หากพูดถึงพลังต่อสู้แล้วยังด้อยกว่าเจ้ามาก อย่างน้อยๆ ข้าก็ต้านทานการโจมตีกะทันหันของราชันแห่งระดับสังสารวัฏไม่ได้”
เห็นได้ชัดว่าจ้าวจิ่งเซวียนก็รู้รายละเอียดการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในตระกูลเหยาแล้ว
หลินสวินอึ้ง “เป็นแค่เรื่องบังเอิญ คงไม่มีครั้งที่สองอีก จริงสิ ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากขอคำชี้แนะจากเจ้า”
“ว่ามาสิ” จ้าวจิ่งเซวียนพูดอย่างสนใจ
“เป็นเรื่องเกี่ยวกับพิบัติมหามรรค” หลินสวินถามสิ่งที่สงสัยออกไปโดยไม่คิดปกปิด “ข้าสงสัยมากว่าภัยพิบัตินี้จะมีผลกระทบมากแค่ไหน”
“พิบัติเคราะห์นี้เกินจินตนาการ และเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงความลับแห่งสวรรค์ แม้แต่ในดินแดนรกร้างโบราณ ผู้เป็นอมตะส่วนหนึ่งก็ล้วนไม่อาจคาดการณ์อันตรายได้”
สีหน้าของจ้าวจิ่งเซวียนดูจริงจังขึ้นมา “แต่สิ่งที่มั่นใจได้คือ การเกิดขึ้นของพิบัติเคราะห์ครั้งนี้ จะทำให้ทั้งใต้หล้าเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจขึ้น!”
“ทั้งใต้หล้า? รวมทั้งดินแดนรกร้างโบราณด้วยหรือ”
หลินสวินใจสะท้าน
“ใช่ แต่สำหรับดินแดนรกร้างโบราณ จะยังไม่ได้รับผลกระทบมากเกินไปอีกนาน ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดบางทีอาจเป็นโลกที่เราอยู่ในปัจจุบัน”
จ้าวจิ่งเซวียนไม่ปิดบัง “จากการคาดการณ์ของผู้อาวุโสหลายคน ภัยพิบัติครั้งนี้เต็มไปด้วยตัวแปร เป็นโชคหรือเคราะห์ก็ยากคาดเดา”
พูดถึงตรงนี้ดวงตากระจ่างใสของนางก็วาบแววประหลาด “ตอนนี้ในดินแดนรกร้างโบราณยังคงมีอีกหนึ่งคำทำนายที่แพร่กระจายอยู่ กล่าวว่าเมื่อพิบัติมหามรรคเกิดขึ้น ก็เป็นลางบอกว่ายุคนี้จะปรากฏมหาพิภพที่ไม่เคยมีมาก่อน ถึงตอนนั้นหมื่นผู้กล้าทั่วหล้ารวมตัวกัน หมู่ดาวส่องประกาย ปีศาจอัจฉริยะนับไม่ถ้วนถูกกำหนดให้ถือกำเนิด และจะมีสำนักลี้ลับที่อยู่ในยุคบรรพกาลปรากฏขึ้น หมื่นวิถีรวมอยู่ แย่งชิงโลกา!”
“นี่เรียกอีกอย่างว่า ‘มหาสงคราม’!”
พูดถึงตอนท้าย ในน้ำเสียงเจือความรู้สึกมุ่งหวังบางๆ เห็นได้ชัดว่าเมื่อเอ่ยถึง ‘มหาสงคราม’ นี้ จ้าวจิ่งเซวียนเองก็ไม่สามารถสงบนิ่งได้
หลินสวินหัวใจสะท้าน เขาเองก็ตื่นตะลึงเช่นกัน ไม่คิดว่าการปรากฏของ ‘พิบัติมหามรรค’ จะส่งผลกระทบใหญ่หลวงเช่นนี้
นี่เปรียบเหมือนลางบอกเหตุ ‘ฟ้าเปลี่ยน’ อย่างแท้จริง!
แววประหลาดในดวงตากระจ่างของจ้าวจิ่งเซวียนหายไป สีหน้าเผยความเลื่อนลอย กล่าวว่า “แต่ยังเป็นลางว่า นี่คือความโกลาหลของโลกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จะเกิดพิบัติเคราะห์ที่ไม่คาดคิด และจะมีผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนต้องกล้ำกลืนความคับแค้น ถึงตอนนั้นจะต้องเกิดการแย่งชิงในกลียุค สิ่งมีชีวิตจบสิ้น”
หลินสวินอึ้งค้างอยู่กับที่
มหาพิภพ?
กลียุค?
ภายใต้มหามรรคนี้ เมื่อเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด ก็จะถูกกำหนดให้มีเภทภัยและการทำลายล้างตามมาใช่หรือไม่
และนี่ก็คือต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ล้วนมาจาก ‘พิบัติมหามรรค’ สิ่งนี้เปรียบเสมือนพลังล่องหน ที่จะชักนำให้เกิดมหาสงครามหรือกลียุคอันยากจะคาดคิด!
“แน่นอนว่าอีกนานมากกว่าเรื่องทั้งหมดจะเริ่มขึ้น อย่างน้อยภายในหนึ่งร้อยปี ในดินแดนรกร้างโบราณไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”
จ้าวจิ่งเซวียนกล่าวง่ายๆ ว่า “แต่ว่าสิ่งที่สามารถคาดเดาได้คือ ปัจจุบันแต่ละสำนักในดินแดนรกร้างโบราณล้วนกำลังเตรียมความพร้อมสำหรับสิ่งนี้ สั่งสมความแข็งแกร่งอย่างที่สุด หมายจะเยื้อแย้งความโชคดีของตนท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่สั่นสะเทือนโลกนี้”
‘เหลือเวลาเตรียมความพร้อมอีกเพียงร้อยปีเท่านั้น…’ หลินสวินครุ่นคิด แต่ลึกๆ กลับแอบโล่งอก
ข่าวทั้งหมดนี้กะทันหันเกินไปสำหรับเขา ทำให้เขารู้สึกทำอะไรไม่ถูก แต่โชคดีที่อย่างน้อยยังมีเวลาเตรียมตัว
ทว่าสิ่งที่สามารถคาดเดาได้คือ ด้วยการมาเยือนทีละก้าวๆ ของพิบัติมหามรรค โลกทั้งใบจะสูญเสียความสันติสุขลงเรื่อยๆ!
“หลินสวิน ข้ามาหาเจ้าคราวนี้ยังมีเรื่องใหญ่อีกเรื่องอยากให้เจ้าช่วย”
ทันใดนั้นจ้าวจิ่งเซวียนก็เอ่ยขึ้น บอกจุดประสงค์ที่แท้จริงของการมาเยือนในครั้งนี้
“เรื่องใด” หลินสวินถาม
“อีกสามวัน สำนักที่ข้าอยู่จะมีผู้อาวุโสท่านหนึ่งพาผู้สืบทอดกลุ่มหนึ่งมาเยือนโลกนี้ โดยวางแผนว่าจะไปเสาะหาแดนลับบรรพกาลแห่งหนึ่งในทะเลกลืนวิญญาณ ที่นั่นเต็มไปด้วยผนึกต้องห้ามที่ผู้มีความสามารถในสมัยบรรพกาลวางเอาไว้ ข้าอยากให้เจ้าไปกับพวกเรา บางทีอาจจะเป็นวาสนาหนึ่งสำหรับเจ้า”
จ้าวจิ่งเซวียนเชื้อเชิญ “และเท่าที่ข้ารู้ มีความเป็นไปได้มากว่าในแดนลับบรรพกาลจะมี ‘ดอกหลอมวิญญาณสมุทร’!”
——