ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 264 คันศรทำลายมาร

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

หลังกลับมาจากเกาะทราย เยี่ยนจ้าวเกอก็ให้อาหู่หาของบางสิ่ง

บัดนี้กำลังคนและทรัพยากรที่เยี่ยนจ้าวเกอสามารถโยกย้ายได้ ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ทรัพยากรของตระกูลเยี่ยน เพราะขาสามารถหมุนเวียนใช้ได้ทั่วทั้งสำนักเขากว่างเฉิงจำนานมากตั้งนานแล้ว

เยี่ยนจ้าวเกอกระทำการในตอนนี้ ก็นับว่าอยู่ในที่แจ้งแล้วเช่นกัน มีผู้คนไม่น้อยจับตามองดูอยู่

มิเอ่ยถึงเรื่องใหญ่ๆ แต่ละเรื่องที่ทำตอนก่อนหน้านี้ เยี่ยนจ้าวเกอในฐานะเพียงแค่ปรมาจารย์ และในฐานะศิษย์อ่อนอาวุโส สามารถหมุนเวียนใช้ทรัพยากรปริมาณอย่างมากทั่วทั้งสำนักเขากว่างเฉิงได้โดยอิสระ ขอบเขตอำนาจเช่นนี้ไม่อาจไม่ให้ความสนใจ ดูว่าในที่สุดเขาจะสามารถกระทำการเช่นไรออกมาได้

ถึงอย่างไรทอดสายตาไปทั่วหล้า จะมีคนวัยเยาว์ที่มีอำนาจเช่นนี้อีกสักกี่คน?

นับวันคนนอกยิ่งมองข้ามอายุและลำดับอาวุโสของเยี่ยนจ้าวเกอขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีสาเหตุ ผลงานแต่ละอย่างและอำนาจที่มีของเขา ไม่มีคนอายุและลำดับอาวุโสเดียวกันจะทัดเทียบได้แล้ว

ผู้คนมากมายกำลังจ้องมองทุกการเคลื่อนไหวของตน พยายามจะวิเคราะห์ เยี่ยนจ้าวเกอรู้อยู่แก่ใจดี ฉะนั้นสิ่งของที่สั่งให้อาหู่หา หลากหลายประเภทมีจำนวนมากยิ่งกว่าสิ่งของที่ตนต้องการจริง เกินกว่าสิบเท่า ก็เพื่อจะอำพรางและสับขาหลอก

สิ่งของหลายชิ้นที่อาหู่ส่งให้ในมือ ถึงจะเป็นสิ่งที่ตนต้องการแท้จริง

สิ่งของอื่นๆ ก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์เสมอไป เพียงแต่ไม่ได้ต้องการเร่งด่วนแต่อย่างใด เตรียมสำรองไว้ใช้ชั่วคราวก็เท่านั้น

เยี่ยนจ้าวเกอถือคันธนูยาวคันนั้นในมือ กลัดสายธนูเบาๆ แล้วดึงออก รู้สึกได้ถึงพลังงานและปราณวิญญาณที่อุดมอยู่ในนั้น

ทว่าคิดอยากจะขับเคลื่อนของวิเศษนี้ได้คล่องมือ บัดนี้เขายังมีพลังความสามารถไม่พอ ยากจะปลดปล่อยพลังภายในออกมา

เป็นเพราะว่านี่คืออาวุธวิญญาณระดับกลางชิ้นหนึ่ง

อยากจะขับเคลื่อนพลังของอาวุธวิญญาณระดับกลางให้ได้ทั้งหมด จำเป็นต้องอยู่ในระดับมหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณเสียก่อนจึงจะใช้ได้ ระดับมหาปรมาจารย์ขั้นซ่อนจิต สามารถขับเคลื่อนพลังในนั้นได้บางส่วน ส่วนระดับปรมาจารย์นั้นยังทำไม่ได้

นิ้วมือเยี่ยนจ้าวเกอสั่นสะเทือนขณะรั้งสายธนูไว้ เขาไตร่ตรองพลางเอ่ยถาม “หาธนูวิเศษที่เป็นอาวุธวิญญาณระดับสูงไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”

อาหู่เกาศีรษะแกรก “คุณชาย เท่าที่ทราบตอนนี้ ธนูวิเศษที่เป็นอาวุธวิญญาณระดับสูง มีเพียงธนูยิงตะวันของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ กับธนูนภาอลหม่านของตำหนักอัสนีสวรรค์เท่านั้น ถึงแม้ว่าเมืองทะเลมรกต หอคลื่นโหม และสำนักเขาไร้พรมแดนจะมี พวกเราก็สามารถหาวิธียืมสักหน่อยก็ได้เช่นกัน ”

“ยิงตะวันกับนภาอลหม่านล่ะก็ คิดวิธีไม่ออกจริงๆ หากจะแย่งหรือขโมยมา พลังฝึกปรือของข้าในตอนนี้ยังต่ำไปนัก”

ชายนร่างใหญ่มองดูคันธนูยาวในมือเยี่ยนจ้าวเกอ “คันธนูที่ดีที่สุดที่หามาได้บนแผ่นดินนภาพิภพ ก็อาชาฟ้านี้แล้ว”

“เรื่องนี้ข้าเองก็รู้” เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “อันที่จริงอาวุธวิญญาณระดับกลางก็พอให้ใช้แล้ว เพียงแต่ธนูยิ่งดี ความมั่นใจก็ยิ่งสูงก็เท่านั้นเอง”

แม้ว่าจะหมดหนทางขับเคลื่อนธนูอาชาฟ้าคันนี้ชั่วคราว กระนั้นเยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่กระวนกระวายเช่นกัน เขาวางธนูยาวไว้ข้างเคียง เริ่มสำรวจของชิ้นอื่น

หลังเยี่ยนจ้าวเกอตรวจดูของแต่ละชิ้นทั้งหมดรอบหนึ่งแล้ว เขาก็ผงกศีรษะพึงพอใจ “ดีมาก เพราะเขากว่างเฉิงเป็นสำนักใหญ่โต ทั้งยังกิจการใหญ่โต จึงสามารถเตรียมของทั้งหมดได้ในเวลาอันสั้นเช่นนี้ หากพึ่งเพียงการสะสมของตระกูลเยี่ยน เกรงว่าคงยากจะทำได้ไว้ปานนี้”

ชายหนุ่มนำเตาผลึกหินชั้นในของตนออกมาอีกครั้ง ภายในเตาหลอมส่งเสียงทุ้มต่ำมั่งคงออกมา แจ่มแจ้งว่ายังคงอยู่ระหว่างการโคจร

เขาเคาะเตาผลึกหินชั้นในเบาๆ เพื่อเปิดฝาเตาออก พลันมีธารแสงเปี่ยมล้นสีสันทะลักออกมา

จากนั้นเยี่ยนจ้าวเกอก็ยิ้มน้อยๆ แล้วตบฐานเตาครั้งหนึ่ง แสงสีม่วงสายหนึ่งพุ่งออกมาจากด้านในฉับพลัน หล่นลงตกหน้าชายหนึ่ง กลับกลายเป็นกิ่งไผ่สีเขียวแก่ท่อนหนึ่ง

กระบี่เผาไหม้ กระบี่ผนึกหมอก และกระบี่อัสนีทองคำม่วง อาวุธวิญญาณระดับล่างทั้งสามชิ้นที่โยนใส่เตาผลึกหินชั้นในพร้อมกับกิ่งไผ่นี้ก่อนหน้า ขณะนี้หายไปไม่เหลือร่องรอยนานแล้ว

หากแต่กิ่งไผ่กิ่งนั้น กลับดูเหมือนจะเติบโตขึ้นไม่น้อย กิ่งไผ่ปล้องเดียวแต่เดิม เปลี่ยนเป็นสองปล้องแล้วในตอนนี้

เยี่ยนจ้าวเกอเหยียดมือออกไปคว้ากิ่งไผ่ เก็บมันขึ้นก่อน แล้วจึงใช้ปราณจิตราดึงของวิเศษจำนวนมากที่ตรวจสอบไปแล้วก่อนหน้า หย่อนลงไปในเตาหลอมพร้อมกัน

ต่อจากนั้นชายหนุ่มปิดฝาเตาลง สองมือตบเข้าด้านข้างเตาผลึกหินชั้นในพร้อมกัน

พื้นผิวเตาหลอมส่องแสงมากมายหลากสี โคจรขึ้นมาอีกครั้งเสียงดังอึกทึก

ประกายตาเยี่ยนจ้าวเกอสงบนิ่ง เพ่งมองเตาผลึกหินชั้นในเงียบเชียบ สองมือตบอยู่ที่เตาหลอมอย่างมีจังหวะด้วยเสียงสัมผัสอันแปลกประหลาดแบบหนึ่ง ส่งผลให้การโคจรของเตาวิเศษนี้อยู่ในการควบคุมของตน ขยับตามใจนึกคิดของตนตลอดเวลา

กาลเวลาเคลื่อนผ่านเชื่องช้า แม้โลกภายนอกจะคลื่นลมพลุกพล่าน หรือจะเงียบงันดังคลื่นใต้นำ เยี่ยนจ้าวเกอก็คอยท่าอยู่ในโลกของตนตลอดเวลา จัดการเตาผลึกหินชั้นในหลอมสิ่งของที่ต้องการเงียบๆ

นับตั้งแต่เยี่ยนตี๋รับภาระหน้าที่เจ้าสำนักชั่วคราวก็ผ่านมาหลายวันพอสมควรแล้ว สำนักเขากว่างเฉิงผ่านไปอย่างมั่นคง หลังจากทั้งหมดทั้งมวลมั่นคงอยู่ในลู่ทางที่ควรจะเป็น เจ้าสำนักรุ่นก่อนหยวนเจิ้งเฟิงจึงตัดสินใจเริ่มเข้าฌานอย่างเป็นทางการในที่สุด

วันที่หยวนเจิ้งเฟิงเข้าฌาน เรื่องที่เยี่ยนจ้าวเกอติดพัน ในที่สุดก็มาถึงช่วงสุดท้ายเช่นกัน

เตาผลึกหินชั้นในหยุดโคจรลงชั่วคราว เยี่ยนจ้าวเกอเปิดฝาเตาออก มือดึงขึ้น เงาดำสามสายก็พุ่งออกมา

เงาดำทั้งสามหล่นลงในมือเยี่ยนจ้าวเกอพร้อมกัน กลับเป็นลูกศรสีดำสนิทสามดอก ทอแสงสีทองระยิบระยับจางๆ นี้ ทุกดอกมีความยาวราวสามฉื่อ

เยี่ยนจ้าวเกอวางลูกธนูไว้เบื้องหน้าแล้วสังเกตอย่างละเอียด ก่อนจะเห็นว่าปลายแหลมของหัวลูกธนูกำลังเปล่งแสงวามวับตลอดเวลา ดูเหมือนหาได้แหลมคมไม่ กลับจะลวงตาไปตามแสงวับวาบด้วยซ้ำไป

หัวลูกธนูของคันศรสีดำสนิทสามดอก คล้ายกับอยู่ระหว่างของจริงกับเงาลวง เปลี่ยนกลับไปกลับมาไม่หยุดอย่างไรอย่างนั้น

ชายหนุ่มหรี่ตาลง หลังสังเกตพักใหญ่ ผงกศีรษะพอใจ “สำเร็จขั้นแรก แต่ยังต้องรอคอยขัดเกลา”

อาหู่ยื่นศีรษะเข้าใกล้จากด้านข้าง เอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ “คุณชาย นี่คืออะไร?”

“คันศรทำลายมาร” เยี่ยนจ้าวเกอโพล่งตอบ

ชายร่างใหญ่เกาศีรษะใหญ่แกรกๆ “ของที่ใช้รับมือกับมหาค่ายกลแดนมารโดยเฉพาะ?”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มน้อยๆ ไม่ได้ตอบกลับ ปิดเตาผลึกหินชั้นในลง เก็บลงในกระเป๋าย่อส่วนพร้อมกับลูกธนูก่อน แล้วจึงกล่าวถาม “ท่านอาจารย์ปู่เข้าฌานวันนี้?”

สีหน้าท่าทางอาหู่เคร่งขรึมหลายส่วน “ขอรับ คุณชาย”

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า สืบเท้านำหน้าออกไป อาหู่ตามหลังเขาไป ทั้งสองไปถึงหลังเขาด้วยกัน

ที่เรียกว่าหลังเขาของสำนักเขากว่างเฉิง โดยทั่วไปแล้วหมายถึงทั้งสามเขาคือ ยอดเขาอรรณพ ยอดเขามหาคุณ และยอดเขาลมอาคเนย์

ทั่วทั้งสำนักเขากว่างเฉิงมียอดเขาแปดลูกกอปรขึ้น ปลายยอดเขาทั้งหมดล้วนเรียบและเกลี้ยงเกลาดุจกระจก เนื้อที่กว้างไพศาล ทั้งปวงไม่ได้ขึ้นเกิดตามธรรมชาติ หากแต่ตอนนั้นถูกยอดฝีมือในสำนักตัดปลายยอดเขาแต่เดิมไป เบิกทางออกมา

ยอดเขาใหญ่ทั้งแปดเริ่มต้นจากพื้นปฐพี จรดหยุดอยู่ที่ท้องนภา ยอดเขานภากาศที่สูงที่สุด ก็คือยอดเขาหลักของสำนักเขากว่างเฉิง

ซึ่งสามเขาด้านหลัง ยอดเขาลมอาคเนย์เข้าออกได้อิสระ ศิษย์กว่างเฉิงจำนวนมากต่างก็ทำกิจกรรมที่นั่น

ยอดเขาอรรณพกับยอดเขามหาคุณกลับเป็นพื้นที่หวงห้าม ใต้ยอดเขาแรกก็คือสถานที่ที่หุบเขาผนึกเวหา อันเป็นพื้นที่ร้ายแรงอันดับหนึ่งของสำนักเขากว่างเฉิง ส่วนยอดเขาถัดมาคือเขตแดนที่ยอดฝีมือระดับสุดยอดที่สุดของสำนักใช้เข้าฌาน

บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งสำนัก ชิวหยวน เฒ่าเบิกฟ้าเดิมเคยเข้าฌานที่นี่ จ่านตงเก๋อ ผู้สะเทือนสวรรค์ผู้ไร้เทียมทานในแปดพิภพก็เข้าฌานที่นี่ จ่านซีโหลว ผู้สะเทือนสวรรค์ที่นำพาเขากว่างเฉิงตรากตรำผ่านคืนวันที่มืดมิดที่สุดเองก็เคยเข้าฌานที่นี่เช่นกัน

บัดนี้ ก็หมุนเวียนมาถึงคราวของหยวนเจิ้งเฟิง

ชายชรามองทางฝูงชนตรงหน้า อมยิ้มเอ่ย “ข้าไปคราวนี้ ดีหรือร้ายยากคาดเดา ช้านานก็ยังไม่รู้ได้ เขากว่างเฉิงก็ส่งต่อให้พวกเจ้าแล้ว”

เยี่ยนตี๋และคนอื่นๆ กล่าว “ข้าจะรอคอยและพยายามให้ถึงที่สุด”

เยี่ยนจ้าวเกอยืนอยู่หลังสุดของกลุ่มคน คำนับให้แก่หยวนเจิ้งเฟิงจากที่ไกลๆ เช่นกัน มองส่งอาจารย์ปู่ของตนเข้าสู่เขตแดนเข้าฌานไป

ครั้นแหงนหน้าขึ้นมองดูท้องฟ้า วันนี้อากาศกลับแจ่มใสปลอดโปร่งนัก

———————–