ตอนที่ 1365 เสียงคำรามของเจ้าท้วม

Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ

ตอนที่ 1365 เสียงคำรามของเจ้าท้วม โดย Ink Stone_Fantasy

ยามที่คนๆ หนึ่งมาถึงขีดจำกัด มักยากยิ่งที่จะรวบรวมสมาธิกลับมาอีกครั้ง

ก่อนหน้า ความมุ่งมั่นของเซี่ยะจิ่งอวี๋ถูกลดทอนลงต่อเนื่องจนสับสนไปหมดภายใต้การกัดกร่อนของพลังสวรรค์ในกายา แล้วเขาจะนึกถึงซิ่วเอ๋อได้อย่างไร?

คำกล่าวของเย่หยวนคล้ายกลองยามเย็นและระฆังย้ำใจ ปลุกจิตวิญญาณที่หลับใหลอยู่ของเซี่ยะจิ่งอวี๋ขึ้นมา

แรงกัดกร่อนของพลังสวรรค์คล้ายกับการวิ่ง เมื่อผ่านพ้นช่วงเวลาที่รู้สึกถึงขีดจำกัดเกินจะทานทนไหว ท่านจะพบว่าสุดท้ายนี้ก็ยังสามารถวิ่งต่อไปได้

อย่างไรก็ตาม ภายใต้พลังสวรรค์อันรุนแรงขนาดนี้ เซี่ยะจิ่งอวี๋ก็ไม่กล้าประมาทผลีผลามเช่นกัน

เขามุ่งสมาธิทั้งหมดไปที่สิ่งยึดเหนียวจิตใจและยังคงเชื่อมั่นใจสิ่งนั้นอยู่เสมอ ยามที่ตนรู้สึกถึงขีดจำกัดอีกครั้ง

เพียงว่าเขาแอบตกใจมิได้เลยเมื่อเย่หยวนยังสามารถสงบนิ่งอยู่ได้จวบจนตอนนี้!

เขาคิดว่า เย่หยวนถูกกำจัดออกไปนานแล้ว

ท้ายที่สุดนี้ ถึงคำพูดจพฟังดูดี แต่นั้นมิอาจแสดงให้เห็นถึงความแกร่งกล้าที่แท้จริง

ทว่าเมื่อครู่ฟังจากน้ำเสียง นี่เห็นได้ชัดว่า ไม่เพียงเย่หยวนจะเหลือเรี่ยวแรงมาพูด แต่เรียกได้ว่าสติสตังยังคงครบบรรจบดี

สิ่งนี้ชี้ให้เห็นได้ชัด พลังสวรรค์เพียงระดับนี้กลับไม่เป็นผลอันใดต่อเย่หยวนเลย!

ชายหนุ่มคนนี้เป็นเพียงเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางจริงๆน่ะรึ?

แม้จะมีการจำกัดอาณาจักรพลังเอาไว้ ความแตกต่างในเรื่องนี้จึงไม่มีผลมากนัก ทว่าอย่าลืมไปเสียอาณาจักรพลังที่สูงกว่าสามารถบ่งบอกได้ถึงแนวคิดและความมุ่งมั่นที่สูงกว่าได้เช่นกัน

การทดสอบในครั้งอดีตที่ผ่านมา มิใช่ว่าไม่เคยมีเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางเคยผ่านเข้ารอบแรก แต่จำนวนเหล่านั้นกลับน้อยราวกับขนของวิหกเพลิงอมตะ

ประมาณหนึ่งพันปีถึงจะพบเห็นได้สักคน

เซี่ยะจิ่งอวี๋มิกล้าคิดเรื่องของคนอื่นไปมากกว่านี้แล้ว ความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของเขาค่อยๆถูกกัดเซาะนานเข้าเรื่อยๆ หากไม่เร่งรวบรวมสมาธิให้ดีเกรงว่าอาจพลาดท่าไปโดยง่าย

บนเวทีเบื้องหน้าจัตุรัส สองชายชราผู้เป็นประธานในการทดสอบกำลังสนทนาพูดคุยกันในบางเรื่องอยู่

“ไม่รู้เลยว่าท่านเจ้าเมืองคิดอะไรอยู่ ถึงอนุญาตให้อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้น กับชั้นกลางเข้าร่วมการทดสอบได้ มีปริมาณมากแต่ไร้คุณภาพก็เปล่าประโยชน์!”

“นักสู้ระดับต่ำที่สามารถทานทนต่อพลังสวรรค์ได้ นี่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอันแรงกล้า สิ่งนี้เป็นตัวการันตีความสำเร็จในอนาคตของพวกเขา บางทีความสำเร็จของเด็กเหล่านี้อาจล้ำหน้าไปไกลกว่าคนรุ่นเราก็เป็นได้!”

“เรื่องนั้นก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่หากมองในภาพรวม เราต้องใช้กำลังคนและทรัพยากรปริมาณมหาศาลยิ่งในแต่ละครั้ง มีเพชรในหมู่โคลนตมก็จริง แต่สิ่งที่เราออกเงินลงทุนไปกลับคุ้มแล้วจริงรึ?”

“ในเมื่อท่านเจ้าเมืองคิดว่าคุ้มค่า แล้วจะคิดมากให้หนักเศียรเพื่ออันใด?”

สองชายชราเหล่านี้พบเจอเหล่าอัจฉริยะมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน นักสู้อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นและชั้นกลางทั่วไปกลับไม่มีคุณสมบัติให้ทั้งคู่เหลียวมองได้เลย

ต่อให้มีเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นและชั้นกลางผ่านไปได้ แต่ถึงแม้พวกเขาจะมีศักยภาพซ่อนอยู่ภายในตัว ทว่าหากไม่สามารถนำออกมาใช้ได้เต็มที่ นั้นก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี

คนที่มีทั้งศักยภาพและตระหนักรู้ถึงศักยภาพนั้นดีกลับมีน้อยกว่าที่คิด

แต่ละวันที่เลยผ่าน ผู้คนในลานจัตรัสก็ลดจำนวนลงเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม ความเร็วในการกำจัดผู้คนทิ้งก็ช้าลงเช่นกัน

เมื่อผู้ทดสอบสามารถฝ่าฟันอาทิตย์แรกๆมาได้ ความมุ่งมั่นของพวกเขากลับเป็นอะไรที่แกร่งกล้ามากขึ้น การให้พวกเขายกธงยอมแพ้ในเวลานี้กลับเป็นเรื่องยากมาก!

“อ๊ากกก!!”

ทันใดนั้นเอง ใครบางคนเริ่มทนไม่ไหวอีกต่อไป เสียงกรีดร้องดังลั่นกังวานทั่วจัตุรัสสุดเวทนายิ่ง

ทว่าคนนี้ค่อนข้างแตกต่างจากครั้งก่อนๆ เขาอาเจียนเป็นเลือดอย่างบ้าคลั่ง เสียงกรีดร้องคร่ำครวญดูสยดสยองมากขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าซีดขาวหนักแต่ก็ยังอาเจียนต่อเนื่องไม่หยุดเสียที

ในท้ายที่สุดนี้ เขาก็หยุดหายใจลงไปทั้งแบบนั้น

เหตุพลิกผันเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาทุกคน ทำให้พวกเขาประหลาดใจอย่างมาก

ยามนี้ความตึงเครียดของทุกคนล้นปรี่เจียนสติแตก เห็นคนตายต่อหน้าต่อตาพลันเกิดอาหารหวาดกลัวฉับพลัน บางคนถึงขั้นบีบป้ายไม้แตกคามือในอึดใจต่อมา

จำนวนคนอีกกลุ่มใหญ่อันตรธานหายไปในพริบตา!

การทดสอบรอบพลังสวรรค์นี้มิได้แยกผู้ทดสอบออกจากสัมผัสทั้งห้า ทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นในจัตุรัสล้วนมองเห็นและได้ยิน

ในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักได้ทันที สิ่งที่ชายชรากล่าวเตือนก่อนหน้ากลับหาได้เกินจริงไม่!

มีคนตายจากการทดสอบจริงๆ!

ณ ปัจจุบัน วันที่ยี่สิบสาม จิตวิญญาณที่ลุกโชกช่วงของเซี่ยะจิ่งอวี๋แทบแตกสลายเป็นเสี่ยงๆแล้ว

ทันทีที่เห็นเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นตรงหน้า เขาพลันกระชับป้ายไม้กำแน่นในมือโดยมิรู้ตัว ความอดทนในขณะนี้ของเขาได้มาถึงขีดสุดแล้ว

“ไม่ไหว! ข้าไม่ไหวแล้ว! หากฝืนต่อไปข้าได้ตายเหมือนคนนั้นแน่! สามารถยืนหยัดได้ถึงขนาดนี้นับว่าน่าภูมิใจยิ่งแล้ว!”

วาจาประโยคนี้ยังคงสะท้อนกึงก้องอยู่ในใจจของเซี่ยะจิ่งอวี๋ไม่เสื่อมคลาย

“จะยอมแพ้ตรงนี้? ท่านเพียงกำลังหาเหตุผลรองรับความล้มเหลวเท่านั้น! น่าประทับใจมากนักรึที่ต้องตกม้าตายตรงนี้ เหลืออีกแค่เจ็ดวันเท่านั้น! หากผ่านไปได้ ท่านคือสุภาพบุรุษอย่างแท้จริง! หรือจะหลงงมงายกับคำปลอบใจปลอมๆต่อไป? เช่นนั้นท่านก็สมควรเป็นสตรีเพศดั่งชื่อแล้วกระมัง?”

ในขณะที่เซี่ยะจิ่งอวี๋กำลังจะบีบป้ายไม้ในมือให้แตก ทันใดนั้นเสียงของเย่หยวนก็ดังขึ้นอีกครั้ง

เซี่ยะจิ่งอวี๋ได้ยินแบบนั้นพลันสุดุเงเฮือกและตะโกนลั่นสวนตอบทันที

“บิดาเจ้าเถอะ! ข้ามิใช่สตรีเพศ! ข้า,เซี่ยะจิ่งอวี๋คือสุภาพบุรุษผู้ยืดหยัดและกล้าหาญ! อีกแค่เจ็ดวันเองมิใช่รึ? เช่นนั้นข้าจักแสดงให้เจ้าเห็นเองว่า ข้าแข็งแกร่งเพียงใด! อาซิ่ว,จงดูข้าเอาไว้ ข้านี่แหละยอดชายเหนือบุรุษ!”

เสียงคำรามของชายท้วมผู้นี้ดังสนั่นไปทั่วทั้งชานจัตุรัสกว้าง

ทุกคนพลันได้ยินแบบนั้นต่างเหลียวหลังหันมอง มุ่งความสนใจเข้าใส่ทันทีอย่างอดมิได้ ได้ฟังเสียงโหยร้องคล้ายปลุกกระตุ้นจิตวิญญาณพวกเขาได้ก็จริง ทว่าท้ายที่สุดหลายต่อหลายคนกลับมาถึงขีดกำจัดแล้ว ไม่สามารถอดทนอดกลั้นได้อีกต่อไป พวกเขาบีบป้ายไม้แหลกคามือทีละคนสองคนหาบวับไป

แม้กระทั่งเย่หยวนเองก็แทบจะทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน

แต่โชคยังดี จากประสบการณ์เป็นตายมากมายที่เคยประสบ เขายังลูกฮึดตระเตรียมไว้อีกเยอะ ถึงทรมานเพียงใด แต่ยังไม่หยุดหายใจก็นับว่าสบายดีอยู่

อย่างไรก็ตาม เสียงตะโกนของเซี่ยะจิ่งอวี๋ ทำเอาสองชายชราบนเวทีสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจจนอดเหลียวมองมิได้เช่นกัน

“เอ๊ะ? เจ้าเด็กร่างท้วมนั้น เห็นว่ามิทันไรก็ทนไม่ไหวแล้วตั้งแต่วันแรกๆ เหลือเชื่อโดยแท้ที่ยังทนอยู่ได้จวบจนตอนนี้”

“ฟู่วว…นี่มันมาถูกต้อง!”

“หื้ม? ก็ปกติดีมิใช่รึ? เขาเป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นปลาย หากตัดความใจเสาะออกไป ก็ควรทนได้จนบัดนี้น่ะถูกแล้ว!”

“ข้ามิได้หมายถึงเขา! ลองดูเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆสิ! น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!”

“ห่ะ? อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลาง? ข้า…ข้ามิได้ตาฟาดไปใช่ไหม? อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางยังสามารถทนได้จวบจนตอนนี้? น้อยครั้งจริงๆที่ได้เห็น!”

“ไม่ใช่แค่นั้น! เจ้าสังเกตเห็นสีหน้าการแสดงออกของเขาหรือไม่? สีหน้ายังคงสงบเยือกเย็น ราวกับพลังสวรรค์นี้กลับไม่มีผลอะไรกับเขาเลย!”

“เหลือ…เหลือเชื่อ! แม้นในอดีตจะเคยพบเห็นอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางเหลือรอดจนถึงบัดนี้อยู่บ้าง แต่ไม่เคยมีใครที่จะสงบเยือกเย็นเฉกเช่นเด็กคนนี้มาก่อน!”

“นอกจากนี้เจ้าเห็นหรือไม่? บริเวณใกล้ๆสองคนนั้นกลับเหลือคนไม่มากแล้ว เมื่อครู่ก่อนที่เจ้าเด็กร่างท้วมตะโกนลั่นออกมา คล้ายว่าเขากำลังสนทนากับใครบางคนอยู่! หรือเป็นไปได้ไหมที่…เด็กหนุ่มคนนั้นที่อยู่ข้างๆจะเป็นคนกล่าวกระตุ้นจิตวิญญาณของอีกฝ่ายลุกโชนอีกครั้ง?”

ทั้งสองสบตากันไปมา ต่างฝ่ายต่างฉายแววความประหลาดใจออกมาอย่างปกปิดไม่อยู่

เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางสามารถรับมือได้กับพลังสวรรค์ในวันที่ยี่สิบสามได้อย่างสบายๆ ถึงขั้นที่ว่ามีเวลามากพอมากล่าวกระตุ้นคนอื่นให้อย่ายอมแพ้ได้!

ความมุ่งมั่นระดับนี้น่ากลัวเกินไป!

แต่เริ่มเดิมทียังมีผู้เข้าร่วมทดสอบเหลือประมาณหลายหมื่นคนเห็นจะได้ ดังนั้นชายชราทั้งสองจจึงมิทันสังเกตเห็นเย่หยวนกับเซี่ยะจิ่งอวี๋

อย่างไรก็ตาม เพราะเสียงตะโกนของเซี่ยะจิ่งอวี๋ จึงสามารถดึงดูดความสนใจของทุกคนได้เป็นผลสำเร็จ

มิใช่แค่สองชายชราหรือผู้เข้าร่วมการทดสอบที่เหลือ แม้แต่เหล่าศิษย์ของสถานศึกษาที่เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลการทดสอบ ต่างมุ่งความสนใจมาที่เซี่ยะจิ่งอวี๋เช่นกัน

ทันใดนั้นเอง ศิษย์คนนั้นที่เป็นคนแจกป้ายไม้ให้เย่หยวนพลันเหลียวพบเย่หยวนโดยมิตั้งใจ แต่นั้นทำเอาเขาจ้องเขม็งมองเย่หยวนไม่ละสายตา ทั่วทั้งใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความตกตะลึงเกินพรรณนา

“เป็นอะไรไปเจียนเฉิน? ตกใจราวกับสมบัติมีชีวิตจิตใจขึ้นมา? เจ้าอ้วนท้วมคนนั้นแม้จะมิได้แข็งแกร่งอันใดนัก แต่ทนอยู่ได้จนถึงขนาดนี้กลับมิใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ”

ยังมีศิษย์อีกคนที่อยู่ข้างๆ เมื่อเห็นสีหน้าการแสดงออกของเจียนเฉินเปลี่ยนไป เขาก็อดเอ่ยถามมิได้

พวกเขาสองคนนี้ต่างเป็นศิษย์ชั้นในด้วยกันทั้งคู่ คนหนึ่งนามว่าเจียนเฉิน ส่วนอีกคนซ่งฟาง ทั้งสองคือศิษย์ค่ายปฐพี

เจียนเฉินเหลือบมองเขาปราดหนึ่งก่อนกล่าวว่า

“อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นปลายยังสามารถทนอยู่ได้จวบจนตอนนี้หาใช่เรื่องแปลกอันใด ทว่าอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางที่ยังรอดชีวิตจนบัดนี้ได้ ต่างทำให้ผู้คนตกตะลึงอย่างแท้จริง! เจ้าเห็นเด็กหนุ่มอีกคนที่อยู่ข้างๆหรือไม่ นั้นแหละเป็นคนที่ข้าบอก ตอนที่ข้าแจกป้ายไม้ให้เขา เขาดันเรียกข้าว่าศิษย์พี่อาวุโส ตอนนั้นข้านี่แหละดูถูกเด็กคนนี้สุดหัวใจ! แต่ไม่คิดไม่ฝันแม้สักนิด เขายังทนอยู่ได้จนถึงตอนนี้จริงๆ!”

ทีแรกซ่งฟางยังไม่ทันสังเกตเห็น ยามนี้ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยอธิบาย คู่สายตาพลันเข้าจับจ้องไปที่เย่หยวนทันทีอย่างอดประหลาดใจมิได้เช่นกัน

“เดี๋ยวก่อน! ข้ามิยักรู้ว่าเจ้าเองก็เคยสายตาฝ้าฟางขนาดนี้! พินิจจากรูปการณ์เขายังดูสบายๆหาได้ทรมานเหมือนคนอื่นไม่ รอบพลังสวรรค์ไม่สามารถเขี่ยเด็กคนนี้ตกรอบได้แน่! แต่ข้าเองก็ไม่มั่นใจนักว่าเขาจะได้กี่แต้ม”

ซ่งฟางกล่าวขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ

…………………………………