Sign in Buddha’s palm 44 แปลกพิกล

 

 

ที่เขาหวู่หนาน

 

ซูฉินมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับกลมารฟ้า

 

ในฐานะที่มันเป็นสุดยอดความลับของพรรคมาร ระดับของวิชากลมารฟ้าคงจะจัดอยู่ในยี่สิบอันดับแรกในบรรดาทักษะวิชาที่ซูฉินเชี่ยวชาญเป็นแน่

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทสุดท้ายของกลมารฟ้า วิถีเพาะเมล็ดพันธุ์ปีศาจอันเป็นแก่นของวิทยายุทธฝ่ายมาร ระดับความซับซ้อนของมันถึงขั้นติดอันดับหนึ่งในสิบได้เลย เป็นรองก็แต่วิชาฝ่ามือยูไล กับเคล็ดวิชาจำนวนหนึ่งของมารพุทธะ

 

“แก่นวิถีมารเพาะเมล็ดพันธุ์ปีศาจ”

 

“ด้วยวิถีเต๋าเข้าสู่มาร”

 

“ด้วยการเป็นมารสู่วิถีเต๋า”

 

รูปแบบอักขระวิถีทางแห่งมารจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งชนกันไปมาภายในจิตของซูฉิน หลอมรวมเข้าด้วยกันแล้วระเหิดหาย

 

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง

 

ซูฉินก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น

 

“แก่นวิถีมารเพาะเมล็ดพันธุ์ปีศาจสมกับชื่อเสียงที่ได้ยินมาจริงๆ”

 

ในส่วนลึกของนัยน์ตาซูฉินนั้นมีร่องรอยมารร้ายปรากฏขึ้นจางๆ แต่หลังจากนั้นเจตจำนงแห่งมารทั้งหมดก็ถูกองค์ยูไลทองคำระงับไป

 

“น่าเสียดายที่วิถีมารไม่ใช่ทางที่ข้าอยากจะเดิน”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย

 

แม้แต่เคล็ดวิชาประจำตัวของมารพุทธะเขาก็ใช้เพื่อเรียนรู้และอ้างอิงเท่านั้น ไม่ได้ใช้เป็นวิชาหลัก

 

“ใกล้จะถึงเวลาแล้ว”

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นมองขอบฟ้า ก้าวเท้าออกไปข้างหน้าแล้วทั้งร่างก็หายไปจากสถานที่นั้น

 

 

เยี่ยนเฉิง ภูมิภาคคัง (คังโจว)

 

เยี่ยงเฉิงเป็นเมืองเล็กๆ ที่ไม่เป็นที่สะดุดตานักในอาณาจักรของราชวงศ์ถัง แต่วันนี้เยี่ยนเฉิงกลับมีชีวิตชีวา ถนนเต็มไปด้วยโคมไฟหลากสี

 

นอกจากนี้ยังมีจอมยุทธที่มักไม่ค่อยได้พบเห็นในช่วงเวลาปกติ แต่ตอนนี้สามารถพบเห็นได้หลังจากเดินไปไม่กี่ก้าวเท่านั้น

 

เพราะวันนี้เป็นวันมงคลสมรสของบุตรีตระกูลซู จัดขึ้นที่เมืองเยี่ยน (เยี่ยนเฉิง)

 

ตระกูลซูเป็นตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในเยี่ยนเฉิง และหัวหน้าตระกูลซูชื่อหมินใช้โอกาสนี้ในการเชิญเหล่าวีรบุรุษของเมือง พรรคน้อยใหญ่ย่อมต้องมาร่วมเพื่อเป็นการรักษาไมตรีต่อหัวหน้าตระกูลซู

 

นอกจากนั้น

 

ซูชื่อหมินไม่เพียงแต่จะเป็นหัวหน้าตระกูลซู แต่ยังเป็นผู้ฝึกยุทธในระดับชั้นที่ห้า

 

บางทีในทั่วทั้งเขตแดนราชวงศ์ถังทั้งหมด ผู้ฝึกยุทธระดับชั้นที่ห้าไม่ได้นับเป็นตัวอะไรเลย แต่สำหรับที่คังโจวที่แสนห่างไกล ผู้ฝึกยุทธที่มีฝีมือถึงระดับชั้นที่ห้าถือเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างแน่นอน

 

ประตูคฤหาสน์ต้อนรับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียด จอมยุทธจำนวนนับไม่ถ้วนต่างทยอยกันเข้ามาเรื่อยๆ

 

ตระกูลซูที่ร่ำรวยและใจกว้างได้เชิญเหล่าสุภาพชนในคังโจวมาเข้าร่วมงาน ตราบใดที่มาที่นี่เพื่อแสดงความยินดีกับบุตรีตระกูลซู พวกเขาก็สามารถเข้าไปรับ‘ไวน์แต่งงาน‘ได้สักแก้วในคฤหาสน์ตระกูลซู

 

แน่นอนว่าเรื่องของไวน์นั้นเป็นเรื่องรอง เหล่าจอมยุทธทั้งหลายล้วนได้ประโยชน์จากการใช้โอกาสนี้รวมตัว พบปะพูดคุยกัน

 

ตอนนี้

 

ภายในคฤหาสน์ตระกูลซู

 

จอมยุทธจำนวนนับไม่ถ้วนจากคังโจวยังคงพูดคุยกันอยู่ตลอด

 

“เอ๋?”

 

“พระก็ดื่มได้ด้วยงั้นหรือ?”

 

ในตอนนั้นเองมีชายหนุ่มคนหนึ่งมองไปยังพระหนุ่มที่กำลังจะหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาแล้วพูดติดตลก

 

ชายหยาบโลนคนนี้ไม่ได้มีความหมายอื่นแอบแฝง ที่นี่ตอนนี้มันมีทั้งปลาและมังกรมารวมตัวอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลซู และไม่ว่าพระหนุ่มคนนี้จะเป็นเพียงปลาหรือเป็นมังกร เขาก็ไม่อาจทราบได้

 

“เป็นพระ?”

 

พระหนุ่มยิ้มตอบ

 

พระหนุ่มรูปนี้ก็คือซูฉินที่รีบร้อนเดินทางมานั่นเอง

 

“ข้าไม่เคยได้ยินองค์ยูไลกล่าวห้ามพระสงฆ์จากการดื่ม”

 

ซูฉินมองไปที่ชายที่ดูหยาบโลนอย่างช้าๆ แบบไม่ได้ใส่ใจมากนัก

 

หลังจากได้ยินคำพูดนั้นชายที่ดูหยาบโลนก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และเขาก็รู้สึกว่าที่ซูฉินพูดมาก็ไม่ได้ผิดอะไร

 

แล้วถึงแม้พระสงฆ์จะเว้นจากเนื้อสัตว์ ปลา และของมึนเมา แต่กฎข้อบังคับเหล่านี้ล้วนมีมาช้านานและไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่ากฎเหล่านี้เป็นพระวจนะจากองค์ยูไลจริงๆ

 

หากองค์ยูไลไม่ได้กล่าวสิ่งเหล่านี้จริงๆ ไยจึงต้องปฏิบัติตาม?

 

“เจ้าเป็นพระที่น่าสนใจดีนี่”

 

ชายหยาบโลนกล่าวพร้อมยิ้มกว้าง

 

เขาเดินทางไปเหนือจรดใต้ พบเห็นผู้คนมากมาย รวมถึงพระหลายต่อหลายรูป

 

แต่พระที่ชายหยาบโลนพบเจอล้วนแต่คร่ำครึ เป็นครั้งแรกที่พบพระที่สบายๆ ง่ายๆ เช่นซูฉิน

 

ซูฉินไม่ได้สนใจชายหยาบโลนคนนี้ เขาเหลือบมองไปที่ ‘ไวน์งานแต่ง‘ ที่วางตรงหน้า หยิบมันขึ้นมาอย่างเบามือ ถือค้างไว้ในทิศทางที่ตรงไปยังคฤหาสน์ตระกูลซูจากนั้นจึงดื่มเข้าไปหมดทั้งแก้วในอึกเดียว

 

น้องสาวตัวน้อย ไม่ได้พบเจอกันเสียนาน

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ส่วนลึกของคฤหาสน์ตระกูลซู

 

ซูเยว่หยุนแสดงสีหน้าไร้อารมณ์

 

“พี่สามจะมาหรือไม่?”

 

ซูเยว่หยุนอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา

 

ซูชื่อหมิน ผู้นำตระกูลซูที่อยู่ข้างๆ ทำได้แต่ส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “วัดเส้าหลินมีกฎเข้มงวดมาก พ่อทำได้เพียงส่งข่าวทางจดหมายเท่านั้น แต่ฉินเอ๋อจะออกมาได้หรือไม่นั้นอยู่นอกเหนือการตัดสินใจของพ่อแล้ว”

 

ซูชื่อหมินถอนหายใจเบาๆ

 

เมื่อสิบห้าปีก่อน ศัตรูของตระกูลซูนาม ‘เหยียนหั่ว‘ บุกเข้ามาและทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส

 

ในตอนนั้นซูชื่อหมินคิดว่าการล่มสลายของตระกูลกำลังมาถึงแล้ว และทราบว่าวัดเส้าหลินนั้นง่ายต่อการหลบหนีเข้าไป ดังนั้นจึงต้องกัดฟันส่งบุตรชายคนที่สามของตนเข้าไป

 

ท้ายที่สุดแล้วการบวชเป็นพระตลอดชีวิตคงจะดีกว่าตกตายในเงื้อมมือศัตรู

 

แต่สิ่งที่ซูชื่อหมินไม่ได้คาดคิดมาก่อนนั่นก็คือเขาได้พบเข้ากับผู้พิทักษ์ประจำเขตคังโจว

 

ผู้พิทักษ์เขตมีความชื่นชมเลื่อมใสตัวเขาไม่น้อยจึงยื่นมือช่วยเหลือผลักดันศัตรูของตระกูลซูให้ถอยร่นกลับไป

 

“ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง”

 

ซูชื่อหมินถอนหายใจออกมาเบาๆ

 

เขาจะไปคาดคิดได้อย่างไรว่าตระกูลซูจะสามารถรอดปลอดภัยจากภัยพิบัติในครั้งนั้นมาได้?

 

 

ภายในคฤหาสน์ตระกูลซู

 

จอมยุทธมากหน้าหลายตากำลังพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวในยุทธภพอย่างมีความสุข

 

ซูฉินนั่งนิ่งเงียบเชียบ

 

สิบห้าปีผ่านไป หลายสิ่งยังคนเหมือนดังเมื่อก่อน แต่ผู้คนย่อมเปลี่ยนผัน ตัวอย่างเช่น หากให้ตัวเขาไปยืนอยู่ต่อหน้าซูชื่อหมิน อีกฝ่ายก็คงจดจำตนมิได้กระมัง

 

“เจ้ารู้หรือไม่ว่ายังมีนายน้อยสามตระกูลซูอยู่อีกคน?”

 

“นายน้อยสาม?”

 

จอมยุทธเหล่านั้นมองไปรอบๆ อย่างงุนงง

 

พวกเขาเคยได้ยินเพียงพี่ชายใหญ่ตระกูลซู น้องรองตระกูลซู แล้วก็บุตรีตระกูลซูเท่านั้น ส่วนนายน้อยสามตระกูซูนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินคำนี้

 

“ฮี่ฮี่”

 

“เจ้าทุกคนอาจจะไม่รู้”

 

ผู้ชายท่าทางหยาบโลนกล่าวออกอย่างคนที่เหนือกว่า “มันเป็นเรื่องราวเมื่อสิบห้าปีก่อน”

 

ทันทีที่กล่าวคำ มันก็กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของทุกคน แล้วพวกเขาก็เริ่มถามคำถาม

 

ชายหยาบโลนไม่ได้ปกปิดแล้วกล่าวบอกออกไปตามตรงว่า “สิบห้าปีที่แล้วตระกูลซูประสบภัยพิบัติครั้งใหญ่ หลังหายนะครั้งนั้นนายน้อยสามตระกูลซูก็หายตัวไป ไม่มีใครทราบว่านายน้อยสามคนนี้ไปอยู่ที่ไหน”

 

“แม้แต่ในหมู่สมาชิกของตระกูลซูก็ถูกห้ามไม่ให้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป”

 

ชายหยาบโลนเล่าพลางเหลือบมองไปรอบๆ แล้วลดเสียงลง พูดขึ้นว่า “ข้าเดาว่านายน้อยสามตระกูลซูน่าจะจบชีวิตลงแล้วจากภัยพิบัติเมื่อสิบห้าปีก่อน”

 

“ไม่เช่นนั้นทำไมเขาไม่ปรากฏตัวออกมาเลยหลังจากผ่านไปหลายปี”

 

การวิเคราะห์ของชายหยาบโลนนั้นมีเหตุผลและได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี จอมยุทธคนอื่นๆ ก็ยังแอบพยักหน้า แม้แต่ซูฉินเองยังต้องเหลือบมองชายท่าทางหยาบโลนคนนั้นถึงสองสามครั้ง

 

“พระสงฆ์ท่านนี้ ท่านคิดว่าสิ่งที่ข้ากล่าวมานั้นสมเหตุสมผลหรือไม่”

 

ชายท่าทางหยาบโลนดูเหมือนจะสังเกตเห็นการจับจ้องของซูฉินและหันไปมองซูฉินด้วยรอยยิ้ม

 

“มันก็ดูเข้าทีอยู่”

 

ซูฉินกล่าวคำอย่างจริงจัง

 

ทันใดนั้นเอง

 

ในตอนนี้มีเสียงดังขึ้นมาทางประตูของคฤหาสน์ตระกูลซู

 

“เจ้าบ่าวเจ้าสาวออกมาแล้ว”

 

เมื่อได้ยินเสียงนั้น เหล่าจอมยุทธทั้งหลายก็พากันเข้าไปออที่หน้าประตู

 

พวกเขาต้องการจะรู้ว่าใครกันที่ได้ตบแต่งกับบุตรีตระกูลซู

 

ด้วยความรวดเร็ว

 

ท่ามกลางสายตาของทุกคน ชายในชุดเจ้าบ่าวก็เดินเข้ามา

 

ใบหน้าของชายคนนั้นดูธรรมดา แม้ว่าจะดูมีระดับ สวมเครื่องประดับที่ดูมีค่ามีราคา แต่เขานั้นก็เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง

 

“อะไรกัน?”

 

“บุตรีตระกูลซูกำลังจะแต่งงานกับคนธรรมดา ไม่ใช่จอมยุทธหรอกหรือ?”

 

ผู้คนในงานมากมายต่างมองหน้ากัน ภายในใจรู้สึกเหลือเชื่อ

 

ตระกูลซูเป็นตระกูลของผู้ฝึกยุทธ แม้แต่ยามเฝ้าประตูก็เป็นผู้ฝึกยุทธ ตัวซูเยว่หยุนบุตรีตระกูลซูก็เป็นผู้ฝึกยุทธเช่นกัน

 

แต่ตอนนี้พวกเขากลับพบว่าลูกเขยของตระกูลซูที่สูงสง่ากลับกลายเป็นเพียงคนธรรมดา

 

เมื่อทุกคนกำลังพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

ซูฉินมองไปที่เจ้าบ่าวอย่างจงใจ

 

“นี่คือ?”

 

ซูฉินเบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะในทันทีแล้วมองไปที่เจ้าบ่าวอย่างระมัดระวัง พลันมีสีสันแปลกๆ ปรากฏขึ้นในการจ้องมองของเขา