ตอนที่ 289-1 พิธีขึ้นครองราชย์อันยิ่งใหญ่

ชายาเคียงหทัย

“เจ้ามาทำอันใดที่นี่” หลิ่วกุ้ยเฟยที่ไม่อาจข่มตาหลับด้วยเพราะความเจ็บปวด เงยหน้าขึ้นก็เห็นเจินหนิงยืนมองตนอยู่ที่ปากประตูด้วยใบหน้าขาวซีด พลางเอ่ยถามขึ้นอย่างอารมณ์ไม่ดี

“องค์หญิงเจินหนิงเดินเข้ามา ค่อยๆ วางขวดยาลงข้างเตียง

หลิ่วกุ้ยเฟยปรายตามองนางพลางเอ่ยเรียบๆ ว่า “ทายาให้ข้า”

องค์หญิงเจินหนิงกัดมุมปาก คิดอยากพูดอันใด แต่เมื่อเห็นสภาพที่หลิ่วกุ้ยเฟยนอนอยู่บนเตียงโดยมีเลือดอาบเต็มตัว ในที่สุดก็เข้าไปจัดการทายาลงที่แผลให้

รอยแผลของหลิ่วกุ้ยเฟยฉกรรจ์นัก เลือดที่ไหลออกมามิได้มาจากรอยเนื้อแตกจากการถูกโบยเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีรอยแส้ที่ถูกตำหนักติ้งอ๋องเฆี่ยนมาอีกด้วย

เดิมทียามอยู่ตำหนักติ้งอ๋อง ถึงแม้จะเจ็บปวดเพียงใด แต่ก็ยังพอทนได้ แต่เมื่อกลับมาแล้ว กลับค่อยๆ เจ็บปวดมากขึ้นเรื่อยๆ ปานประหนึ่งเจ็บลึกเข้าไปถึงกระดูกก็ไม่ปาน ซึ่งทำให้หลิ่วกุ้ยเฟยทรมานเป็นอย่างยิ่ง

ตัวหลิ่วกุ้ยเฟยเองเดิมทีพอเป็นวรยุทธอยู่บ้าง ในใจจึงคาดเดาไปว่า เป็นไปได้มากที่ยามองครักษ์จัดการลงโทษนางนั้นคงลอบทำอันใดนาง เมื่อคิดถึงจุดนี้ ความโกรธแค้นในใจที่มีต่อเยี่ยหลีกับติ้งอ๋องจึงยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ

องค์หญิงเจินหนิงค่อยๆ เปิดเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นบนตัวนางออกอย่างระมัดระวัง ตัวนางเป็นองค์หญิง เดิมทีก็ทำเรื่องพวกนี้ไม่ค่อยเป็นอยู่แล้ว ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้หลิ่วกุ้ยเฟยเจ็บขึ้นมาอีก โชคดีที่ยามนี้หลิ่วกุ้ยเฟยยังรู้ตัวว่า นอกจากเจินหนิงแล้วนางไม่อาจหาผู้ใดมาช่วยเหลือได้อีก จึงจำต้องกัดฟันทนไว้

เมื่อตัดเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดจนเป็นสีแดงเข้มออกไปหมดแล้ว รอยเนื้อสดๆ เละๆ ที่เต็มไปด้วยคราบเลือดที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า ยิ่งทำให้องค์หญิงเจินหนิงคิดอยากอาเจียนออกมา แต่ก็ทำได้เพียง ใช้มือที่สั่นเทารีบทำความสะอาดปากแผลก่อนจะใส่ยาลงไปเท่านั้น จากนั้นถึงค่อยเริ่มจัดการบาดแผลจากแส้ที่ดูไม่หนักหนาเท่าไรนักต่อ

เมื่อจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว บนใบหน้าเรียวเล็กของเด็กสาวก็อาบชุ่มไปด้วยเหงื่อ

ยาที่องค์หญิงเจินหนิงนำมา เป็นยาสมานแผลชั้นเลิศ เมื่อใส่ลงไปแล้ว ถึงแม้หลิ่วกุ้ยเฟยจะยังรู้สึกเจ็บปวดอยู่ แต่ก็รู้สึกทนได้มากขึ้นเรื่อยๆ

นางนอนแบบอยู่บนเตียง ปิดตาลงด้วท่าทีสลึมสลือ “เจ้ากลับไปเถิด คืนพรุ่งนี้เอาเสื้อผ้าสะอาดๆ มาด้วยล่ะ”

องค์หญิงเจินหนิงกัดริมฝีปาก เอ่ยเสียงเบาว่า “เสด็จแม่ เจินหนิง…พรุ่งนี้มาไม่ได้แล้ว”

“หมายความว่าอย่างไร” หลิ่วกุ้ยเฟยลืมตาขึ้น เอ่ยถามเสียงเย็น

องค์หญิงเจินหนิงเอ่ยว่า “เมื่อครู่ที่กลับไป เจินหนิงได้พบกับเสี้ยวเอ๋อร์ เสด็จแม่…เสด็จแม่ต้องระวังตัวด้วย เสด็จย่าคิดจะฆ่าท่าน”

หลิ่วกุ้ยเฟยจ้องบุตรสาวนิ่ง ก่อนเอ่ยถามว่า “ผู้ใดบอกเจ้า”

องค์หญิงเจินหนิงส่ายหน้า “เมื่อครู่ตอนที่ข้าเดินผ่านอุทยาน ได้ยินขันทีที่เดินผ่านมาคุยกัน บอกว่า…เสด็จแม่ท่านไปล่วงเกินติ้งอ๋องเข้า ไทเฮา ไทเฮาจึงต้องการฆ่าท่าน”

หลิ่วกุ้ยเฟยหรี่ตาลง กัดฟันเอ่ยด้วยความโกรธว่า “เป็นเขาจริงๆ! น้องชายเจ้าว่าอย่างไร”

องค์หญิงเจินหนิงได้แต่ส่ายหน้าไม่ยอมพูด แต่มีหรือหลิ่วกุ้ยเฟยจะไม่เข้าใจ ถึงแม้จะนึกสลดใจที่บุตรชายไร้เยื่อใยต่อตนเช่นนี้ แต่นางก็ผลักความรู้สึกนั้นออกไปอย่างรวดเร็ว เอ่ยกับองค์หญิงเจินหนิงด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งว่า “ยามนี้ข้าตกที่นั่งลำบากแล้ว พวกเจ้าพี่น้องคงกลัวว่าข้าจะทำให้พวกเจ้าเดือดร้อน ถึงได้คิดอยากตีตัวออกห่างข้าใช่หรือไม่”

องค์หญิงเจินหนิงมองสตรีตรงหน้าด้วยความเสียใจ ถึงแม้จะแย้มยิ้มอยู่ประหนึ่งดอกไม้ แต่กลับทำให้นางรู้สึกหนาวเหน็บยิ่งนัก บางที อาจด้วยเพราะเหตุผลเหล่านี้ทำให้พวกเขาคิดอยากตีตัวออกห่าง แต่เหตุผลหลักๆ ในนั้นก็ด้วยเพราะความไร้เยื่อใยของมารดาผู้ให้กำเนิดของตน แล้วยังมีเรื่องที่นางกระทำเหล่านั้นอีก จะให้คนที่เป็นบุตรเช่นพวกเขายอมรับแต่โดยดีได้เช่นไร

ไม่นาน หลิ่วกุ้ยเฟยก็หุบยิ้มลง มององค์หญิงเจินหนิงพลางถอนใจเบาๆ ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างจริงใจว่า “เหตุผลที่พวกเจ้าต้องทำเช่นนี้ข้าเข้าใจดี ข้าที่เป็นเสด็จแม่ก็ไม่เคยให้ความรักแก่พวกเจ้าเลยมาตั้งแต่เล็กๆ พวกเจ้าดูแลตนเองกันให้ดีก็แล้วกัน”

“เสด็จแม่…” องค์หญิงเจินหนิงมองนางด้วยความเสียใจ

หลิ่วกุ้ยเฟยยกมือขึ้นดึงนางมาตรงหน้า เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าเพียงขอร้องเจ้า อีกสองวันช่วยส่งเสื้อผ้าสะอาดๆ สองชุดมาให้ข้า ข้าเป็นคนเย่อหยิ่งถือดีมาตลอดชีวิต ต่อให้ต้องตาย ก็จะตายอย่างสะอาดสอ้าน จะไม่มีทางให้นังแพศยาพวกนั้นมาหัวเราะเยาะข้าได้!”

“เสด็จแม่…” องค์หญิงเจินหนิงเอ่ยเสียงเครือ “เสด็จแม่ท่านวางใจเถิด คืนพรุ่งนี้…คืนพรุ่งนี้เจินหนิงจะนำเสื้อผ้ามาให้ท่าน”

นัยน์ตาหลิ่วกุ้ยเฟยเป็นประกายพอใจ เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่ต้องรีบร้อน เจ้าออกมาสองคืนติดๆ กันอาจถูกคนจับได้ อีกไม่กี่วันฮ่องเต้พระองค์ใหม่ก็จะขึ้นครองราชย์แล้วกระมัง”

“อีกสามวัน อีกสามวันน้องสิบก็จะขึ้นครองราชย์แล้ว” องค์หญิงเจินหนิงเอ่ยตอบ

หลิ่วกุ้ยเฟยพยักหน้า “ดี เจ้าอาศัยจังหวะนั้นมาหาข้าก็แล้วกัน ส่วนท่านตากับน้องชายเจ้า…ก็ไม่ต้องบอกพวกเขาแล้ว เดี๋ยวจะทำให้พวกเขาไม่พอใจ”

องค์หญิงเจินหนิงพยักหน้า “ลูกเข้าใจแล้ว เสด็จแม่วางใจเถิด ลูกไปก่อนล่ะ”

“ไปเถิด” หลิ่วกุ้ยเฟยมององค์หญิงเจินหนิงที่ค่อยๆ เดินหายไปจากประตูทีละก้าวๆ สายตาที่เคยดูอบอุ่นก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความเย็นเยียบ รอยยิ้มที่มุมปากก็ยิ่งดูเยียบเย็นอย่างประหลาด คิดจะเอาข้าถึงตาย…ไม่ง่ายเพียงนั้นหรอก!

ชั่วเวลาสามวันผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ในสามวันนี้ ทุกคนต่างหัวหมุนอยู่กับพระราชพิธีขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ย่อมไม่มีผู้ใดมีแก่ใจมาสนใจสตรีที่ถูกลดขั้นลงเป็นกุ้ยเหรินและถูกขังอยู่ในวังเย็น

ในวันพระราชพิธีนั้น ทั่วทั้งเมืองหลวงของต้าฉู่เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความยินดี แม้แต่ความเศร้าโศกเสียใจจากการสวรรคตของฮ่องเต้พระองค์ก่อนก็ยังมลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง แต่การเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ทั้งๆ ที่อยู่ในช่วงไว้ทุกข์นั้น ย่อมทำให้บัณฑิตจำนวนมากเกิดความไม่พอใจ แต่การขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ก็เป็นพิธีใหญ่ของแคว้น อีกทั้งฮ่องเต้พระองค์ใหม่ก็ยังทรงพระเยาว์ ทุกอย่างจึงมีท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการเป็นผู้จัดการแทน ยามนี้ทั้งในและนอกต้าฉู่ล้วนกำลังเผชิญภัย เดิมก็จำเป็นต้องมีเรื่องมงคลมาผ่อนคลายบรรยากาศลงสักหน่อย ดังนั้นคนโดยมากจึงต่างพากันนิ่งเงียบไม่คัดค้าน

ม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีที่มีฐานะเป็นติ้งอ๋องกับพระชายา ทั้งยังเป็นคนที่กุมหางเสือกองทัพตระกูลม่ออยู่ ย่อมต้องมาปรากฏกายในงานพระราชพิธีใหญ่ เพียงแต่พวกเขาทั้งสองมิได้มาร่วมงานในฐานะขุนนางหรือเจ้าบ้าน แต่มาร่วมงานในฐานะแขกเช่นเดียวกับคณะทูตที่รีบเดินทางมาร่วมงาน ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ขุนนางเก่าแก่ทั้งหลายของต้าฉู่รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ทำให้คนอีกจำนวนมากนึกวางใจ

ต้าฉู่ถึงแม้อำนาจของแคว้นจะสู้แต่ก่อนไม่ได้ แต่ก็ยังถือว่าเป็นแคว้นใหญ่ แต่ละแคว้นหากมีเวลาเดินทางมาทัน ก็ล้วนส่งคณะทูตมาร่วมแสดงความยินดีด้วยทั้งสิ้น ถึงแม้บุคคลสำคัญเช่นเจิ้นหนานอ๋อง องค์หญิงอันซี และฮ่องเต้แห่งเป่ยหรงจะมิได้มาร่วมงานด้วยตนเอง แต่ก็ได้ส่งทูตที่มีฐานะไม่ต่ำนักมาร่วมงาน ซึ่งก็ไม่ถือเป็นการเสียมารยาท

เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยานั่งอยู่ตรงเก้าอี้ตัวหน้าสุดในหมู่เก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้ให้คณะทูตจากแต่ละแคว้น เขายังคงอยู่ในชุดสีขาวปักด้วยด้ายสีเงิน แค่เพียงนั่งสบายๆ อยู่ ณ ที่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้สายตาทุกคู่หันไปรวมอยู่ที่ตัวเขาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เบื้องหน้าทั้งสองยังมีเด็กน้อยที่หน้าตาเหมือนตุ๊กตาที่ประณีตน่ารักนั่งอยู่อีกด้วย

ถึงแม้เด็กน้อยหน้าตาประณีตประหนึ่งรูปสลักหยกในชุดขาวที่นั่งอยู่บนตักเยี่ยหลี จะไม่มีผู้ใดรู้ว่าเป็นผู้ใด แต่เด็กน้อยในชุดสีดำหน้าตาหล่อเหลาที่เริ่มส่อแววว่าจะมีความเย่อหยิ่งถือดีที่อยู่บนตักม่อซิวเหยา ทุกคนต่างรู้กันดีว่าคือผู้ใด ซื่อจื่อแห่งตำหนักติ้งอ๋อง ทายาทเพียงคนเดียวในยามนี้ของม่อซิวเหยา นายน้อยแห่งกองทัพตระกูลม่อ…ม่ออวี้เฉิน เด็กน้อยที่แม้แต่ชื่อก็ยังตั้งขึ้นอย่างหยิ่งผยองไม่ธรรมดา ที่แค่เพียงเกิดมาชะตาก็ได้กำหนดให้เขาต้องตกอยู่ภายใต้สายตาผู้คนเสียแล้ว

“องค์หญิงซีฝู” ยังอีกนานกว่าจะถึงเวลาเริ่มพิธีใหญ่ องค์หญิงซีฝูก็เดินเข้ามาโดยมีนางกำนัลคอยประคอง เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยารีบลุกยืนขึ้นต้อนรับ

องค์หญิงซีฝูโบกมือเอ่ยว่า “เอาเถิด ในเมื่อผู้มาเป็นแขกก็ไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้หรอก” นัยน์ตาของหญิงชราที่ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยแต่ยังคงมีประกายคมกล้าฉลาดเฉลียว ฉายแววเสียดายและจนใจอยู่ลึกๆ ทั้งยังมีความเศร้าโศกอยู่จางๆ อีกด้วย

“อวี้เฉินน้อย ยังจำข้าได้หรือไม่” องค์หญิงซีฝูมองม่อตัวน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของม่อซิวเหยาพลางเอ่ยถามด้วยความรักใคร่

ม่อตัวน้อยกะพริบตาปริบๆ พยักหน้าเอ่ยว่า “เสด็จย่าพ่ะย่ะค่ะ”

“ตาย…” องค์หญิงซีฝูอุทานรับด้วยความยินดี “อวี้เฉินน้อยยังจำย่าได้หรือ เหตุใดถึงไม่มาเล่นกับย่าเล่า รังเกียจที่ย่าแก่หรือ”

ม่อตัวน้อยมององค์หญิงซีฝู พลางเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “อวี้เฉินต้องอ่านหนังสือ ต้องฝึกวรยุทธ ออกไปเล่นไม่ได้ เสด็จย่ามาเล่นที่บ้านเราสิพ่ะย่ะค่ะ เช่นนี้อวี้เฉินก็จะมีเวลาเล่นกับเสด็จย่าแล้ว”

“เจ้าเด็กหัวใส” องค์หญิงซีฝูเอ่ยว่ากลั้วหัวเราะ มองม่อตัวน้อยด้วยความเสียดาย น่าเสียดายที่ในราชวงศ์ไม่มีเด็กที่ฉลาดหลักแหลมเช่นนี้

“เสด็จย่า นี่คือเพื่อนใหม่ของข้า ท่านเรียกเขาว่าเอ๋อน้อยก็ได้พ่ะย่ะค่ะ” ม่อตัวน้อยเอ่ยแนะนำอย่างกับผู้ใหญ่ ซ้ำยังตั้งใจละแซ่ของเหลิ่งจวินหานไว้อีกด้วย

องค์หญิงซีฝูหรี่ตาลงมองเขาโดยละเอียด ก่อนยิ้มเอ่ยว่า “เด็กผู้นี้ดูแล้วก็ว่านอนสอนง่ายดีนะ”

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ตัวน้อยก็อายุไม่น้อยแล้ว ข้ากับท่านอ๋องจึงคิดที่จะหาเพื่อนเล่นในเขาด้วยเพคะ”

องค์หญิงซีฝูก็มิได้เอ่ยถามถึงฐานะของเหลิ่งจวินหาน ยิ้มตาหยีพลางพยักหน้า “มีคนเป็นเพื่อนก็ดี เด็กน้อยอยู่โดดเดี่ยวคนเดียวมีแต่ไม่ดี ข้าก็กำลังคิดว่าไว้รอองค์ชายสิบขึ้นครองราชย์แล้ว ก็จะคัดเลือกเด็กที่อายุใกล้เคียงกันจากชนชั้นสูงมาเป็นเพื่อนเรียนหนังสือให้ฝ่าบาทเหมือนกัน”

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ มิได้ตอบ ความคิดขององค์หญิงซีฝูไม่เลวเลย หากองค์ชายสิบมีความสามารถ เด็กผู้นั้นก็จะกลายเป็นคนที่เขาสามารถไว้ใจได้ แต่เกรงว่าคงจะไม่ง่ายเช่นนั้น เพียงแต่ในเมื่อพวกเขามาร่วมงานด้วยฐานะแขก มีหลายๆ เรื่องที่ย่อมไม่อาจถามออกไปได้

องค์หญิงซีฝูเองก็พูดไปอย่างนั้น เมื่อก่อนนางเคยมีส่วนร่วมในเรื่องราชสำนักมาก่อน มิใช่สตรีในวังหลังที่เติบโตอยู่แต่ในวังหลังโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใดเลย ย่อมเข้าใจถึงการทำงานและความลำบากในปัจจุบันนี้

“ซิวเหยา ได้ยินว่าเจ้าตั้งใจที่จะเก็บท่านนั้นของวังจางเต๋อไว้” องค์หญิงเอ่ยถามม่อซิวเหยา

ม่อซิวเหยาอมยิ้มกล่าวว่า “นี่เสด็จป้าไปได้ยินข่าวลือนี้มาจากที่ได้ เรื่องเหล่านี้เกี่ยวอันใดกับตำหนักติ้งอ๋องของเรา ในเมื่อซิวเหยาบอกแล้วว่าจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง ย่อมพูดได้ทำได้”

องค์หญิงซีฝูก็เห็นเขาโตมาตั้งแต่เล็กๆ ย่อมไม่มีทางถูกเบี่ยงเบนไปได้ง่ายๆ นางจ้องหน้าเขาพลางเอ่ยว่า “เจ้าพูดมาตามตรงเถิด เก็บนางไว้มีประโยชน์ที่ตรงใด ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้ามีความรู้สึกที่ดีอันใดกับนาง”

ม่อซิวเหยาก้มหน้าลงพลางหัวเราะ เอ่ยเรียบๆ อย่างไม่คิดจะปิดบังว่า “ต่อให้เสด็จป้าเอาใจใส่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่เพียงไร ถึงอย่างไรก็พักอาศัยอยู่นอกวัง ในวังเกินกว่าอำนาจท่านจะมาถึง ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ต้องการคนคุ้มครอง…มิเช่นนั้น…”

“นาง? ไหวหรือ?” องค์หญิงซีฝูขมวดคิ้ว

ม่อซิวเหยายิ้ม “แค่เพียงต้องให้นางรู้ว่า ขอเพียงฮ่องเต้พระองค์ใหม่มีชีวิตที่ดี นางถึงจะมีชีวิตที่ดี ย่อมสามารถทำได้ ท่านนั้นที่วังจางเต๋อ ถึงแม้จะอ่อนหัดในเรื่องการเมือง แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในวังมาชั่วชีวิต เรื่องในวังหลังเหล่านั้น ตัวนางเกรงว่าอาจจะเก่งกว่าเสด็จป้าเสียด้วยซ้ำ เดิมทียังนางสามารถปกป้องพี่น้องสองคนนั้นให้เติบโตมาอย่างปลอดภัยได้ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนั้น จนตนได้ขึ้นเป็นไทเฮาด้วยซ้ำ เสด็จป้าไม่ต้องเป็นห่วงว่าครานี้นางจะทำไม่สำเร็จ”

ดูเหมือนเขาจะโน้มน้าวนางสำเร็จ องค์หญิงซีฝูพยักน้า “ต่อให้เป็นเช่นนั้น…เหตุใดซิวเหยาถึงได้เป็นห่วงฮ่องเต้พระองค์ใหม่เช่นนี้”

ม่อซิวเหยาหัวเราะเสียงใส “ข้าแค่เพียงไม่ชอบหน้าม่อจิ่งหลีก็เท่านั้น ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาแม่ลูก หากพ้นช่วงนี้ไปแล้ว ก็คงเหลืออยู่เพียงไม่เท่าไร ขอเพียงเสด็จป้าให้หมากที่น่าพอใจแก่นาง ขอเพียงนางยังมีชีวิตอยู่ ม่อจิ่งหลีก็จะเป็นเพียงหลีอ๋องตลอดไป”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น องค์หญิงซีฝูก็ทำท่าใช้ความคิด ความสัมพันธ์ระหว่างไทเฮากับหลีอ๋องเป็นไปอย่างตึงเครียด เรื่องนี้นางย่อมรู้ดี แต่ไทเฮาสามารถควบคุมหลีอ๋องได้หรือไม่ เรื่องนี้ที่นางไม่มั่นใจ