บทที่ 330 – การตื่นของพลัง และโอกาสสุดท้าย (4)
เมื่อถูกซอลจีฮูกับแบคแฮจูลุมโจมตีมาจากทั้งด้านหน้า และด้านหลัง แสงเจิดจ้าก็ได้ระเบิดออกมาจากตัวความเมตตาอันบิดเบี้ยว แสงมันสว่างจ้ามากจนทำให้ภาพต่างๆพร่ามัว
เพราะแบบนี้ทำให้ซอลจีฮูดิ่งลุกพื้นราวกับลิฟต์ที่สายเบรกขาด
สาเหตุนั่นก็เพราะแสงเจิดจ้า และพลังงานอันมหาศาลที่พุ่งขึ้นนั่นก็คือพลังเทพ
พลังแห่งเทพนี้ได้เผาใยแมงมุมจนไหม้ในทันที และกระทั่งกดซอลจีฮูลงไปกับพื้นได้อย่างง่ายดาย
สำหรับแบคแฮจูก็เช่นเดียวกัน เธอได้ถูกกพายุกวาดถอยกลับไป
“บ้าเอ้ย!”
ซอลจีฮูโอดครวญออกมาพร้อมถีบตัวออกไป ความสำเร็จอยู่แค่เอื้อมแล้ว เพราะงั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะผิดหวังเมื่อมันหายไปเหมือนภาพลวงตา
พวกเขาควรจะจัดการปิดฉากในตอนที่ความเมตตาอันบิดเบี้ยวยังไม่ได้ระวังตัว แต่น่าเสียดายที่โอกาสเดียวนั้นของพวกเขาได้เสียไปแล้ว
ที่สำคัญไปกว่านั้นแผนเดิมจะไม่มีวันใช้ได้อีกครั้ง
‘พวกเราต้องรีบกลับไปที่ป้อมปราการไทกอลให้เร็วที่สุด…’
นอกจากนี้ภารกิจจะไม่ได้จบลงแค่การเอาชนะผู้บัญชาการกองทัพทั้งสองคนเท่านั้น หากคำนึงถึงเวลาที่พวกเขาต้องใช้ในการช่วยอาณาจักรภูติ และชุบชีวิตต้นไม้โลก พวกเขาก็น่าจะเลยกำหนดการไปแล้วด้วย
ปัญหาคือการที่พวกเขายังไม่อาจจะเอาชนะผู้บัญชาการกองทัพตรงหน้าได้เลยด้วยซ้ำ
ซอลจีฮูเม้มปาก และมองขึ้นไปบนท้องฟ้า แสงค่อยๆลดน้อยลงไปก่อนเขาจะรู้ตัว และความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็กำลังยืนมองลงมาที่เขา เมื่อดูจากแก้มและลำคอของเธอที่แดงชัดเจน เธอคงจะต้องโกรธอย่างแน่นอน
สถานการณ์ตอนนี้ได้กลายเป็นลำบากยิ่งขึ้นแล้ว เนื่องจากว่าเธอเกือบจะพ่ายแพ้ เธอคงจะไม่มีทางยอมอ่อนข้อให้พวกเขาอีกแน่
และแน่นอนในใจของความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็คงกำลังโกรธจัด การที่เธอปล่อยพลังออกมาในก่อนหน้านี้ก็เป็นสัญชาตญาณเอาตัวรอดที่เธอเผลอปล่อยออกมาโดยไม่รู้ตัว หรืออีกอย่างก็คือเธอได้ตัดสินใจว่าการโจมตีก่อนหน้านี้อันตรายถึงชีวิตเธอ
ครั้งล่าสุดที่เธอรู้สึกถึงอันตรายนับตั้งแต่ที่ดูดพลังเทพมามันตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?
เธอจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำไป
ใบหน้าของเธอได้บิดเบี้ยวไปด้วยความรู้สึกที่ไม่ได้มีมานานแล้ว
“…ข้าขอถอนคำพูดก่อนหน้านี้”
เธอพูดขึ้นอย่างสงบ
“มันไม่ใช่เพราะเจ้าโชคดี หรือสถานการณ์มีส่วนช่วย สถานการณ์ที่มันเกิดขึ้นและความสำเร็จมันต้องเกิดขึ้นจากความสามารถของตัวบุคคล เจ้าเหมาะสมแล้วที่เป็นคนกำจัดความหมั่นเพียรอันนิรันดร์
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้ประเมินค่าเขาสูงขึ้น แต่ซอลจีฮูไม่ได้มีความสุขเลยสักนิด
แค่ฟังจากน้ำเสียงก็รู้แล้วว่าความเมตตาอันบิดเบี้ยวไม่คิดจะออมมือให้เขาอีก
“ฟู่ว…”
หัวใจความเมตตาอันบิดเบี้ยวกำลังเต้นเร็ว แต่ว่าเธอก็ได้ใช้สมองวิเคราะห์สถานการณ์อย่างสงบ
ผลการต่อสู้จะถูกตัดสินขึ้นด้วยพลัง เทคนิค และร่างกาย รวมถึงการใช้งานสิ่งเหล่านี้ให้มีประสิทธิภาพด้วย
เหตุผลที่ความเมตตาอันบิดเบี้ยวปล่อยตัวตามสบายมาตลอด นั่นก็เพราะไม่มีศัตรูคนไหนที่ทำให้เธอต้องควบคุมพลังที่มีอยู่ให้เต็มที่เลย
จะมีก็แค่แบคแฮจูที่คู่ควรอยู่บ้าง แต่นอกจากเธอแล้ว ก็ไม่มีใครที่แตะต้องตัวความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้อีก ดังนั้นเธอจึงใช้เอาจริงกับคนๆเดียว
แต่แล้วด้วยการเข้ามาของซอลจีฮูได้ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป
ถึงเธอจะไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเขาถึงได้แกร่งขึ้นมา แต่สิ่งที่เธอมั่นใจได้เลยก็คือศักยภาพของศัตรูเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
หากว่าฝ่ายตรงข้ามสามารถจะใช้ศักยภาพที่มีได้เหมือนก่อนหน้านี้ สถานการณ์แบบก่อนหน้านี้ก็จะเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าดาวแห่งราคะกับความโลภจะทำอะไรขึ้นมาอีกด้วย
ด้วยการต้องเจอกับศัตรูจำนวนมากแบบนี้ทำให้เธอต้องแบ่งสมาธิออกเป็นหลายส่วน จนทำให้เธอรู้สึกกังวลอยู่เล็กน้อย
แต่ว่าสถานการณ์มันก็เรียบง่ายมาก เธอก็แค่ต้องเพิ่มศักยภาพในการรบขึ้นเหมือนอย่างที่ศัตรูทำ
เธอมีอยู่สองตัวเลือกที่ต้องทำ
อย่างแรกคือเรียกพรรคพวกที่เธอมี
“ความสงบนิ่งอันบ้าคลั่ง!”
หลังจากจู่ๆก็ถูกเรียกชื่อทำให้ยูนิคอร์นเงยหน้าขึ้นมา ตลอดมานี้ผู้บัญชาการกองทัพที่สี่ได้เฝ้ามองดูการต่อสู้ที่ความเมตตาอันบิดเบี้ยวตกอยู่ในอันตรายเงียบๆมาตลอด
แน่นอนว่าเขาไม่ได้แค่ดูเฉยๆ แต่ยังรักษาอาการบาดเจ็บของตัวเองไปด้วย
“เข้าร่วมการต่อสู้”
“?”
“ข้าขอถอนคำพูดก่อนหน้านี้ อย่าอยู่นิ่ง เข้ามาช่วยซะ ข้าต้องการพลังของเจ้า”
“อะไรนะ?”
ความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งผงะไป
“ข้าจะไม่พูดซ้ำอีกครั้ง”
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวยังคงพูดด้วยน้ำเสียงสั่งการ แต่ว่านี่ก็คือการขอความช่วยเหลือนั่นเอง
ความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งตกใจมากกับคำพูดของความเมตตาอันบิดเบี้ยว จากนั้นเขาก็มองไปที่ฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เขาอดไม่ได้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะน่าทึ่งขนาดไหนถึงได้ทำให้มังกรที่หยิ่งยโสโอหังขนาดนี้ถอนคำพูด
ต่อจากนั้นผู้บัญชาการกองทัพที่สี่ได้ลุกขึ้น แม้ว่าเขาจะอยากเยาะเย้ยความเมตตาอันบิดเบี้ยว แต่เขาก็รู้ถึงสถานการณ์ที่เป็นอยู่
เธอคงไม่ได้ขอให้เขาช่วยเล่นๆ แน่นอน
‘อย่าบอกนะว่า…’
มันคงจะเป็นเพราะเธอเห็นถึงความเป็นไปได้เล็กน้อย ต่อให้มันจะเล็กน้อยแค่ไหน มันก็ไม่ควรจะเกิดขึ้น
“ก็ได้ นับจากนี้ข้าก็จะช่วยด้วย”
เพราะแบบนั้นความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งที่เฝ้ามองอยู่ก็ได้เข้าร่วมการต่อสู้
ใบหน้าของสมาชิกทีมปฏิบัติการต่างก็ซีดลง นั่นก็เพราะพวกเขารู้สึกเหมือนถูกซ้ำเดิม
แต่ยังไม่หมดเท่านั้น ความเมตตาอันบิดเบี้ยวยังมีอีกวิธีหนึ่ง
“ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว”
เธอจ้องซอลจีฮูด้วยสายตาซับซ้อน และพูดขึ้น
“ข้าเข้าใจถึงความตั้งใจของราชินี ข้าไม่เคยเห็นดวงดาวอย่างเจ้ามาก่อน เจ้ามันประหลาดเกินไปจริงๆ”
เธอได้พูดสิ่งที่เขาไม่เข้าใจออกมา
“ราชินีพูดถูก การปล่อยเจ้าเอาไว้ก็อาจจะดีซะกว่า”
หลังพูดจบ-
“แต่ท่านก็ยังพูดเอาไว้อีกอย่างด้วย”
เธอได้ไขว้มือจับดาบที่เอวขึ้นมา มันคือดาบคู่ที่ไร้ซึ่งรอยบิ่นใดๆ ภายนอกแล้วมันดูเหมือนกับเป็นดาวยาวปกติ แต่ยังไงก็ตามแม้ว่าจะเพิ่งถูกชักออกมา แต่ดาบทั้งคู่ก็มีหยดเลือดอยู่
ดาบคู่นี้ให้ความรู้สึกที่ไม่ดีเป็นอย่างมาก
“ปลาไม่อาจจะว่ายทวนกระแสน้ำได้ ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ไหนก็ตาม”
ต่อจากนั้นเธอได้รวบขาเข้าหากัน จากนั้นก็จับด้ามจับแบบย้อนกลับ และค่อยๆยกมือขึ้น
“ใช่แล้ว ไม่ว่าเจ้าจะเป็นดวงดาวที่น่าถึงขนาดไหน-”
ไขว้ขึ้นเหมือนกับไม้กางเขน
“ในท้ายที่สุดเจ้าก็เป็นเพียงแค่ดาวดวงหนึ่งในหมู่ดาวนับไม่ถ้วน”
ก่อนจะกางปีกกว้าง
“สวรรค์ โลก สรรสร้างสรรพสิ่ง”
และในเวลาเดียวกันก็ใช้สายตามองลงมาที่ซอลจีฮู
“ข้าจะทำให้ทุกๆอย่างหวนคืนสู่ความว่างเปล่า!”
***
ในอีกด้านหนึ่ง ณ ป้อมปราการไทกอล สหพันธรัฐกำลังอยู่ระหว่างการต่อสู้นองเลือดที่ใช้คำว่า ‘น่ากลัว’ มาอธิบายยังไม่ได้เลย ไม่ว่าจะมุมไหนต่างก็ได้กลิ่นเลือดโชยมาจากทุกที่
ความวุ่นวายสับสนได้เริ่มต้นจากกำแพง มีสิ่งมีชีวิตบิดได้นับไม่ถ้วนกำลังบินอยู่บนท้องฟ้า แม้ว่าจะมีมนุษย์สัตว์วิ่งใช้กรงเล็บกรีดเฉียนศัตรู และแฟรี่ถ้ำคอยจัดการสอยตัวที่อยู่บนฟ้า แต่จำนวนศัตรูที่พวกเขาต้องสู้ด้วยมีแต่จะเพิ่มมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
ไม่ว่าจะฆ่าไปมากแค่ไหน พวกมันก็ยังดูไม่มีที่สิ้นสุด แม้กระทั่งท้องฟ้าก็ยังถูกฝูงปรสิตย้อมจนเป็นสีดำสนิท
“อ๊ากกก!”
ในตอนนั้นเองแฟรี่ถ้ำที่ถูกกรงเล็บของเทอโรซอร์แทง และถูกดึงขึ้นไปบนฟ้าจนร้องออกมา เมื่อเทอโรซอร์ปล่อยเธอลงมา ก็ทำให้เธอต้องกลายเป็นเศษเนื้อกระจายกับพื้นแล้ว ต่อจากนั้นไม่นานเศษร่างกายนั้นก็กลายมาเป็นอาหารให้กับปรสิตที่หิวโหย
ภาพเช่นนี้ได้เกิดขึ้นจนชินตาภายใต้กำแพงนี้
ซากศพได้กองกันจนกลายเป็นภูเขาขนาดใหญ่ และฝูงซากศพ และปรสิตได้เดินเหยียบซากศพเหล่านั้นเพื่อบุกเข้ามาเหมือนกระแสน้ำเชี่ยว
“ตรงนั้น!!”
“หยุดพวกมัน! หยุดพวกมันไว้!!!”
แฟรี่ท้องฟ้าได้ยิงลูกธนูออกไปอย่างบ้าคลั่ง แต่สุดท้ายก็ต้องเหนื่อยล้ากับจำนวนอีกฝ่ายที่มีมากกว่าอย่างมหาศาล จริงๆแล้วเหล่าแฟรี่ท้องฟ้าก็ยังตกเป็นเป้าซุ่มยิงของปีศาจแฟนทอมที่อยู่ใกล้ออกไปอีกด้วย
การที่สถานการณ์เป็นแบบนี้ทำให้เป็นธรรมดาที่เหล่าสมาชิกป้องกันของสหพันธรัฐได้ติดต่อหาเบื้องบนเพื่อขอกำลังเสริมทุกนาที
“อะ อสนีบาตพร้อมแล้ว!”
อสนีบาตล็อตได้มาได้มาถึงอย่างพอดี มันเพิ่งจะถูกสร้างเสร็จจากคนแคระเมื่อครู่นี้เอง
“กรอด…!”
กาเบรียลเม้มริมฝีปากลง แม้ว่านี่จะเป็นข่าวดี แต่เขาก็รู้ว่ามันยื้อสถานการณ์ได้แค่ชั่วครู่เท่านั้น สถานการณ์จะกลับมาเป็นแบบเดิมอีกครั้งเมื่อรังและสายพันธุ์ที่ให้กำเกิดคลอดทหารใหม่ออกมาอีก
นี่คือเหตุผลที่ห้ากองทัพยังไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ เมื่อไม่มีต้นไม้โลก อสนีบาตจึงเป็นเพียงวิธีเดียวที่สหพันธรัฐพอจะหาวิธีรีบมือกับผู้บัญชาการกองทัพได้
สหพันธรัฐรู้เรื่องนี้ดี และนี่เป็นเหตุผลที่พวกเขาต้องพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อสร้างอสนีบาตให้ได้มากที่สุด แต่ว่า…
“…ให้ตายสิ”
อสนีบาตกำลังจะหมดลงแล้ว
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะอยู่เฉยๆ ให้มันเป็นไปตามโชคชะตา
เมื่อดูแล้วไม่มีทางเลือกอีก กาเบรียลได้กัดฟันตะโกนออกไป
“จุดชนวนอสนีบาต”
ไม่นานหลังจากสั่งการลงไปได้เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นจากทุกๆด้าน
ท้องฟ้าได้กลับมาเป็นสีปกติเนื่องจากเหล่าสิ่งมีชีวิตสีดำที่ปกคลุมท้องฟ้าได้ร่วงหล่นจากระเบิดครั้งนี้
แต่นั่นก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น
ไม่นานนักกองทัพใหม่ก็กรูกันเข้ามาเหมือนสายน้ำ
ยังไงก็ตามพวกเขาไม่มีเวลามาให้สิ้นหวัง
“กำแพงทิศตะวันตก…!”
“หอคอยตะวันออกพังลงแล้ว! พวกเราต้องรีบส่งกำลังเสริมไป…!”
ทุกๆด้านได้ส่งคำขอกำลังเสริมมา
กาเบรียลเข้าใจพวกเขาดี ทุกๆสถานที่ที่กำลังพังทลายคือความจริงอันโหดร้าย
แต่ปัญหาคือเธอไม่อาจจะช่วยอะไรได้เลย เธอได้ส่งกำลังเสริมออกไปใช้งานอสนีบาตแล้ว
‘แบบนี้มัน…’
มันชัดมากเลย แค่เพียงมองดูกำแพงตรงหน้าเธอ เธอก็บอกได้แล้ว ซากศพของกองทัพสหพันธรัฐได้กระจายอยู่ทั่วไปหมด และมันหาได้ยากที่จะเห็นใครยืนแบบสมบูรณ์ปกติ
‘นี่มัน… นี่มันไม่มีทางออกเลย…”
กาเบรียลจ้องท้องฟ้าที่มืดลงอีกครั้งอย่างเหม่อลอย ก่อนจะค่อยๆหลับตาลงไป ในที่สุดเธอก็มองเห็นจุดจบที่ตอนแรกมันไกลเกินเอื้อมแล้ว
‘เราควรจะถอยสินะ?’
ในท้ายที่สุดความคิดเช่นนี้ก็เข้ามาในหัวของเธอ โดยรู้ดีว่าหากล่ะทิ้งป้อมปราการไทกอลไปจะเกิดอะไรขึ้นกับพาราไดซ์
เมื่อกาเบรียลลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง และมองข้ามป้อมปราการออกไปอย่างเหม่อลอยนี้…
“?”
เธอสับสน
กองทัพซากศพได้หยุดการเดินทัพเข้ามา ปรสิตก็ยังหยุดลง และหันไปด้านหนึ่ง
มันเกิดอะไรขึ้น?
ขณะกาเบรียลได้หหันไปมองทางที่ศัตรูมองไป เธอก็ต้องตกใจ
เธออดไม่ได้จริงๆ
ไกลออกไปเหนือเทือกเขามีเงาค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้นมา
ปรู้นนนน!
ต่อจากนั้นเสียแตรสงครามก็ได้ดังขึ้นในสนามรบที่เงียบลงไป
ก่อนที่เธอจะรุ้ตัวเงาดำกลุ่มนั้นก็ทอดยาวปกคลุมไปทั้งเทือกเขา
ปรู้นนนนนนน!
เสียงแตรได้ดังก้องขึ้นอีกครั้ง
เมื่อกาเบรียลหายสับสน เธอก็ได้ยินเสียงเท้ากำลังรีบวิ่งเข้ามา
“ข่าวด่วนๆ !”
แฟรี่ท้องฟ้าได้รีบวิ่งเข้ามาหมอบตรงหน้ากาเบรียล
“การสื่อสาร…! การสื่อสารกลับมาแล้ว!”
“…การสื่อสาร?”
กาเบรียลถามกลับไปอย่างสับสน
“ค่ะ! อีวาได้ส่งกำลังเสริมมา…!”
“ที่ไหน?”
มนุษย์สัตว์ที่โชกไปด้วยเลือดถามขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ เขารู้สึกดูถูกมนุษยชาติที่ทำเป็นหลับหูหลับตาในตอนที่พันธมิตรมนุษย์สัตว์ล่มสลาย และปฏิเสธในคำขอของสหพันธรัฐเสมอมา
“กำลังเสริมจากอีวาเนี้ยนะ? มันเป็นไปไม่ได้ เจ้าคงจะล้อเล่นแน่!”
เมื่อมนุษย์สัตว์ถามขึ้นอีกครั้ง แฟรี่ท้องฟ้าก็ยกมือที่สั่นเทาขึ้น เหนือฝ่ามือเธอมีคริสตัลสื่อสารที่ส่องประกายอยู่
ทุกๆสายตาได้หันไปจับจ้องที่ลูกคริสตัลสื่อสารที่แสดงให้เห็นทหารม้ากำลังยืนเรียงรายอยู่
ดวงตากาเบรียลเบิกกว้างยิ่งขึ้น หากว่าเธอมองไม่ผิดไป คนที่ยืนนำกองทัพอยู่คือมนุษย์ มนุษย์ผมสีชมพูที่โบกสะบัดไปตามสายลมกำลังขี่อยู่บนม้า
“มันเป็นเรื่องจริง…”
มนุษย์สัตว์เงียบลงไป พวกเขาเกือบจะสิ้นหวังไปแล้ว
“…ไม่ใช่แค่อีวา”ง
แฟรี่ท้องฟ้าที่กำลังสูดหายใจทำลายความเงียบออกมา
“โอดอร์ กราเซีย คาลิโก้ และฮารามาร์คได้ส่งกำลังเสริมมาด้วยเช่นกัน”
เธอได้มองไปที่เหล่าคนระดับสูงที่ยังคงไม่เชื่อ…
“นอกไปจากนี้ทั้งห้าเมืองก็ยังทำการเกณฑ์พลชาวโลกมา แม้กระทั่งผู้บริหารก็ด้วย มีมาถึงสามคน!”
ด้วยสายตาที่น้ำตาคลอ…
“มนุษย์… ได้ส่งกำลังเสริมมา!”
และริมฝีปากที่สั่นเทา…
“มนุษยชาติ…”
เธอได้พูดย้ำอีกครั้งด้วยเสียงที่แทบจะร้องออกมา
“…ได้ตอบรับคำขอของสหพันธรัฐแล้ว!”
ชนวนสงครามใกล้ถูกจุดให้ปะทุขึ้นอีกครั้งแล้ว
***
“พวกนาย…”
ในเวลาเดียวกัน
“เสียสละตัวเองซะ”
[?]
[ฉันบอกให้ไปตายซะ เร็วเข้า”
เหล่าภูติได้กลายเป็นสับสนไปกับคำพูดนี้
[หะ หืม? แค่นี้เหรอ?]
“หยุด!”
เมื่อมีคำถามออกมาอีก ลูกเจี๊ยบก็ขึ้นเสียงออกมา
“ฉันคิดว่าฉันพูดชัดแล้วนะ! ฉันไม่มีเวลามาอธิบายแล้ว!”
[ตะ แต่ว่า…]
“ทำไมล่ะ? จู่ๆก็กลัวตายขึ้นมางั้นเหรอ?”
[ทำไมท่านพูดแบบนั้นล่ะ?!]
เมื่อถูกลูกเจี๊ยบเยาะเย้ยทำให้เหล่าภูติโกรธขึ้นมา
“หากว่าพวกนายยังไม่ได้โง่ พวกนายก็น่าจะรู้นะว่าทำไมถึงมีแค่เราสองคนที่มาที่นี่”
[นะ นั่นมัน…]
“มนุษย์ที่มาช่วยพวกนายกำลังเสี่ยงชีวิตสู้อยู่ พวกเรากำลังหวังพึ่งความสำเร็จของเรา”
[…]
“หากว่าเจ้าอยากจะได้คำอธิบายจริงๆ ฉันก็จะบอกให้ แต่รู้ไว้เลยนะ ยิ่งเราใช้เวลานานแค่ไหน โอกาสล้มเหลวก็ยิ่งเพิ่มขึ้น”
เมื่อได้รับข้อมูลนี้ทำให้เหล่าภูติเงียบลงไป
“ตัดสินใจได้ยังล่ะ?”
เมื่อถูกเร่งเร้าคำตอบ…
[…พวกเราแค่ต้องไปสู้เหรอ?]
หนึ่งในภูติได้ถามออกมา
“ถูกแล้ว สู้ สู้เพื่อจุดจบอันขมขื่น ต่อให้ต้องตาย ก็อย่ายอมตายง่ายๆ ให้ต่อต้านจนถึงที่สุด ต่อต้านซ้ำแล้วซ้ำเล่า! จากนั้นถึงจะตายได้ ดึงความสนใจของพวกมันไปให้ได้มากที่สุด”
[นี่คือสิ่งที่พวกเราต้องทำ?]
“แค่นั้นก็พอแล้ว นี่ก็ยังเป็นสิ่งเดียวที่พวกนายทำได้ ตอนนี้ก็เร็วเข้า!”
เมื่อถูกลูกเจี๊ยบเร่งอีกครั้ง เหล่าภูติก็หันหน้าไป
และไม่นานนัก….
[ย๊ากกกกก!]
[อ๊ากกกกก!]
เหล่าภูติที่รวมตัวอยู่จุดศูนย์กลางของโลกได้เริ่มพุ่งเข้าไปทางทะเลสาบ
เป็นธรรมดาที่รังจะเริ่มมีปฏิกิริยาออกมา พวกมันที่เห็นเหล่าภูติพุ่งเข้ามาจากทุกทิศทางได้ปล่อยหนวดนับลอยตามผิวน้ำขึ้นมา
มาแชล จิโอเนียได้เฝ้ามองดูการต่อสู้ในทะเลสาบด้วยสีหน้าหม่นหมอง
นี่มันไม่อาจจะเรียกว่าการต่อสู้ได้ด้วยซ้ำ
เหล่าภูติได้ถูกหนวดสังหาร และตกตายเหมือนกับแมลงวัน ไม่ว่าจะมองยังไง มันก็เหมือนกับการสังหารหมู่มากว่า
“เฮ้ นักธนู”
ตอนนี้เองลูกเจี๊ยบได้หันมาพูดกับเขา
“ฉันได้ยินมาว่านายมีความแม่นยำที่ยอดเยี่ยม ฉายานายคือนักธนูเหล็กกล้าสินะ?”
เมื่อได้ยินแบบนี้มาแชล จิโอเนียก็ละสายตาจากความโกลาหลที่ทะเลสาบ เมื่อหันมาเขาก็รู้ได้ทันทีว่าลูกเจี๊ยบต้องการจะทำอะไร”
“เยี่ยม ถ้างั้นก่อนที่จะง้างลูกธนู ให้ผูกเข้านี่ที่ได้มาจากคู่หูให้กับลูกธนู”
“…เมล็ดพันธุ์แล้วก็หญ้ากกงั้นเหรอ?”
“หากว่าฉันเดาถูก ราชาภูติน่าจะอยู่ภายในรังนั่น”
มาแชล จิโอเนียที่กำลังเตรียมเล็งได้ผงะไป
“ฉันมั่นใจ ฉันได้ยินมาว่ามอนสเตอร์นั่นเกี่ยวข้องกับการทดลอง ปรสิตคงจะวางแผนใช้งานภูติแน่”
หรือก็คือการทดลองนั่นน่าจะเป็นการสิงสู่ภูตินั่นเอง
“ไม่มีทาง…”
ใบหน้ามาแชล จิโอเนียบิดเบี้ยวไป นี่เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็จะต้องหยุดมัน
“หากว่าแผนของพวกมันสำเร็จ ผลที่ออกมาคือการทำลายล้าง แต่โชคดีที่มันยังไม่สำเร็จ นี่อาจจะเป็นโอกาสของเรา”
“โอกาส?”
มาแชล จิโอเนียที่มัดเมล็ดพันธุ์เข้ากับลูกธนูได้ถามขึ้น
ลูกเจี๊ยบได้ชี้ลงไปตรงกลางของรังทั้งห้า
“นั่นก็เพราะว่าร่างต้นยังอยู่”
“คุณจะบอกว่าต้นไม้โลกยังมีชีวิตอยู่เหรอ?”
“ไม่ ฉันไม่เคยบอกแบบนั้น ฉันแค่บอกว่ามันยังอยู่”
ลูกเจี๊ยบพูดต่อ
“ไม่ต้องติดให้ยากเลย ลองนึกภาพว่ามีร่างคนตายตรงหน้าสิ แล้วเราก็มียาปาฏิหาริย์ที่ชุบชีวิตคนตายได้ ถ้างั้นที่เราต้องทำก็แค่ป้อนยาเข้าไปในศพไง”
ในที่สุดมาแชล จิโอเนียก็เข้าใจในสิ่งที่ลูกเจี๊ยบกำลังจะบอกแล้ว
มันต้องการให้เขายิงลูกธนูที่ผูกเมล็ดพันธุ์กับหญ้ากกที่ทำหน้าที่เป็นปุ๋ยเข้าไปในต้นไม้โลก
มันไม่ใช่ว่าเขาไม่สงสัย มีความเป็นไปได้มากมายที่เราคิดขึ้น ต่อให้ต้นไม้โลกจะถูกชุบชีวิต แต่ถ้ารังที่อยู่รอบๆแข็งแกร่งขึ้นด้วยล่ะ?
“…ดังนั้นแล้ว”
แต่ว่า…
“ทั้งหมดที่ผมต้องทำก็คือยิงให้เข้าเป้าสินะ?”
“ตราบเท่าที่ลูกธนูนายเจาะเข้าไปได้นะ”
แค่คำพูดนี้ก็พอแล้ว
มาแชล จิโอเนียได้ง้างธนู และตั้งท่าเล็ง
หากว่าเขาต้องทำ การรีบทำให้เร็วที่สุดคือเรื่องดี ยังไงแล้วเมื่อจำนวนของเหล่าภูติลดลงก็จะทำให้โอกาสสำเร็จลดลงด้วย
แต่ถึงจะแบบนั้นความเป็นไปได้ของภารกิจนี้ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
การยิงเป้านิ่งมันไม่ใช่เรื่องยาง แต่ว่าเส้นทางที่ลูกธนูของเขาต้องไปถึงจุดนั้นมันมีอุปสรรคมากเกินไป
ไม่เพียงแค่ต้องผ่านหนวดนับร้อยเส้นที่ขยับไปมา แต่ยังต้องหลบให้พ้นเหล่าภูติอีกด้วย
แรงกดดันมหาศาลได้กดลงมาบนบ่าของมาแชล จิโอเนีย ยังไงก็ตามมันไม่ใช่สิ่งที่เขาจะต้องมาถามว่าทำได้หรือไม่ได้ ไม่สิ มันคือสิ่งที่เขาต้องทำให้ได้ ไม่ว่าจะยังไงก็ต้องทำให้สำเร็จ
ดังนั้นแล้วมาแชล จิโอเนียได้สะบัดความคิดไร้สาระออกไป เมื่อจิตใจเขาว่างเปล่า และตั้งสมาธิ ทุกๆส่วนของร่างกายได้เริ่มตอบสนองสอดรับกัน
เมื่อเขาค่อยๆสูดหายใจเขา อากาศเย็นๆก็ได้ไหล่เข้าปอด และทำให้ร่างกายเขาเย็นขึ้น
ต่อจากนั้นทุกๆอย่างได้เงียบลง เสียงรบกวนจิตใจของเขาได้กระจายหายไป และหนวดที่กวาดไปมาทำให้เขาสับสนก็เปลี่ยนไป
และในตอนนั้นภาพของต้นไม้เหี่ยวเฉาก็ปรากฏขึ้น
ในวินาทีที่เขากลั้นลมหายใจเอาไว้ และหยุดนิ่ง
ในวินาทีที่ลมได้พัดผมเขาเล็กน้อย
ลมหายใจแผ่วเบา มือที่นิ่งสนิท และสายลมอ่อนๆ วินาทีที่ทุกๆอย่างได้เข้ากันอย่างสมบูรณ์นี้ ดวงตาซ้ายของมาแชล จิโอเนียได้เบิกกว้างขึ้น
ในเวลาเดียวกันนิ้วอันเย็นเฉียบของเขาก็ปล่อยสายธนู
ปัง!
เสียงคลื่นกระแทกได้ดังขึ้นจากการยิงธนูออกไป
นี่เป็นการยิงธนูที่ยอดเยี่ยมโดยไร้ซึ่งความสั่นคลอนแม้แต่นิด
ลูกธนูเหล็กที่แบกความหวังของสหพันธรัฐ และมนุษยชาติได้ลอยเข้าไปหาต้นไม้โลกแล้ว