เหยียนหลิงจวินแค่ชำเลืองมองไปทางประตู
ฉู่สวินหยางอยากจะลุกขึ้น แต่แขนของเขากลับรัดนางแน่นและไม่ให้นางขยับตัว
ฉู่สวินหยางอึ้งไปแล้วก็ส่งสายตาถามเขา
ถึงแม้เวลานี้จะยังเหลือรอยยิ้มอยู่ในดวงตาของเหยียนหลิงจวินบ้าง แต่กลับเลือนรางมากแล้ว
เขาจ้องตานางนานมาก สุดท้ายก็เอ่ยอย่างมั่นใจ “เจ้ามีเรื่องในใจ?”
ชิงเถิงรออยู่ด้านนอกครู่ใหญ่ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากข้างใน จึงเริ่มตบประตูอีกครั้ง “ท่านหญิงเจ้าคะ…ใต้เท้าเหยียนหลิง มีคนมาจากในวังเจ้าค่ะ!”
เหยียนหลิงจวินไม่ยอมปล่อยมือ ฉู่สวินหยางก็เปลี่ยนใจเขาไม่ได้เช่นกัน นางสบตากับเขาอยู่ชั่วครู่ แล้วค่อยๆ ยิ้มมุมปากอย่างจริงครึ่งไม่จริงครึ่งว่า “เจ้าไปก่อนเถอะ รอเจ้ากลับมาแล้ว ข้าค่อยบอกเจ้า”
ในเมื่อนางไม่อยากบอก ต่อให้บังคับนางอย่างไรอีกก็ไม่มีประโยชน์
เหยียนหลิงจวินกอดนางไว้และฝังหน้าลงไปถูกับไหปลาร้าของนาง แล้วถึงจะพลิกตัววางนางกลับไปบนเตียง และดึงผ้าห่มผืนบางมาห่มให้นางเรียบร้อย สุดท้ายก่อนจะลุกขึ้นก็ฉกจูบนางเบาๆ อีกหนึ่งทีและกำชับว่า “จนกว่าเท้าที่เจ็บจะหายบวม ห้ามซนอีกเด็ดขาด!”
“อื้ม!” ฉู่สวินหยางพยักหน้าและยิ้มให้เขา
ด้านนอกนั้นชิงเถิงเร่งมาก แต่เหยียนหลิงจวินกลับยังลุกขึ้นอย่างไม่รีบร้อน เขาเดินไปล้างมือที่อ่างด้านหนึ่งก่อนและจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยไปด้วย แล้วถึงจะเดินไปเปิดประตู
“ฝ่าบาทเรียกข้าเข้าวังหรือ?” เหยียนหลิงจวินเอ่ยถาม
“เจ้าค่ะ!” ชิงเถิงเช็ดน้ำฝนบนหน้า “ขันทีเย่าสุ่ยมาด้วยตนเอง บอกว่าฝ่าบาทเรียกตัวด่วน เชิญใต้เท้าเข้าวังไปตรวจชีพจรปกติเจ้าค่ะ!”
มุมปากของเหยียนหลิงจวินยกโค้ง แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรอีก เขารับร่มในมือของนางมาและสาวเท้าออกไป
เย่าสุ่ยร้อนใจจนเดินวนไปวนมาไม่หยุดอยู่ตรงเฉลียงหน้าประตูใหญ่ พอเห็นเงาร่างหล่อเหลาและเยือกเย็นท่ามกลางฝนตกหนักอยู่ไกลๆ ก็รู้สึกดีใจจนน้ำตาเกือบจะไหล
“ใต้เท้าเหยียนหลิง ในที่สุดก็หาท่านเจอแล้ว!” เย่าสุ่ยรีบเดินเข้าไปหาจะรับร่มในมือของเหยียนหลิงจวิน
แต่เหยียนหลิงจวินกลับไม่ให้และเดินผ่านข้างตัวเขาไปเลย พลางเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ของข้าอยู่ที่จวนไม่ใช่หรือ? ทำไมเจ้ามาหาถึงที่นี่ได้?”
“เอ่อ…” เย่าสุ่ยลังเลไปชั่วครู่ ทว่าพอเห็นเจิงจีที่อยู่เป็นเพื่อนตรงหน้าประตูก็หันไปทางอื่นว่า “วันนี้อากาศไม่ดี ท่านเฉินอายุมากแล้ว ท่านอาจารย์ของข้ากำชับมาโดยเฉพาะว่าวันนี้อย่ากวนเขา ดังนั้นก็จำเป็นต้องรบกวนท่านแล้วขอรับ!”
ทุกคนต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ ข้ออ้างแบบนี้ไม่จำเป็นต้องพูดให้ชัดเจนมากเกินไป
เหยียนหลิงจวินไม่ได้ถามอะไรอีกเช่นกัน และตามเขาขึ้นรถม้าของราชสำนักที่รออยู่ด้านนอกไป
เย่าสุ่ยสวมเสื้อกันฝนที่ทำจากฟางข้าวแล้วรีบขับรถกลับวังกับขันทีน้อยที่ติดตามมาด้วยกันอย่างเร็วที่สุด
เจิงจียืนมองตามไปอยู่หน้าประตู จนกระทั่งรถม้าเลี้ยวออกจากซอยไปแล้ว เขาเหมือนครุ่นคิดในใจ แล้วก็ไปเรือนจิ่นฮว่า
ถึงแม้จะไม่ได้นอนทั้งคืน แต่เวลานี้ฉู่สวินหยางก็ไม่รู้สึกง่วง พอเหยียนหลิงจวินไปแล้ว นางก็ลุกขึ้นมาอีก
ตอนที่เจิงจีไปถึงนั้นนางกำลังนั่งคนยาต้มและรอให้ยาเย็นลงอยู่บนเตียง
“พ่อบ้านเจิง? เจ้ามาได้อย่างไร?” ชิงเถิงลุกขึ้นตัวตรงอย่างไม่เข้าใจ
“ท่านหญิง!” แต่เจิงจีกลับไม่สนใจนางและเดินเข้าไปหาฉู่สวินหยางโดยตรง แล้วพูดเข้าเรื่องทันทีอย่างจริงจังว่า “ในวังอาจจะเกิดเรื่องกับฝ่าบาทแล้วขอรับ!”
มือของฉู่สวินหยางที่กำลังถือช้อนแกงชะงักไป นางเม้มมุมปากคล้ายกับครุ่นคิด…
นางไม่ถามเจิงจีถึงสาเหตุที่คิดเช่นนั้น เหยียนหลิงจวินต้องแอบบอกเป็นนัยแล้วแน่นอน
เจิงจีเห็นนางเงียบไปก็รู้ว่านางฟังสิ่งที่เขาพูดแล้ว จึงถามอีกว่า “เวลานี้องค์ชายกับท่านจวิ้นอ๋องต่างอยู่ในวัง ต้องส่งข่าวไปให้พวกเขาหรือไม่ขอรับ?”
เย่าสุ่ยทำลับๆ ล่อๆ ดังนั้นทางฉู่อี้อันจะถูกปิดบังด้วยหรือไม่ เรื่องนี้ก็พูดยาก
ฉู่สวินหยางสีหน้าเรียบเฉย ทว่าตอนนี้กลับตัดสินใจยกมือขวางอย่างไม่ลังเลว่า “อย่าไปเลย ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ใครโผล่หัวออกไป คนนั้นก็ต้องถูกจับตามองก่อน”
นิสัยของฮ่องเต้นั้น เมื่อจวนอ๋องรุ่ยชินเข้าไปอยู่ในสายตาของเขาแล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเขาไม่ลงมือ
ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า…
รวมถึงวังบูรพาของพวกเขาด้วย เมืองหลวงในเวลานี้ต้องมีหูตาของฮ่องเต้กระจายอยู่ทั่วทุกที่แน่นอน
เห็นได้ชัดว่าเจิงจีก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน ถึงได้ไม่กล้าตัดสินใจโดยพลการและมาถามฉู่สวินหยางก่อน
เมื่อได้รับคำสั่งจากนางแล้ว เจิงจีก็ไม่มีข้อโต้แย้งเช่นกัน แต่เขากลับมองนางอีกครั้งด้วยสีหน้าเป็นกังวลว่า “เช่นนั้นทางใต้เท้าเหยียนหลิงจะมีปัญหาหรือไม่ขอรับ? เขาเข้าวังไปเพียงคนเดียว…”
เหยียนหลิงจวินเข้าวังไปคนเดียว…
ชัดเจนว่าเฟิงเหลียนเซิ่งวางแผนจะทำอย่างอื่น ดังนั้นเขาไม่มีทางเปิดโปงตัวตนของเหยียนหลิงจวินต่อหน้าฮ่องเต้แน่นอน ส่วนเฟิงอี้ก็ยิ่งไม่มีเหตุผลที่จะทำอย่างนั้น
ขอเพียงตัวตนอีกด้านหนึ่งของเขาไม่เปิดเผย ต่อให้สระน้ำลึกในราชสำนักนี้จะกวนจนขุ่นแค่ไหน ก็ไม่มีทางโยงใยไปถึงตัวเหยียนหลิงจวินได้
ดังนั้นเรื่องนี้ ฉู่สวินหยางยังวางใจ
“ไม่เป็นไร เขารับมือไหว!” ฉู่สวินหยางเอ่ย สีหน้ายังคงเฉยชาเช่นเดิม
ไม่เพียงเท่านั้น ในวังยังมีหลี่รุ่ยเสียงอยู่
ถึงตัวตนของคนคนนั้นจะไม่ชัดเจน แต่แค่ดูจากพฤติกรรมแต่ละครั้งที่มาหาเหยียนหลิงจวินนั้น เขาจะไม่ทำร้ายเหยียนหลิงจวินอย่างแน่นอน
เจิงจีเห็นสีหน้าเหมือนคิดและเตรียมการทุกอย่างไว้พร้อมอยู่ก่อนแล้วของนาง จิตใจข้างในก็ค่อยๆ สงบนิ่ง แล้วก็ไม่เซ้าซี้อะไรอีกเช่นกันและหันตัวถอยออกไป
เย่าสุ่ยขับรถม้าของราชสำนักจึงได้รับสิทธิพิเศษ แม้กระทั่งตอนผ่านประตูวังก็สามารถผ่านไปได้เลย
เหยียนหลิงจวินนั่งรถม้าและถูกเชิญเข้ามาถึงตำหนักของฮ่องเต้โดยตรง โดยไม่ได้เปลี่ยนเกี้ยวตรงประตูวังด้วยซ้ำ
ตำหนักของฮ่องเต้ เหยียนหลิงจวินก็ถือว่าเข้าออกบ่อยเช่นกัน
ทว่าเพิ่งจะเข้าไปในลานตรงกลาง เขาก็สังเกตเห็นทันทีว่าคนที่นี่เปลี่ยนเป็นหน้าใหม่ทั้งหมด
เหยียนหลิงจวินเหลือบมองเล็กน้อย แล้วก็เดินเข้าไปในตำหนักหลักอย่างแน่วแน่
“ใต้เท้าเหยียนหลิง!” หลี่รุ่ยเสียงที่รอนานมากเดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว ทว่าพอเห็นเสื้อขนสัตว์นุ่มอุ่นที่มีไอน้ำเกาะที่เขาสวมอยู่ สายตาก็ลุ่มลึกเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว