ตอนที่ 362

The Divine Nine Dragon Cauldron

“ตลกสิ้นดี! เจ้าพูดเรื่องไร้สาระหลังจากที่ดูการประลองแต่กลับโกรธที่ข้าพูดแค่สองประโยคงั้นเรอะ? หอชมจันทร์นี่เป็นของหอสดับหิมะรึไงกัน? เจ้าจะใช้ที่นี่พูดจาไม่ระวังปากยังไงก็ได้ แต่คนอื่นจะพูดความจริงไม่ได้งั้นเรอะ?”

 

คนที่เหลือหัวเราะในใจ

 

เจียงมู่เฟยผู้นี้ปากร้ายยิ่งนัก นางเหยียดหยามโจวเนี่ยนเฉินได้ในคำพูดไม่กี่คำ

 

“ฮื่ม! แม่สาวน้อย ข้าว่าเจ้าขาดการอบรมที่ดีไปนะ!”

 

โจวเนี่ยนเฉินบีบแก้วในมือจนแตก เขารีบเดินไปยังลานประลอง

 

“เจ้ากล้าประลองกับข้าหรือไม่?”

 

โจวเนี่ยนเฉินหัวเราะ

 

เจียงมู่เฟยไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย

 

“ข้าจะต้องกลัวอะไรกันเล่า?”

 

ซือหยูอยากจะหยุดนางแต่ก็ไม่ทันการ

 

เพราะอย่างไรนางก็ยังอายุน้อย ไม่มีทางที่นางจะรับมือโจวเนี่ยนเฉินได้แน่

 

รอยยิ้มอันเย็นชาปรากฏบนใบหน้าโจวเนี่ยนเฉิน

 

“โง่เขลานัก!”

 

ฟึ่บ–

 

เสียงของโจวเนี่ยนเฉินยังอยู่แต่ตัวของเขาหายไป

 

หลงเหลือเพียงภาพติดตา

 

ร่างจริงของเขามาหยุดอยู่ตรงหน้าเจียงมู่เฟย!

 

เจียงมู่เฟยคิ้วกระตุก สีหน้าของนางหม่นหมอง

 

นางมองตามการเคลื่อนไหวของโจวเนี่ยนเฉินไม่ทัน!

 

พลังของทั้งสองอยู่คนละระดับ

 

“ข้าจะไม่รังแกเจ้า ข้าจะต่อให้เจ้าสองกระบวนท่า!”

 

โจวเนี่ยนเฉินที่เอามือพาไพล่หลังนั้นพูดอย่างเย็นชา

 

เจียงมู่เฟยคำราม

 

“พิรุณดอกท้อ!”

 

ทั้งเวทีเต็มไปด้วยกลีบดอกท้อในทันที

 

และราวกับมันคือวายุ เหล่าบุพผาหมุนวนซัดเข้าใส่โจวเนี่ยนเฉิน

 

ในด้านพลัง มันเหนือกว่าครั้งที่นางใช้กับมู่เทียนฟางหลายเท่า!

 

นางยังคงซุกซ่อนพลังเอาไว้จนถึงตอนนี้!

 

โจวเนี่ยนเฉินใจเย็น เขามองอย่างเหยียดหยาม

 

“คนจากร้อยดินแดนก็ทำได้แค่ใช้กลสกปรก!”

 

เขายืนมือไพล่หลังโดยไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว

 

เปาะ แปะ—

 

แต่ก่อนที่พิรุณดอกท้อจะได้สัมผัสกายของเขา เหล่าดอกท้อทั้งหมดได้ระเบิดออก พวกมันกระจัดกระจายเป็นพลังวิญญาณ

 

โจวเนี่ยนเฉินใช้พลังวิญญาณปกคลุมกาย!

 

พิรุณดอกท้อมิอาจทะลวงผ่านชั้นพลังวิญญาณอันหนาแน่นได้ มันจึงถูกสะบั้นกลับคืนเป็นพลังวิญญาณ!

 

เทียบกับมู่เทียนฟางที่แพ้หมดท่าแล้ว…ทุกคนตกตะลึง

 

สมกับที่เขาเป็นอำมฤตระดับสี่ แม้แต่พลังวิญญาณก้แข็งแกร่งกว่าอำมฤตระดับสามอยู่มาก

 

ความแตกต่างนั้นกว้างใหญ่

 

“เจ้ายังเหลืออีกหนึ่งกระบวนท่า”

 

โจวเนี่ยนเย้ยเยาะเย้ยอย่างสบายๆ

 

เจียงมู่เฟยหน้าซีด นางรู้สึกไม่พอใจ

 

“ฮื่ม! มันยังไม่จบหรอก!”

 

ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ–

 

นางฉาบนภาด้วยกลีบดอกท้ออีกครั้ง พวกมันหมุนวนล้อมโจวเนี่ยนเฉินอย่างแน่นหนา

 

“ใช้กลเก่ามันทำให้เจ้าน่าสนใจมากขึ้นรึไง?”

 

เสียงของโจวเนี่ยนเฉินดังออกมาจากผนึกดอกท้อ

 

เจียงมู่เฟยยิ้มอย่างเยือกเย็น

 

“ไม่ลองเจ้าก็ไม่รู้หรอก!”

 

“พิรุณดอกท้อ!”

 

ตู้ม—-

 

ทันใดนั้นผนึกดอกท้อก็เกิดระเบิดขึ้น!

 

พลังนั้นเทียบได้กับการโจมตีของอำมฤตระดับสาม!

 

ผลของคลื่นพลังนั้นทำให้เหล่าแขกบนโต๊ะเป็นกังวล

 

“พิรุณดอกท้อนั่น…ระเบิดได้งั้นรึ? พลังมันน่ากลัวถึงเพียงนี้เชียวรึ?”

 

ยอดฝีมือหลายคนสีหน้าเคร่งเครียด

 

ตู้ม ตู้ม ตู้ม—

 

จากนั้นดอกท้อหลายพันดอกที่ล้อมโจวเนี่ยนเฉินก็ระเบิดพร้อมกัน!

 

เสียงระเบิดนับไม่ถ้วนดังซ้อนกันไปมา กลายเป็นเสียงคำรามลั่นขอบฟ้า

 

หอวิหคเพลิงทั้งหอสั่นอย่างแรง

 

หลังคาของหอถูกระเบิดจนเปิดออกด้วยพลังอันน่ากลัว ชั้นไม้ที่ใช้ก่อสร้างและแผ่นกระเบื้องกลายเป็นฝุ่นผง

 

มันหล่นลงมากลายเป็นพิรุณฝุ่นปกคลุมเวทีจันทร์เต็มดวง

 

โต๊ะของที่นั่งมนุษย์สองตัวที่ไกลจนเกิดไปกระเด็นลอย คนที่นั่งอยู่กระเด็นออกจากหอวิหคเพลิงพร้อมกับเสียงกรีดร้อง

 

คนที่เหลือต้องปล่อยพลังวิญญาณออกมาเพื่อกดโต๊ะเอาไว้ พวกเขาจะได้ไม่ลอยไปกับคลื่นพลังมหาศาล

 

แม้แต่ซือหยูก็ต้องใช้พลังวิญญาณออกมาปกคลุมกายเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกคลื่นพลังทำร้าย

 

“วิชาลับของนางทรงพลังจริงๆ!”

 

ซือหยูแอบตกใจ

 

พลังของวิชานี้ใกล้เคียงกับขอบเขตอำมฤตระดับสี่อย่างไม่น่าเชื่อ

 

ซือหยูถามตัวเองว่าเขาจะกล้ารับพลังนี้หรือไม่

 

เขาตระหนักแล้วว่าเขาประเมินนางต่ำไป!

 

พลังอันเกิดจินตนาการซ่อนอยู่ในความบริสุทธิ์น่าหลงใหลที่ภายนอก!

 

บอกได้เลยว่าเจียงมู่เฟยได้ก้าวไปยังขอบเขตอำมฤตระดับสี่แล้ว!

 

แต่เมื่อฝุ่นสงบลง ทุกคนก็เบิกตากว้างเมื่อมองโจวเนี่ยนเฉิน

 

โจวเนี่ยนเฉินยังคงยืนอยู่ในท่าเดิม เขาไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย!

 

ฝุ่นควันและเศษซากจากการระเบิดเข้ามาแค่เกือบถึงตัวเขา แต่ไม่เคยได้สัมผัสเขาเลย!

 

“เขาใช้การหมุนของพลังวิญญาณกลบผลของแรงระเบิดงั้นรึ?”

 

ซงหลวนพูดออกมาด้วยความไม่สบายใจ

 

“หรือว่ามันคือวิชาระดับสูงของหอสดับหิมะ คลื่นกลืนกิน! มันมีส่วนของวิชาระดับตำนานอยู่ด้วย หลังจากบ่มเพาะวิชานั้นแล้วจะทำให้ควบคุมพลังวิญญาณให้หมุนวนเพื่อลบพลังโจมตีได้ถึงเก้าในสิบส่วน!”

 

“แต่การบ่มเพาะนั้นยากอย่างไม่น่าเชื่อ มีแค่ยอดฝีมือที่มีคุณสมบัติเป็นจ้าวแห่งหอสดับหิมะเท่านั้นที่จะบ่มเพาะได้สำเร็จในประวัติศาสตร์ของหอสดับหิมะ ในยุคนี้ ที่ข้ารู้ก็มีแต่โจวเนี่ยนเฉินที่บ่มเพาะมันได้!”

 

คลื่นกลืนกินงั้นรึ? เหล่าผู้คนตกใจ

 

วิชาที่ไม่ต่างกับเทพที่มีส่วนพลังของวิชาระดับตำนาน!

 

การป้องกันที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้ ที่จะป้องกันพลังได้ถึงเก้าในสิบส่วน!

 

“นอกเสียจากฐานพลังเจ้าจะสูงกว่านี้ ข้ายังไม่เคยได้ยินว่ามีใครล้างผลของคลื่นกลืนกินได้”

 

ซงหลวนสีหน้าเคร่างเครียด

 

เขายืนอยู่ที่กลางลานประลองอย่างผ่อนคลาย พลังวิญญาณรอบตัวโจวเนี่ยนเฉินค่อยๆหายไป เขามองไปทางเจียงมู่เฟย

 

“หมดสองกระบวนท่าแล้ว ตอนนี้ข้าจะไม่ออมมื…..”

 

“ฮื่ม! มีแค่ผีเท่านั้นแหละที่จะสู้กับเจ้า! ข้ายอมแพ้!”

 

เจียงมู่เฟยถอนหายใจแรง นางยอมแพ้อย่างเจ้าเล่ห์

 

ความต่างระหว่างทั้งคู่น่ากลัวจนเกินไป นางไม่โง่พอที่จะสู้กับเขาแน่

 

โจวเนี่ยนเฉินหัวเราะ

 

“ยอมแพ้แม้จะยังไม่ได้สู้ เจ้ามาเพื่อสร้างเกียรติยศแก่ร้อยดินแดนได้ดีจริงๆ!”

 

โจวเนี่ยนเฉินพูดจบและหันไปมองซือหยู

 

“เจ้าได้ชมการแสดงดีๆไปแล้ว เจ้ายังกล้าจะประลองกับข้าอยู่หรือไม่?”

 

พลังที่แสดงออกมาจากการต่อสู้เมื่อครู่ได้ทำให้เหล่าผู้คนเข้าใจ

 

มหาบุตรที่สองแห่งหอสดับหิมะ โจรเนี่ยนเฉิน เขาน่ากลัวยิ่งกว่าคำร่ำลือ

 

แต่ที่ทำให้เหล่าผู้คนนิ่งงันก็คือซือหยูที่มองรอบๆอย่างใจเย็นและเอ่ยออกมา

 

“มีใครอยากจะสู้กับเขาหรือไม่?”

 

เขาอยากจะขึ้นลานประลองหลายครั้งหลายคราแต่ก็มีคนเข้ามาแทรกเสมอ นั่นคือเหตุที่เขาถามคำถามนี้

 

เสียงของซือหยูดังสะท้อนทั่วหอชมจันทร์ ไม่มีใครตอบเขา

 

ซือหยูยืนขึ้นช้าๆ

 

“โจวเนี่ยนเฉิน เจ้ายังมีเวลาครึ่งชั่วยามไปเตรียมโลงศพของเจ้านะ!”

 

เหล่าผู้คนอ้าปากค้าง จิตใจพวกเขาสับสน

 

คำพูดอันหยาบคายของซือหยูก่อนหน้านี้สามารถบอกได้ว่าเป็นความไม่รู้

 

แต่เขายังพูดแบบนี้อยู่ได้หลังจากที่มองดูการต่อสู้ของโจวเนี่ยนเฉินไปแล้ว จิตใจของเขาทำด้วยอะไรกัน!

 

โจวเนี่ยนเฉินหายใจเบาๆและหัวเราะอย่างโกรธเกรี้ยว

 

“ข้าไม่รู้จริงๆว่าคนโง่เขลาอย่างเจ้ามีชีวิตอยู่มาถึงวันนี้ได้ยังไง!”

 

“ค่อยมาพูดหลังจากสู้แล้วเถอะ ถ้าไม่มีใครเก็บศพเจ้า ข้าก็จะขอให้คนเตรียมโลงให้เจ้า เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องหลังจากที่เจ้าตาย!”

 

หากเรื่องมาถึงขั้นนี้ มันจะคลี่คลายได้ก็ต่อเมื่อต่อสู้กันเท่านั้น

 

ซือหยูหลับตาช้าๆ เขาลืมตาอีกครั้ง ความดุร้ายฉาบประกายดวงตา

 

“เริ่มต่อสู้กันได้แล้ว!”

 

ครั้งนี้ ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งระหว่างพวกเขา ไม่มีใครที่มีพลังจะทำเช่นนั้น!