ภาค 3 บทที่ 125 กินข้าวอิ่ม คุยกันด้วยเหตุผล

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

บทที่ 125 กินข้าวอิ่ม คุยกันด้วยเหตุผล Ink Stone_Romance

ด้านในห้องหนังสือของนายท่านใหญ่หนิง พ่อลูกกำลังคุยเล่นเบิกบานใจ นอกประตูหญิงรับใช้ตัวสั่นงั่นงกยื่นศีรษะมา

“นายท่าน นายหญิงไม่ค่อยดี” นางเอ่ยเสียงเบา

หน้านายท่านใหญ่หนิงบึ้งตึงขึ้นมาทันที

“ท่านพ่อ เรื่องนี้สำหรับท่านแม่แล้วยอมรับยากอยู่จริงๆ” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย “เรื่องนี้ถกให้ถึงที่สุดแล้วเป็นความผิดของข้า หากข้าแจ้งให้ท่านแม่ทราบความในใจข้าเร็วกว่าหน่อยก็คงไม่เป็นเช่นนี้แล้ว”

แม้ไม่พอใจกับวิธีการของภรรยา แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าหากบุตรชายทำตามเขา เห็นพ้องกับเขาด้วย เขาจะเบิกบานใจ

ต่อให้มีตนเองออกหน้าแสดงท่าที หนิงอวิ๋นเจาก็ยังคงปกป้องนายหญิงใหญ่หนิงเช่นปกติ นายท่านใหญ่หนิงพอใจมาก

“นี่เดิมก็ไม่ใช่เรื่องมีใจไม่มีใจ การแต่งงานเป็นเรื่องของเจ้า แล้วก็เป็นเรื่องอนาคตของตระกูลด้วย” เขาเอ่ย “บนโลกนี้ทุกเรื่องไหนเลยจะทำตามความรู้สึกได้ ต้องพูดเหตุผลกันไหม”

หนิงอวิ๋นเจาขานรับ

“ท่านพ่อพูดถูกต้อง” เขาเอ่ย “ข้าจะคุยกับท่านแม่ดีๆ เหตุผลย่อมต้องพูดถึงทำให้คนยอมรับได้ หากไม่พูดไม่ถามย่อมไม่ได้”

นายท่านใหญ่หนิงพยักหน้า สีหน้ายิ่งพอใจ มองหนิงอวิ๋นเจาก้าวไวๆ ตามหญิงรับใช้ไปเยี่ยมนายหญิงใหญ่หนิง บุตรชายของเขาก็สมบูรณ์แบบไม่มีที่ติเช่นนี้ ไม่มีทางเหมือนที่คนพวกนั้นพูดว่ามีเมียแล้วลืมแม่ รู้จักรุกรู้จักถอยมีเหตุมีผลภักดีกตัญญูสองประการครบถ้วน

กำลังถอนหายใจก็มีเสียงสตรีร้องไห้วิ่งเข้าใกล้

“ท่านพ่อ” หนิงอวิ๋นเยี่ยนพุ่งเข้ามาคุกเข่าจับแขนเสื้อของนายท่านใหญ่หนิงไว้ น้ำตานองหน้า “ท่านพี่จะไล่ข้ากลับบ้านแม่สามี”

นายท่านใหญ่หนิงตกใจสะดุ้ง ขมวดคิ้วมองหญิงรับใช้สองคนที่ตามเข้ามา

“นายท่าน ท่านเขยมารับคุณหนูแล้วเจ้าค่ะ” หญิงรับใช้สองคนรีบเอ่ย “บอกว่านายหญิงที่บ้านตนร่างกายก็ไม่ค่อยสบาย ในบ้านดูแลไม่ไหวจริงๆ อยากให้คุณหนูกลับไปจัดการสักหน่อย ค่อยมาปรนนิบัตินายหญิงของพวกเรา”

“ไม่ใช่!” หนิงอวิ๋นเยี่ยนร้องตะโกนเสียงแหลมเอ่ย เขย่าแขนเสื้อของนายท่านใหญ่หนิง “เป็นท่านพี่เรียกเขามา เป็นท่านพี่ต้องการไล่ข้าไป”

เช่นนี้หรือ?

นายท่านใหญ่หนิงเหมือนคิดอะไรได้

ในบ้านนี้วันนี้คนที่ต่อต้านการแต่งงานกับคุณหนูจวินที่สุดนอกจากนายหญิงใหญ่หนิงก็คือหนิงอวิ๋นเยี่ยนแล้ว หลายวันนี้ก็เป็นหนิงอวิ๋นเยี่ยนที่เฝ้าอยู่ข้างกายนายหญิงใหญ่หนิง ช่วยร้องไห้ช่วยโวยวายช่วยกระพือลมจุดไฟ

นางพูดไม่ผิด ลูกเขยต้องถูกเรียกมาแน่ ไม่เช่นนั้นไม่มีทางมาเยือนบ้านด้วยตนเอง

นายหญิงบ้านตนป่วย ในบ้านดูแลไม่ไหวอะไร ต้องการอวิ๋นเยี่ยนกลับไปจัดการเรื่องในบ้านเป็นไปได้อย่างไร นอกจากนี้ไม่ต้องพูดถึงยังผลัดไม่ถึงตาหนิงอวิ๋นเยี่ยนจัดการเรื่องในบ้านตระกูลสือ ต่อให้หนิงอวิ๋นเยี่ยนจัดการ นายหญิงใหญ่หนิงป่วยแล้วนางกลับมาปรนนิบัติอย่าพูดถึงหนึ่งเดือน ต่อให้ครึ่งปีตระกูลสือก็ไม่กล้าโวยวายจะเอานางกลับไป

นอกเสียจากตระกูลหนิงไล่นางกลับไป

ในบ้านนี้คนที่ไล่หนิงอวิ๋นเยี่ยนไปได้มีเพียงพวกเขาสามีภรรยารวมถึงหนิงอวิ๋นเจา เขาไม่ได้ทำเช่นนี้ นายหญิงใหญ่หนิงไม่มีทางทำเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็มีเพียงหนิงอวิ๋นเจาแล้ว

หนิงอวิ๋นเจาหรือ

ข้าจะพูดกับท่านแม่ดีๆ เหตุผลย่อมต้องพูดถึงทำให้คนยอมรับได้ หากไม่พูดไม่ถามย่อมไม่ได้

เหตุผลต้องพูดดีๆ แต่ก่อนหน้าพูดเหตุผล ก็ต้องจัดการคนกับเรื่องที่ส่งผลกับการพูดคุยด้วยเหตุผลก่อน เช่นนี้ถึงคุยกันด้วยเหตุผลดีๆ ได้

นี่ก็เหมือนกับการต่อสู้ในออกความคิดเห็นในราชสำนัก ก่อนอื่นกำจัดกลุ่มก้อนของอีกฝ่าย รอเขาเดียวดาย หลังจากนั้นค่อยตัดสินแพ้ชนะ

ฝึกตน ดูแลบ้าน ปกครองบ้านเมือง สร้างสันติให้ใต้หล้า ปกครองบ้านปกครองเมืองที่จริงหลักการเดียวกัน

แม้ร่ำเรียนหนังสือมาสิบกว่าปี แต่บุตรชายคนนี้ของตนไม่ใช่บัณฑิตที่ไร้ประสบการณ์เรื่องในโลกคนหนึ่ง

นายท่านใหญ่หนิงลูบเครายิ้ม เขาไม่วิตกกังวลอะไรกับบุตรชายที่กำลังจะก้าวเข้าสู่สนามราชการอีกแล้ว

“พูดอะไร” เขามองหนิงอวิ๋นเยี่ยน “เจ้ากลับบ้านของเจ้า จะเรียกว่าไล่ได้อย่างไร?”

อะไรนะ?

หนิงอวิ๋นเยี่ยนหยุดร้องไห้ไร้น้ำตา ไม่กล้าเชื่อมองไปทางท่านพ่อ

“เยี่ยนเยี่ยน นั่นคือบ้านสามีของเจ้า แล้วก็เป็นบ้านของเจ้าด้วย ไม่ต้องทำนิสัยเป็นเด็กอีกแล้ว” นายท่านใหญ่หนิงเอ่ย “รีบกลับไปบ้านสามีของเจ้าเถอะ ใช้ชีวิตของเจ้าให้ดีๆ”

ถ้าอย่างนั้นที่นี่ก็ไม่ใช่บ้านของข้าแล้วใช่ไหม?

หนิงอวิ๋นเยี่ยนเบะปากร้องไห้อีกครั้ง

“ท่านพ่อ ท่านแม่ยังป่วยอยู่ พวกท่านก็ไล่ข้าไป พวกท่านไม่ต้องการข้าแล้ว” นางร้องไห้เอ่ย “พวกท่านไม่ต้องการข้าแล้ว” นางร้องไห้เอ่ย “พวกท่านไม่ต้องการข้าแล้ว”

นายท่านใหญ่หนิงหน้าบึ้ง

“เยี่ยนเยี่ยน เจ้าอย่าก่อกวนข้าไม่เลิก” เขาเอ่ย “ท่านแม่ของเจ้าป่วยหรือไม่ ในใจเจ้ารู้ชัดยิ่งนัก ข้าทำไมไล่เจ้าไป ในใจเจ้าหรือไม่รู้กระจ่างรึ?”

หนิงอวิ๋นเยี่ยนสะอื้นทีหนึ่ง คิดถึงท่าทางก่อนหน้านี้ที่นายท่านใหญ่หนิงโมโหนายหญิงใหญ่หนิง หยุดร้องไห้

“ท่านพ่อ ข้าไม่ได้…” นางสีหน้ากระวนกระวานกัดริมฝีปากล่างกำมือแน่นเอ่ยเสียงสั่น

นายท่านใหญ่หนิงขัดนางอีกครั้ง

“เจ้าไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว ไม่ต้องเสแสร้งแกล้งโง่อีกแล้ว คนอื่นก็จะไม่โอ๋เจ้าอีกต่อไป” เขาเอ่ย “ในใจเจ้าคิดอะไรเจ้ารู้ชัด คนอื่นก็รู้ชัด เจ้าไม่ชอบดังนั้นพยายามขัดขวางเต็มกำลัง เข้าใจได้ แต่เยี่ยนเยี่ยน เจ้าจะโมโหร้ายนิสัยเด็กน้อย โวยวายกินดื่มเที่ยวเล่นล้วนไม่เป็นไร แต่เจ้าไม่อาจก่อกวนความสงบสุขและอนาคตของตระกูลได้”

อนาคต

จวินเจินเจินคนนั้นกลายเป็นอนาคตของตระกูลหนิงแล้ว?

หนิงอวิ๋นเยี่ยนมองบิดา สีหน้าสิ้นหวังและสับสน

ส่วนนางกลายเป็นคนของตระกูลอื่นที่ถูกกวาดออกจากบ้าน ไม่อนุญาตให้ล่วงเกินจวินเจินเจิน

ทำไมกลายเป็นเช่นนี้เล่า? เห็นชัดๆ ว่านางถึงเป็นแก้วที่ถูกประคองอยู่ในมือตระกูลหนิง จวินเจินเจินถึงเป็นโคลนตมที่ถูกรังเกียจ ทำไมฉับพลันกลับกันเสียแล้ว?

……………………………………….

แสงอรุณยังไม่ทันสว่าง นายหญิงใหญ่หนิงก็ตื่นขึ้นมาแล้ว

ที่จริงนางอย่างไรก็นอนหลับไม่สนิทมาตลอด เพราะว่าหิว

เมื่อวานกับวันนี้ไม่ได้พบหนิงอวิ๋นเยี่ยน หญิงรับใช้บอกว่าตระกูลสือส่งคนมารับไปแล้ว บอกว่านายหญิงสือร่างกายไม่ค่อยสบาย

ตระกูลสือใจกล้าไม่น้อยจริงๆ เวลานี้มารับคน หรือว่านายหญิงสือจะตายแล้ว?

นายหญิงใหญ่หนิงยันกายขึ้นอารมณ์ไม่ดี หิวจะตายแล้ว หนิงอวิ๋นเยี่ยนไม่อยู่ กระทั่งของกินก็ไม่มีคนเอามาให้นาง หนิงอวิ๋นเจายังเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอด ยังดีตอนกลางคืนยังถอยกลับไปด้านนอก เพียงแต่นางไม่รู้ว่าหนิงอวิ๋นเยี่ยนเอาของกินซ่อนไว้ที่ไหน แล้วก็ไม่สะดวกค้นหา ได้แต่อดทนไว้

นายหญิงใหญ่หนิงมองไปด้านนอก ประตูลั่นดาลไว้ ด้านนอกเงียบเชียบไม่มีเสียง คิดว่าหนิงอวิ๋นเจายังนอนอยู่ นางลุกขึ้นลงจากเตียงเปิดลิ้นชักสมบัติมากมายข้างเตียง

ลิ้นชักแล้วลิ้นชักเล่า ทำไมไม่มีเลย?

นายหญิงใหญ่หนิงได้แต่ไปหน้าโต๊ะ เปิดหีบหลายใบขึ้น เดินออกมาจากเตียงมือเท้าอ่อนโซเซอยู่บ้าง จับโต๊ะไว้ออกแรงมากเกินไปเสียงแกรกดังออกมา

เสียงนี้ทำนายหญิงใหญ่หนิงสะดุ้ง ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น

“ท่านแม่?” หนิงอวิ๋นเจาก้าวไวๆ เข้ามา “ท่านไม่เป็นไรนะขอรับ?”

นายหญิงใหญ่หนิงไหลตามสถานการณ์นั่งลงบนเก้าอี้ หน้านิ่ง

“ข้าไม่เป็นไร ยังตายไม่ได้ ไม่อาจให้เจ้าสมหวัง” นางเอ่ยเสียงแหบ

สิ้นเสียงพูด นอกประตูเสียงฝีเท้าก็ดังวุ่นวายขึ้นอีก

“พี่สะใภ้ใหญ่”

ควบคู่มากับเสียงของนายหญิงสามหนิงกับนายหญิงสี่หนิง ตัวพวกนางก็เดินตามมาด้วย หลังร่างยังมีหญิงรับใช้ตามมาอีก

ก่อนหน้านี้หนิงอวิ๋นเยี่ยนบอกว่านายหญิงใหญ่หนิงต้องการพักฟื้น ห้ามไม่ให้คนเหล่านี้ในบ้านมาเยี่ยม

ตรงหน้าฉับพลันคนมากมายปานนี้โผล่มา นายหญิงใหญ่หนิงรู้สึกเพียงตาลาย ชั่วขณะหนึ่งมองไม่ชัด แต่นางกลับได้กลิ่นหอม

หมี่เย็น ขนมทอด ขนมแป้งร่วน ไก่หนังกรอบ ซาลาเปาปลาแพะ…

นายหญิงใหญ่หนิงสายตาพร่ามัว ในสมองอาหารเป็นทิวแถวกลับโผล่ออกมา อาหารเหล่านี้ส่ายไปมาตรงหน้านาง ยิ่งใกล้เข้ามาทุกที

“พี่สะใภ้ใหญ่ท่านผอมจนเป็นอะไรแล้ว?” นายหญิงสามเอ่ยเสียงปวดใจ

“ใช่แล้ว กินยาอะไรกัน? ทำไมไม่เห็นดีขึ้นเลย?” นายหญิงสี่ก็ตะโกนบ้าง “หรือว่ายานี่ต้องงดอาหารรึ?”

“น้าสะใภ้ ไม่มีข้องดเว้นขอรับ” เสียงของหนิงอวิ๋นเจาก็อยู่ในนั้นด้วย

“ไม่งดเว้นก็รีบทานข้าวเถิด กินข้าวอิ่มค่อยกินยาถึงจะดี”

“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านมีเรื่องอันใด มีสิ่งใดไม่พอใจพูดกับข้า”

นายหญิงสามกับนายหญิงสี่ล้อมอยู่ซ้ายขวา บรรดาหญิงรับใช้ก็วางอาหารโอชาไว้บนโต๊ะ

นายหญิงใหญ่หนิงรู้สึกเพียงหูเต็มไปด้วยเสียงอื้ออึง โวยวายจนฟังไม่ชัดว่าพวกนางพูดอะไร สายตาประหนึ่งต้องมนต์จับนิ่งอยู่บนโต๊ะ

หิวนักเชียว

ไม่เช่นนั้นกินอะไรก่อนค่อยคุย?

ไม่ได้ นี่ต้องเป็นความคิดเจ้าเล่ห์ของหนิงอวิ๋นเจาแน่

ยังไงก็กินก่อนเถอะ กินแล้วค่อยหิวก็ได้…

บรรดานายหญิงหญิงรับใช้สาวใช้ในห้องเบียดเต็ม หนิงอวิ๋นเจาค่อยๆ ถอยหลังไปด้านข้าง มองดูนายหญิงสามส่งขนมทอดไปถึงข้างริมฝีปากนายหญิงใหญ่หนิงที่สีหน้ามึนงงอยู่บ้างกัดคำหนึ่ง สีหน้าเขาอ่อนโยน ผุดรอยยิ้มบางแล้ว

ธุระค่อยๆ พูดกันได้ หิวก็ต้องกิน กินอิ่มมีกำลังแล้วถึงคุยเหตุผลกันดีๆ ได้

……………………………………….