แสงอาทิตย์เหนือสวรรค์ชั้นเก้าส่องผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบกับอัญมณีสีแดงเพลิงบนหน้าผากของเซ่าอี๋ เขาลืมตาขึ้นจากการหลับใหล จ้องไปยังอัญมณีหลากสีบนยอดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเป่าลมไปเปิดหน้าต่าง ลมหนาวในฤดูหนาวพัดเอาความอบอุ่นและกลิ่นหอมในห้องออกไป
ร่างนุ่มหอมกรุ่นในอ้อมอกยังคงอยู่ เขาชอบถูกความนุ่มนวลอย่างนี้กอดไว้
เขาใช้มือบีบไปที่ร่างของนาง สัมผัสที่ทำให้เขามีความสุข นางชื่อว่าอะไรนะ เขาลืมไปแล้ว หน้าตาอย่างไร รออีกครู่มองแล้วถึงจะจำขึ้นมาได้
แต่ว่าเรื่องพวกนั้นต่างก็ไม่สำคัญ อิสระปล่อยตัว ความสุขสมและความแปลกใหม่ที่มีมาไม่เคยหยุดหย่อนนั่น หลังจากถือกำเนิดใหม่ ก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปสักน้อย
นิ้วหนึ่งไล้ไปตามรูปคางโค้งมนและกดลงไปบนริมฝีปากเขาอย่างยั่วเย้าช้าๆ เทพธิดาในอ้อมอกตื่นแล้ว เขาพลิกมือแล้วกอดนางเอาไว้ ฝ่ามือล้วงลึกไปในปกเสื้อ กอบกุมความอวบอิ่มที่นุ่มนวลเอาไว้ แล้วฟอนเฟ้นอย่างเชื่องช้าและแผ่วเบา
เมื่อเสียงหายใจถี่กระชั้นหยุดลงก็ถึงยามอู่[1]แล้ว เซ่าอี๋เปลี่ยนชุดโปร่งสบายที่ใส่ประจำ กำลังจะออกไปจากตำหนักเล็กที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมอบอวลนี้ เทพธิดาที่เขาจำชื่อไม่ได้ผู้นั้นก็เอ่ยปากกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “มหาเทพ รอให้ท่านมีฝันบอกเหตุอีกเมื่อไหร่ก็มาหาข้า นี่เป็นเรื่องที่ข้ายินดี หากต้องให้กำเนิดบุตรกับเทพที่ไหนไม่รู้ ยังสู้ให้กำเนิดให้ท่านดีกว่า” ยังมีมหาเทพจงซานอีกคนที่ไม่เลว
ยินดีสองคำนี้ช่างดีมาก ใต้หล้านี้มีของที่ล้ำค่ามากมายที่ยังเอามาแลกกับคำว่ายินดีไม่ได้เลย
เซ่าอี๋แกะด้ายสีทองที่พันผมเปียยุ่งเหยิงออก แล้วคลี่ยิ้มบางๆ “กล่าวได้ดี ข้าใกล้จะชอบเจ้าแล้ว”
ออกไปจากตำหนัก สะบัดแขนเสื้อ เขาลงไปจากแท่นสูงช้าๆ แล้วลอยสูงขึ้นไปอีกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหยุดบนแท่นหยกแดงบนหอคอยสูงของตำหนัก เทพขุนนางและเทพีรับใช้ที่มากกว่าปกติหลายเท่าต่างรีบโค้งตัวคารวะทันที ตระกูลชิงหยางที่เสื่อมลงด้วยมือของเขา หลายปีนี้ค่อยๆฟื้นฟูกลับมารุ่งเรืองใหม่ด้วยมือของเขาอีกครั้ง แต่น่าเสียดายที่มหาเทพชิงหยางที่ร่างกายอ่อนแอรุ่นก่อนดับสูญเร็วไปหน่อย หากว่าอยู่ได้จนถึงตอนนี้ เขาเองก็มีวิธีที่จะให้เขากลับมาเป็นปกติได้
“หวาหลินยังหลับอยู่หรือ” เซ่าอี๋เปิดม่านผลึกแก้วเบาๆ แล้วกดเสียงต่ำถาม
เหล่าเทพีรับใช้กล่าวเสียงนอบน้อมว่า “เรียนมหาเทพ เมื่อครู่องค์หญิงพลิกตัวอยู่หลายครั้ง คิดว่าคงใกล้จะตื่นแล้ว”
เขาหมุนตัวเดินไปอีกทาง “เอาชุดพิธีการออกมา ข้าจะอาบน้ำ”
ครั้นทำความสะอาดกลิ่นสุราและกลิ่นชาดทั้งร่างจนสะอาดแล้ว เซ่าอี๋ก็เปลี่ยนเป็นชุดพิธีการ เหล่าเทพีรีบมาจัดการถักผมเปียให้เขาอย่างคล่องแคล่ว และผูกหงส์หินโมราให้ เพิ่งจะประดับอัญมณีไว้ที่หน้าผาก เทพีรับใช้ก็มารายงานอีกว่า “เรียนมหาเทพ องค์หญิงตื่นแล้ว”
เซ่าอี๋รีบเดินไปยังห้องนอนของตำหนักบนหอคอยสูง ภายในม่านหนาหนักนั่น เงาร่างเล็กกำลังนั่งเหม่ออยู่ เมื่อเห็นเขาเข้าก็ยิ้มแล้วยื่นมือบอบบางทั้งสองออกมา “ท่านพ่อ อุ้ม”
เขาอุ้มบุตรสาวไว้ด้วยรอยยิ้ม ปลายนิ้วก็ไล้ไปตามผมนุ่มทว่ายุ่งเหยิงบนศีรษะของนางเบาๆ ใบหน้ากลมเจ้าเนื้อของนางน่ารักมาก เขาบีบแล้วกล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลลง “วันนี้ยังจะให้พ่อสอนเขียนตัวหนังสือให้เจ้าอีกไหม”
“เจ้าค่ะ” หวาหลินตัวน้อยแทบอยากจะปีนขึ้นไปบนใบหน้าเขา นางกอดศีรษะเขาไว้แน่น ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยน้ำลายเหนียว
เซ่าอี๋อุ้มนางแล้วเดินออกไปนอกม่าน “ถ้าอย่างนั้นก็กินอาหารก่อน แล้วค่อยไปดูน้องชายเจ้าที่สวนเฉินฟางด้วยกัน สุดท้ายพวกเราค่อยมาเรียนอักษร ดีไหม”
นางเริ่มเล่นหงส์หินโมราที่ผมเปียเขาอีก และกล่าวเสียงใสว่าดี
เขากอดหวาหลินไว้แน่น แล้วกระโดดลงจากแท่นหยกแดง เสียงหัวเราะของนางเต็มไปด้วยความสุขราวกับระฆังเงินดังกังวานไปทั้งเมืองฉยงซางอันกว้างขวาง
หลังถือกำเนิดใหม่ได้สองแสนเจ็ดหมื่นปี ฝันบอกเหตุก็มาถึง เขาไปหาเทพธิดาที่ยินดีจะให้กำเนิดทายาทเขาและให้กำเนิดหวาหลินออกมา นับแต่นั้นตระกูลชิงหยางก็มีองค์หญิงเพิ่มขึ้นมาอีกองค์ ปีนี้นางมีอายุได้หนึ่งพันห้าร้อยปีแล้ว
และเพราะมีหายนะใหญ่ทั้งโลกเบื้องบนและเบื้องล่าง เผ่าเทพลดลงไปมาก ฝันบอกเหตุจึงมาอย่างรวดเร็วและบ่อยครั้ง เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ก็มีเทพธิดาให้กำเนิดบุตรชายให้เขาอีกหนึ่งคน แต่เพราะยังไม่สามารถแปลงกายเป็นร่างมนุษย์ได้ จึงยังไม่ทันจะได้ทำพิธีตั้งชื่อให้
ท่านชายเทพหงส์ตัวน้อยที่ยังไม่มีชื่อถูกจัดให้อยู่ภายในสวนเฉินฟางอันรุ่มร้อนหาใดเปรียบที่ปูลาดด้วยศิลาเพลิงหมื่นปีเหมือนกับตอนที่เขาถือกำเนิด ผ้าเมฆาที่นุ่มนวลที่สุดห่อหุ้มร่างหงส์เล็กบอบบางของเขาไว้ เขาหลับไปสองร้อยปีเต็มถึงได้ตื่นขึ้นมา
หวาหลินเห็นน้องชายเข้าก็จะยื่นมือไปลูบขนดกหนาของเขา ที่บอกว่าจะไปเรียนอักษรคิดว่าคงจะลืมไปหมดแล้ว มหาเทพชิงหยางเซ่าอี๋ผู้มีสมาธิเปี่ยมล้นแบ่งจิตเป็นสอง จิตหนึ่งใช้จัดการธุระและเรื่องทั่วๆไป อีกหนึ่งก็คอยดูการเคลื่อนไหวของบุตรสาวบุตรชายทั้งยังรวมตัวอักษรที่จะสอนในวันนี้ไปด้วย
ไม่นาน หวาหลินก็เดินกระเตาะกระแตะมาถึงหน้าโต๊ะหนังสือตัวเล็ก นางอายุน้อย แต่กลับมีความสนใจจดจ่อเหมือนกันกับเขา นางเรียนรู้อักษรได้เร็วมาก แต่การเขียนดูจะแย่ไปหน่อยเท่านั้น เซ่าอี๋ทนมองตัวอักษรที่ยากจะดูออกบนกระดาษของนาง พลันได้ยินนางกล่าวเสียงกระเง้ากระงอดว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่อยู่ที่ไหนหรือ”
อืม คำถามนี้น่ะหรือ…
เซ่าอี๋เท้าคางลูบศีรษะเล็กของนางแล้วเอ่ยปากกล่าวอย่างเชื่องช้า “หวาหลิน ในโลกนี้ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือเทพ แน่นอนว่าล้วนแต่ต้องมีท่านแม่ทั้งนั้น แต่ไม่ใช่ว่าใครก็จะได้เห็นท่านแม่ของตนเอง อย่างเช่นเจ้าที่มีแค่ท่านพ่อคนเดียว แต่ก็ยังมีบางส่วนที่กลับกัน พวกเขาไม่ได้เห็นท่านพ่อของตน เจ้าคิดว่ามีท่านพ่อดี หรือว่ามีท่านแม่ดี”
หวาหลินตัวน้อยที่ไร้เดียงสาเพิ่งจะมีอายุได้เพียงหนึ่งพันห้าร้อยปีเท่านั้นถูกคำพูดเขาทำเอามึนงง ดวงตาใสกระจ่างของนางคลอด้วยน้ำตามองมาที่เขา “ข้าต้องการท่านพ่อ”
เซ่าอี๋เช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาให้นางจนแห้งแล้วกล่าวเสียงนุ่มว่า “พ่อเองก็ต้องการหวาหลิน แต่ว่าอีกหน่อยทางที่ดีอย่าได้หาเทพที่เหมือนกับพ่อเชียว”
“เพราะอะไร” ช่วงนี้นางมีคำถามมากมาย เพราะถึงวัยที่รู้สึกสนใจกับเรื่องทุกเรื่องแล้ว
เซ่าอี๋กุมมือนางแล้วจับนางเขียนอักษรให้เป็นระเบียบ “หากว่าเจ้าเจอเทพที่ชอบ ก็จะคิดอยากอยู่ด้วยกันกับเขา หากว่าเขาทำให้เจ้าเสียใจ พ่อจะช่วยฆ่าเขาให้เจ้า ที่เจ้าต้องเสียใจก็ยังต้องเสียใจ หากเป็นอย่างนั้น สู้หลีกเลี่ยงแต่แรกไม่ดีกว่าหรือ เอ่อ พ่อยังหวังว่าเจ้าจะได้เสพสุขกับการที่สองฝ่ายชอบพอกัน แต่ว่าหากไม่ได้โชคดีเช่นนั้น เป็นเทพธิดาเสเพลที่ไม่ชอบใครเลย พ่อก็ยังดีใจ”
เห็นได้ชัดว่านางไม่เข้าใจที่เขากล่าวเลย นางจ้องมองเขาอย่างมึนงง ทั้งยังวนกลับไปถามคำถามเดิมอีก “ทำไมข้าถึงได้ไม่มีท่านแม่”
มหาเทพเซ่าอี๋ผู้ฉลาดเฉลียวต้องเผชิญกับบุตรสาวที่ถามคำถามอย่างดื้อดึง ในที่สุดก็จนใจ เขาถอนหายใจแล้วมองไปรอบๆ แววตาพลันมองไปเห็นกล่องแก้วกล่องหนึ่งบนชั้นหนังสือ หงส์หิมะยังคงราวกับมีชีวิตเช่นเดิม
เขาหรี่ตาลง ไม่รู้ถูกแตะอะไรเข้า จึงกล่าวเสียงนุ่ม “ที่พ่อรั้งท่านแม่เจ้าไว้ไม่ได้เป็นความผิดของพ่อเอง แต่ว่าพ่อเองก็เป็นแค่ปีศาจที่เห็นแก่ตัวตนหนึ่งเท่านั้น เจ้าน่ะ ลืมเรื่องท่านแม่ไปเสียเถอะ”
หวาหลินเบิกตากลมโตกว้าง “ปีศาจเห็นแก่ตัวคืออะไร”
เซ่าอี๋หัวเราะออกมาเสียงดัง เขาก้มหน้าลงไปหอมแก้มนาง “คำนี้ยังยากไปสำหรับเจ้า อีกหน่อยค่อยสอนเจ้าแล้วกัน”
คิดว่านางคงไม่พอใจนัก จึงยู่ปากเสียจนแทบจะแขวนขวดน้ำมันได้แล้ว นางก้มหน้าลงเขียนอักษรไปเงียบๆ พลันกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราวกับเข้าใจเรื่องราวขึ้นมาว่า “ท่านพ่อ ท่านเหงาไหม”
กระทั่งคำว่าเหงายังรู้จักแล้วหรือ คิดว่าบรรดาเทพีรับใช้เหล่านั้นคงปากเปราะหลุดพูดออกมาไม่มีอะไรจะทำแน่ นางถึงไปเรียนรู้มาจนได้
เซ่าอี๋กล่าวเสียงสบายๆ ว่า “พ่อมีหวาหลิน จะเหงาได้อย่างไร ตอนนี้ยังมีน้องชายเจ้าอีก ยิ่งไม่มีทางเหงาเลย”
มหาเทพผู้เจ้าเล่ห์ไม่อยากฟังบุตรสาวถามคำถามที่ไม่มีที่สิ้นสุดเหล่านั้นอีก จึงอุ้มนางขึ้นมาวางไว้บนตักแล้วหยิบใบไม้ออกมา เป่าทำนองเพลงสั้นที่นุ่มนวลและใสบริสุทธิ์ออกมา
หวาหลินชอบเพลงนี้มาก ท่านชายหงส์ตัวน้อยที่ห่อหุ้มไปด้วยผ้าเมฆาเองก็ชอบมาก ปีกน้อยๆกระพือหลายครั้ง
ชอบก็ดี เขาจะเป่าไปตลอด สำหรับพวกเขาแล้ว ของดีงามและมีประกายจะไม่มีวันมีระยะเวลาสั้นไปตลอดกาล
—
[1]ยามอู่ : ช่วงเวลาตั้งแต่ 11.00 น. – 12.59 น.